ตอนที่ 401 ต้องสืบให้รู้!
อันหลิงเกอที่ผ่านความทรมานในครั้งนี้มาได้ก็รู้ซึ้งถึงความน่ากลัวของพิษหนอนกู่ เพราะก่อนหน้านี้นางแค่รู้สึกว่าช่วงนี้เจ็บที่หน้าอกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ทว่าครั้งนี้นางรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดปางตายเป็นครั้งแรก
ฟางซู่ซู่ยังอยู่ในจวนและอันหลิงเกอย่อมมิมีทางทำร้ายนางอย่างแน่นอน
แต่เรื่องการสอบสวนพวกนักฆ่าเหล่านั้นยังมิมีความคืบหน้าใดและอันหลิงเกอก็มิอยากเผชิญความเจ็บปวดเช่นในครั้งนี้อีก
“ผู้ใดอยู่ด้านนอก ! ”
เป็นปี้จูที่เดินเข้ามา
“วันนี้ปี้เถาเป็นเยี่ยงไรบ้าง ? ” อันหลิงเกอกล่าวออกมาด้วยสีหน้าจริงจัง มิได้วางตัวผ่อนคลายเยี่ยงทุกวัน
ตอนนี้นางมิอาจใจเย็นได้อีกแล้วเพราะมิเพียงเกี่ยวข้องกับชีวิตของตน ทว่ายังเกี่ยวข้องกับผู้คนมากมายที่โดนพิษหนอนกู่ทำร้ายด้วย
หากมีวิธีที่สามารถต้านพิษหนอนกู่ได้ก็เท่ากับสามารถควบคุมวิชาลึกลับของแคว้นชิงเยว่ได้เช่นกัน
“ปี้เถาอยู่ที่เรือนของฟางจูจึและตอนนี้ยังมิมีข่าวใดเจ้าค่ะ”
อันหลิงเกอได้ยินก็พยักหน้ารับรู้ เมื่อฟางซู่ซู่กลับมาจากสุสานวันนั้นก็ได้ยินว่านางมีท่าทีสงบขึ้นมาก ในช่วงนี้คงมิกล้าก่อเรื่องอันใดอีก
“พระชายา ท่านอ๋องสั่งให้บ่าวนำสิ่งนี้มามอบให้ท่านขอรับ”
หืม ?
ตอนนั้นอันหลิงเกอก็เห็นชิงเฟิงเดินเข้ามา ในมือของเขามีตำราโบราณเล่มหนึ่งด้วย
นี่คืออันใด ?
“เอามาจากที่ใดหรือ ? ” นางอ่านตัวอักษรบนนั้นมิออกแล้วเหตุใดมู่จวินฮานต้องส่งมาให้นางด้วยเล่า ?
“สิ่งนี้ได้มาจากฟางจูจึขอรับ ท่านอ๋องทราบว่าข้างกายพระชายามีผู้หนึ่งที่อาจแก้ข้อสงสัยนี้ได้จึงสั่งให้บ่าวนำสิ่งนี้มาขอรับ”
มู่จวินฮานคงหมายถึงปี้เถาและมองแล้วตำราโบราณเล่มนี้คงมีค่ามาก
“อืม ข้าเข้าใจแล้ว” อันหลิงเกอขมวดคิ้ว ปี้เถาจักช่วยคลายความสงสัยในเรื่องนี้ได้จริงหรือ ?
“ปี้จู คืนนี้เจ้าไปเรียกปี้เถามาพบข้าที่นี่”
“เจ้าค่ะ ! ”
เมื่อเห็นว่าตำราโบราณเล่มนี้อาจช่วยพระชายาได้ ปี้จูก็ยินดีอย่างมาก เช่นนี้อาการของพระชายาก็จักมีวิธีรักษาแล้ว !
กลางดึกที่ฟางซู่ซู่เข้านอนไปแล้ว ปี้เถาจึงลอบออกมาแล้วเดินไปในเรือนของอันหลิงเกอ
“คารวะพระชายาเจ้าค่ะ”
“เรียกเจ้ามาดึกเพียงนี้ รบกวนเวลาพักผ่อนของเจ้าหรือไม่ ? ” น้ำเสียงอันหลิงเกออ่อนโยนยิ่งนัก อันที่จริงนางมิอยากเรียกปี้เถาออกมากลางดึก เพียงแต่ตอนนี้มิอาจให้ฟางซู่ซู่เกิดความระแคะระคายขึ้นมาได้
“ไม่เลยเจ้าค่ะ พระชายาเรียกปี้เถามีเรื่องอันใดหรือเจ้าคะ ? ” ปี้เถารู้ดีว่าหากอันหลิงเกอเรียกมาในยามนี้จักต้องมีเรื่องบางอย่างแน่นอน
“เจ้าลองดูสิ่งนี้หน่อยสิ” อันหลิงเกอหยิบตำราโบราณเล่มนั้นขึ้นมาวางบนโต๊ะ แสงเทียนที่สาดส่องทำให้ปี้เถาเห็นได้ชัดว่าคือสิ่งใด
“นี่คือตัวอักษรของเผ่าหมอเทวดาเจ้าค่ะ ! ”
หมอเทวดา ?
