ตอนที่ 402 เยือนหอสดับพิรุณ
ไป๋หลี่เสวียนเยว่กล่าวออกมาด้วยท่าทีผ่อนคลายราวกับมิได้ใส่ใจว่าอันหลิงเกอต้องการถามสิ่งใด
อันหลิงเกอนิ่งเงียบไป หญิงสาวตรงหน้าดูก็รู้ว่าอายุอ่อนกว่านางแต่ความสามารถในการควบคุมสถานการณ์กลับมิด้อยไปกว่าพี่ชายเลย
“ช่างเถิด ท่านอยากถามอันใดก็ถามมา นั่งเงียบเช่นนี้มิเหมือนพระชายามู่ที่ผู้คนเล่าลือเอาเสียเลย”
สุดท้ายก็เป็นไป๋หลี่เสวียนเยว่ที่ทนมิไหวเสียเองจนต้องเอ่ยขึ้นมาก่อน
“เกี่ยวกับอาการป่วยของข้า พิษหนอนกู่ที่อยู่ในกายข้า เจ้ารู้อันใดเกี่ยวกับมันหรือไม่”
อันหลิงเกอรู้ว่าเรื่องการระบาดของพิษหนอนกู่ตั้งแต่แรกมู่จวินฮานต้องหารือกับไป๋หลี่เฉินแล้วแน่นอน แต่สำหรับเรื่องของนางก็ควรมาถามด้วยตนเองดีกว่า
“เกิดอันใดขึ้นหรือ ? ” ไป๋หลี่เสวียนเยว่มีสีหน้าเคร่งขรึมทันทีราวกับมิรู้เรื่องของอันหลิงเกอแม้แต่น้อย
“หนอนกู่ในกายของข้าโดนหญิงแคว้นชิงเยว่คนหนึ่งนำมาใส่เอาไว้” อันหลิงเกอเอ่ยออกมาทำให้ไป๋หลี่เสวียนเยว่ถึงขั้นนิ่งไป มีคนกล้าลงมือกับชายาของมู่จวินฮานด้วยหรือ ?
เรื่องนี้นางหารู้ไม่ พี่ชายก็มิเคยบอกนางถึงเรื่องนี้เลย
“เป็นคนของซูเฉิงอย่างนั้นหรือ ? ” นางอดสงสัยมิได้
“มิใช่” อันหลิงเกอส่ายหน้า
“ข้าขอดูหน่อย” นางยื่นมือออกไปจับชีพจรของอันหลิงเกอและตรวจสอบตามลำคอของอีกฝ่ายจึงพบว่าสตรีชิงเยว่นั้นก็เป็นคนที่ชำนาญเรื่องควบคุมหนอนกู่มิน้อยเลย
“ข้ามิรู้วิธีจริง ๆ ” ไป๋หลี่เสวียนเยว่กล่าวออกมาตามตรงพลางถอนหายใจออกมา
“หนอนแม่ลูกมีเพียงคนที่ควบคุมเท่านั้นสามารถแก้ได้ หรือไม่ก็ต้องหาราชาหนอนกู่ให้เจอ”
เมื่อกล่าวถึงราชาหนอนกู่ ดวงตาของอันหลิงเกอก็เป็นประกายขึ้นมา หอสดับพิรุณสันทัดเรื่องข้อมูลจริง ๆ ท่าทีที่ไป๋หลี่เสวียนเยว่มีต่อนางก็ถือว่าเป็นมิตรอีกด้วย
“ตอนนี้ราชาหนอนอยู่ที่แคว้นชิงเยว่ ส่วนเรื่องอื่น ข้าก็มิรู้เช่นกัน”
เดิมทีอันหลิงเกอคิดว่ามาถึงหอสดับพิรุณแล้วอาจมีวิธีรักษาได้ แต่คาดมิถึงว่าข้อมูลของไป๋หลี่เสวียนเยว่จักน้อยนิดเพียงนี้ ดูท่าต้องพึ่งไป๋หลี่เฉินจนได้
“ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง”
ไป๋หลี่เสวียนเยว่เพิ่งจิบชาลงไปอึกหนึ่งก็วางถ้วยชาและเท้าแขนขณะมองหน้าคนพูด
“กล่าวมาสิ” พระชายามู่ช่างเต็มไปด้วยคำถามเสียจริง แต่อย่างไรนางก็มิได้รู้สึกรังเกียจอันหลิงเกอเลย
“การเกิดโรคระบาดครั้งนี้เกี่ยวข้องกับหอสดับพิรุณหรือไม่ ? ” เมื่อได้ยินคำถามของอันหลิงเกอ ไป๋หลี่เสวียนเยว่ก็ตกตะลึงไปครู่หนึ่งแล้วหัวเราะออกมา