ปี้เถารู้จักจริง ๆ อันหลิงเกอจึงเกิดความหวังขึ้นมาทันที
“ใช่แล้วเจ้าค่ะพระชายา ท่านลุงของบ่าวเคยมีความหลังบางอย่างกับเผ่าหมอเทวดา แต่น่าเสียดายที่พวกเราโง่เขลาจึงไร้คุณสมบัติพอได้เข้าร่วมเผ่า ทว่ามองแล้วฟางจูจึคงมีบางอย่างเกี่ยวข้องกับเผ่าหมอเทวดาเจ้าค่ะ ! ”
อันหลิงเกอพยักหน้ารับ เผ่าหมอเทวดาแค่ได้ยินชื่อก็พอเดาได้ว่าเป็นเผ่าที่ลึกลับมาก
ตอนนี้คนของเผ่าหมอเทวดาที่พวกตนรู้จักมีเพียงฟางซู่ซู่คนเดียวจึงไร้วิธีหาเบาะแสได้มากกว่านี้แล้ว
“กล่าวกันว่าคนของเผ่าหมอเทวดาที่ข้อมือจักมีสัญลักษณ์พิเศษอยู่เจ้าค่ะ”
สัญลักษณ์น่ะหรือ ?
ใช่แล้ว ฟางซู่ซู่เหมือนว่าจักมีสัญลักษณ์รูปต้นไม้อยู่ตรงข้อมือ
อันหลิงเกอคล้ายว่าเคยเห็นที่ไหนมาก่อน แต่ก็เลือนรางเต็มทน
สุสาน !
นักฆ่า!
ตอนที่เซ่นไหว้หลุมศพตระกูลฟาง นักฆ่าของแคว้นชิงเยว่คนหนึ่งที่ข้อมือมีสัญลักษณ์แบบเดียวกันอยู่!
“เอาล่ะปี้เถา เจ้ากลับไปก่อน” ยามนี้ดึกขึ้นเรื่อย ๆ หากปี้เถาโดนสงสัยขึ้นมาจักแย่เอาได้
“เจ้าค่ะ”
หลังจากปี้เถาออกไปแล้ว อันหลิงเกอก็สั่งคนนำตัวนักฆ่าที่มีสัญลักษณ์นั้นออกมาจากคุก
“พระชายาเจ้าคะ” หมิงซินรู้สึกกลัวจนถึงขั้นก้าวถอยหลัง
“เจ้าชื่ออันใด ? ” อันหลิงเกอมองคนที่คุกเข่าอยู่ด้านหน้า แววตาของเขาดูมิถือตัวแต่ก็มิได้หวั่นเกรง ดูมิเหมือนนักฆ่าโดยทั่วไป
“ซูเฉิง ! ” ชายคนนั้นตอบอย่างง่ายดายจนทำให้อันหลิงเกออดแปลกใจมิได้
“อืม…ตำราเล่มนี้ เจ้ารู้จักหรือไม่ ? ” นางโยนตำราเล่มนั้นลงพื้น สายตาของนางมิได้ผละจากคนผู้นั้นแม้แต่น้อย
“นี่มัน เจ้าไปเอามาจากที่ใด ? ” ซูเฉิงมีท่าทางดูแคลนเหมือนกำลังคุยเล่นกับอันหลิงเกออยู่
นางมิได้ใส่ใจ จากนั้นนางก็สั่งให้สาวใช้ออกไปข้างนอก ยามนี้ภายในห้องจึงเหลือแค่นางและซูเฉิงที่มีตัวตนลึกลับเท่านั้น
“เจ้าคิดว่าข้าต้องบอกเจ้าหรือ ? ” อันหลิงเกอยิ้มบางออกมาแต่ดูเป็นรอยยิ้มเย้ยหยันอีกฝ่ายเสียมากกว่า
“สิ่งนี้เป็นของหอสดับพิรุณ พวกเจ้ายังกล้าชิงมันมา ดูท่าแล้วท่านอ๋องกับพระชายากล้าหาญมิน้อยเลย ! ”
หอสดับพิรุณอีกแล้วหรือ ?