“ท่านคิดว่าเยี่ยงไร ? ”
ไป๋หลี่เสวียนเยว่มิได้ตอบคำถาม มีเพียงรอยยิ้มที่แฝงไว้ด้วยความห่างเหินและดูชั่วร้ายที่จ้องมายังอันหลิงเกอ อยู่ ๆ ไป๋หลี่เสวียนเยว่ก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายมิเชื่อถือหอสดับพิรุณเอาเสียเลย
เมื่อมาที่นี่ก็ควรแสดงความจริงใจ อย่างน้อยก็ควรมีความเชื่อใจให้กันมิใช่หรือ
“มิใช่เยี่ยงนั้น”
อันหลิงเกอส่ายหน้า ที่ผ่านมาหอสดับพิรุณมักรับภารกิจสังหารคน หรือไม่ก็จัดการขุนนางในราชสำนัก แต่มิเคยได้ยินเรื่องทำร้ายชาวบ้านธรรมดามาก่อน
“หอสดับพิรุณมิเคยทำร้ายผู้บริสุทธิ์ การแพร่ระบาดในวงกว้างเช่นนี้คงเป็นเพราะพิษหนอนกู่ แม้ข้ามิรู้ว่าเป็นฝีมือผู้ใด แต่มิใช่การกระทำของพวกเจ้าแน่นอน”
เมื่อเห็นว่าอันหลิงเกอเลือกเชื่อตน สายตาของไป๋หลี่เสวียนเยว่จึงค่อย ๆ อ่อนโยนแล้วเอ่ยออกมา
“เช่นนั้นก็ดี”
อันหลิงเกอก็มิอยากให้เรื่องนี้เกี่ยวกับพวกเขาเช่นกันเพราะที่ผ่านมาคนที่ดีกับนางนอกจากมู่จวินฮานแล้วก็มีเพียงหอสดับพิรุณเท่านั้น
แม้ไป๋หลี่เฉินกลั่นแกล้งนางหลายครั้งแต่เขาก็มีจิตใจที่ดี ทุกครั้งที่นึกถึงการพบกันก็ทำให้อันหลิงเกอหัวเราะหรือร้องไห้มิออก
แม้พวกเขามิได้มีอุดมการณ์เดียวกันแต่ก็รู้ใจกันดี
เหมือนความคุ้นเคยและความบังเอิญระหว่างนางกับไป๋หลี่เสวียนเยว่ในยามนี้
“ช่างเถิด ดื่มชาดีกว่า อย่ากล่าวถึงเรื่องมิเป็นมงคลพวกนั้นเลย ที่ห้องโถงนั้นสามีเจ้ากำลังคุยกับพี่ชายข้าอยู่ พวกเราก็มาคุยเรื่องสบายกันดีหรือไม่ ? ”
ไป๋หลี่เสวียนเยว่หัวเราะออกมา ก่อนจักดันของว่างมาตรงหน้าของอันหลิงเกอ
ตอนนี้มู่จวินฮานและไป๋หลี่เฉินคงกำลังหารือเรื่องนี้กันอยู่ ถ้าหอสดับพิรุณและมู่จวินฮานสามารถร่วมมือกันสืบเรื่องนี้ได้ก็ย่อมเป็นเรื่องดี
เพียงแต่มิรู้ว่าไป๋หลี่เฉินจักยอมหรือไม่
ตอนที่ออกมาจากหอสดับพิรุณ อันหลิงเกอมิได้เอ่ยถามอันใดมู่จวินฮานเพราะสีหน้าของเขามิสู้ดีเท่าไรนัก คงเจรจากับไป๋หลี่เฉินมิเป็นผล
ไป๋หลี่เฉินมีนิสัยเย่อหยิ่ง หากมู่จวินฮานแสดงออกว่าสงสัยเขาแม้แต่นิดเดียว เขาคงนั่งนิ่งและมิอธิบายใด ๆ อย่างแน่นอน
อันหลิงเกอคาดเดาได้ทันทีว่าความร่วมมือระหว่างมู่จวินฮานและไป๋หลี่เฉินนั้นยากเสียยิ่งกว่ายาก
“พิษหนอนกู่ระบาดครั้งนี้มิเกี่ยวกับหอสดับพิรุณเจ้าค่ะ”
“ข้ารู้อยู่แล้ว” อันหลิงเกอนึกมิถึงว่ามู่จวินฮานมิได้สงสัยหอสดับพิรุณเลยหรือ ?