อันหลิงเกอตกตะลึงไปครู่หนึ่งแล้วหวนนึกถึงบุรุษประหลาดผู้นั้นขึ้นมา
ไป๋หลี่เฉิน
“หากบอกว่าข้าและประมุขหอสดับพิรุณเป็นสหายกัน เจ้าจักเชื่อหรือไม่ ? ” กล่าวจบอันหลิงเกอก็หัวเราะออกมาพร้อมสะบัดมือ พริบตาเดียวองครักษ์เงาก็นำตัวซูเฉิงกลับไปขังไว้อีกครั้ง
หอสดับพิรุณ…
แท้จริงตำราที่เกี่ยวกับพิษหนอนกู่เล่มนี้ก็มาจากหอสดับพิรุณนั่นเอง
ที่นั่นมีความลับมากมายซึ่งอันหลิงเกอยังมิรู้ แต่ก็อยากลองสืบเสียหน่อย
“เรียนท่านอ๋อง ได้ยินว่าพระชายาสืบจนรู้เรื่องหอสดับพิรุณแล้วขอรับ” ชิงเฟิงเข้ามารายงานตามความจริง
“ดี ครั้งนี้ข้าและพระชายาจักเดินทางไปด้วยตนเอง”
มู่จวินฮานรู้ดีและมองออกว่าก่อนหน้านี้ไป๋หลี่เฉินรู้สึกพิเศษกับอันหลิงเกอ หอสดับพิรุณย่อมไร้ทางทำร้ายอันหลิงเกอเป็นแน่ ส่วนระหว่างเขากับไป๋หลี่เฉินเปรียบเสมือน*น้ำบ่อมิยุ่งน้ำคลองจึงไร้เหตุผลที่คนของหอสดับพิรุณจักมาทำร้ายเขาเช่นกัน
ดังนั้นเขาจึงกล้าเดินทางไปกับอันหลิงเกอเพียง 2 คน
“ท่านอ๋องคงมิคิดว่าหอสดับพิรุณของข้าเป็นสถานที่ผู้ใดจักเข้าออกได้ตามอำเภอใจหรอกกระมัง ? ”
ยามได้พบกัน ไป๋หลี่เฉินยังมีท่าทางมิสนใจสิ่งใดเช่นเคย ทว่าเมื่อเขาเห็นอันหลิงเกอยืนเคียงข้างมู่จวินฮาน ภายในใจก็อดโมโหขึ้นมามิได้ สีหน้าของเขาจึงดูมิสู้ดีเท่าไรนัก
ไป๋หลี่เฉินยอมรับการมาเยี่ยมเยียนของอันหลิงเกอ แต่ท่านอ๋องที่อยู่ข้างกายผู้นี้…
“คุณชายไป๋หลี่กล่าวเกินไปแล้ว ดูท่าเจ้าคงรู้อยู่แล้วว่าเปิ่นหวางมาที่นี่ด้วยเหตุใด”
มู่จวินฮานถือวิสาสะนั่งลง ส่วนอันหลิงเกอเดินมาที่เรือนด้านข้างเพียงคนเดียวเพราะได้ยินว่าไป๋หลี่เฉินมีน้องสาวคนหนึ่งชื่อว่าไป๋หลี่เสวียนเยว่
ไป๋หลี่เฉินเป็นผู้ที่เห็นผลประโยชน์มาก่อน บางทีอาจยากจักได้คำตอบจากเขา ทว่าไป๋หลี่เสวียนเยว่อายุยังน้อยและบางทีนางอาจรู้อันใดบ้างก็ได้
“หืม ? ”
ตอนนี้ไป๋หลี่เฉินจิบชาเพียงอย่างเดียวแต่มิได้เอ่ยสิ่งใดออกมา
ส่วนมู่จวินฮานก็มิได้ร้อนใจเพราะทั้งสองคนคล้ายกำลังหยั่งเชิงกันอยู่
ทางด้านอันหลิงเกอได้พบไป๋หลี่เสวียนเยว่ที่ราวกับคาดการณ์เอาไว้อยู่แล้วว่านางจักมาจึงมิได้แปลกใจ ทั้งยังเตรียมชาและของว่างรอไว้อีกด้วย
“พี่ชายของข้าบอกว่าท่านต้องมาหาข้าอย่างแน่นอน ข้าเองก็มิอยากเสียมารยาท มานั่งตรงนี้เถิด” ไป๋หลี่เสวียนเยว่ดูเป็นคนน่าสนใจมิน้อย
พวกนางเพิ่งพบกันครั้งแรก ทว่าไป๋หลี่เสวียนเยว่กล่าวกับอันหลิงเกอราวรู้จักกันมานาน
“เจ้ารู้จักคนที่ชื่อซูเฉิงหรือไม่ ? ” เมื่อนั่งลงแล้วอันหลิงเกอก็เอ่ยถึงบุรุษผู้นั้นทันที
หากบอกว่ามีความเกี่ยวข้องกับหอสดับพิรุณและไป๋หลี่เฉินย่อมเป็นไปมิได้ แต่การที่นางถามออกมาเช่นนั้นก็เพื่อหลอกล่อไป๋หลี่เสวียนเยว่ และมิแน่ว่าสิ่งที่นางคาดเดาเอาไว้อาจถูกต้องก็ได้
“เขาหรือ ? ” ไป๋หลี่เสวียนเยว่แค่นหัวเราะออกมา “มีอันใดท่านก็ถามมาตามตรงเถิด อย่าเอ่ยถึงคนที่มิควรเอ่ยดีกว่า”
มิควรเอ่ยถึงอย่างนั้นหรือ ?
เมื่อได้ยินเช่นนี้ อันหลิงเกอจึงมิได้กล่าวอันใดออกมาอีก ดูท่าพวกเขาคงมีความหลังบางอย่างต่อกัน
…
*น้ำบ่อมิยุ่งน้ำคลอง หมายถึง ต่างคนต่างอยู่ไม่ยุ่งเกี่ยวกัน