“เช่นนั้นท่านกับไป๋หลี่เฉิน…”
“นิสัยเขาเป็นเช่นนั้น เข้ากับข้ามิได้หรอก”
ไป๋หลี่เฉินมีนิสัยหยิ่งผยองและเขาเองก็เป็นคนเช่นนั้นด้วยสินะ
คนสองคนที่มีนิสัยเหมือนกัน หากจับมือกันได้คงสนุกมิน้อย
เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ทำให้อันหลิงเกออดหัวเราะออกมามิได้ แต่กลับถูกมู่จวินฮานจ้องมิวางตา นางถึงขั้นทำตัวมิถูกเลยทีเดียว
“ท่านมองข้าเช่นนี้เพราะเหตุใดเจ้าคะ ? ” อันหลิงเกอถอยหลังไปหนึ่งก้าว แต่มู่จวินฮานก็ยังก้าวตามมา
“ชายาของข้า เมื่อครู่เจ้ากำลังหัวเราะเยาะข้าอยู่ใช่หรือไม่ ? ”
ท่าน…
อันหลิงเกอกุมขมับอย่างเอือมระอา เขาช่างมิยอมคนเสียจริง เขาไร้สาระถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน
“หรือว่าหัวเราะเยาะใส่อีกบุรุษหนึ่ง ? ” น้ำเสียงของมู่จวินฮานเต็มไปด้วยความอันตรายพร้อมจ้องอันหลิงเกอตาเขม็ง
“มิใช่เจ้าค่ะ ข้าหัวเราะเยาะ หัวเราะเยาะไป๋หลี่เฉินต่างหากเล่า ข้าจักกล้าหัวเราะเยาะท่านได้เยี่ยงไร?”
นางมิรู้ว่าป่านนี้ไป๋หลี่เฉินจามไปแล้วหรือไม่ แต่ก็ยังดีกว่ายั่วโทสะบุรุษตรงหน้าเป็นไหน ๆ
อันหลิงเกอมิรู้ตัวเลยว่านางกลายเป็นคนชอบพูดเล่นเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใด
เหมือนจักเริ่มตั้งแต่นางสมรสกับมู่จวินฮาน เพราะเวลาที่อยู่กับเขาแล้วนางรู้สึกสบายใจมากเหลือเกิน
เดิมทีตัวนางหาได้รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ไม่ ทว่าคนข้างกายเยี่ยงมู่จวินฮาน สามารถเห็นได้ชัดเจน
“วันนี้เจ้าอยากไปทานอันใดหรือไม่ ? ” ดวงตาของอันหลิงเกอเปล่งประกายขึ้นมาทันที
เดิมทีนางเป็นคนชอบทานอยู่แล้ว ครั้งก่อนตอนอยู่ที่ทะเลสาบจันทรา มู่จวินฮานพานางไปทานเป็ดย่างกรอบนอกนุ่มในรสชาติล้ำเลิศ ครั้งนี้เชื่อว่าเขาคงมิทำให้นางผิดหวัง
“สวมนี่ไว้” เขาหยิบหมวกสานใบหนึ่งมาจากรถม้า ก่อนส่งผ้าปิดหน้าผืนหนึ่งให้นาง นี่เขาเตรียมเอาไว้ก่อนแล้วหรือ
ด้วยเหตุนี้ทำให้อันหลิงเกอรู้สึกอบอุ่นใจขึ้นมาอย่างบอกมิถูก มู่จวินฮานคอยใส่ใจนางอยู่ตลอดเวลา ความรู้สึกเช่นนี้ช่างดีเหลือเกิน
“ไปกันเถิด” พวกเขามิได้นั่งรถม้าแต่เดินจูงมือกันแล้วมุ่งหน้าไปทางตลาด
ที่แท้ก็มาหาของอร่อยใจกลางตลาดนี่เอง มิน่ามู่จวินฮานจึงแต่งตัวระมัดระวังเช่นนี้ ทั้งสองมิได้สวมเสื้อผ้าหรูหรา ผู้อื่นเห็นก็คงคิดว่าเป็นคู่รักจอมยุทธคู่หนึ่งกระมัง
คู่รักจอมยุทธ
อันหลิงเกอใคร่ครวญอยู่ในใจครู่ใหญ่แต่ก็มิอาจหาคำใดมาแทนคำนี้ได้จริง ๆ เพราะภายในใจของนางคือพวกตนดูเป็นเช่นนั้นจริง
“ทานนี่หรือไม่ เกอเอ๋อ ? ”
“อันนี้รสชาติมิเลว”
“อันนั้นเล่า ? ”
“อืม…ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าต้องชอบ”
“ขนมของเจียงหนานมีรสชาติเข้มข้นไปหน่อย เจ้าทานได้หรือไม่ ? ”
มู่จวินฮานจูงมืออันหลิงเกอแล้วทานไปตลอดทางมิหยุด พอเจอผู้ใดทักขึ้นมาก็บอกว่าฮูหยินตั้งครรภ์ต้องทานเยอะเป็นพิเศษเพื่อบำรุงร่างกาย
อันหลิงเกอหน้าแดงไปหมดแต่ก็มิได้โต้แย้งอันใด ทั้งสองคนเหมือนคู่สามีภรรยาธรรมดาและชีวิตเยี่ยงนี้คือสิ่งที่นางใฝ่ฝันจริง ๆ
เพียงแต่ชาตินี้เกรงว่ามิมีโอกาสแล้ว