ตอนที่ 403 จิตปฏิพัทธ์
“ใกล้ค่ำแล้ว เราคงต้องกลับกันเสียที”
อันหลิงเกอมองท้องถนนที่เริ่มคึกคักขึ้นมาอย่างอาลัยอาวรณ์ ยามค่ำคืนดูสนุกกว่าหลายเท่า แต่น่าเสียดายที่ฐานะของพวกตนมิใช่คนธรรมดา หากยังมิกลับไปอีกก็เกรงว่าพวกชิงเฟิงคงร้อนใจกันน่าดู
“หลิงเกอ ชีวิตเช่นนี้เจ้าชอบหรือไม่ ? ” อยู่ ๆ มู่จวินฮานก็เอ่ยขึ้นมา อันหลิงเกอได้ยินก็ถึงขั้นตกตะลึงไปชั่วขณะ
มิเคยมีชายใดเรียกนางเช่นนี้มาก่อน แต่นางมิคิดว่าเรียก ‘หลิงเกอ’ แล้วจักมีสิ่งใดมิเหมาะสม
ชื่อของนางแม้เป็นมงคลแต่ก็มิเป็นมงคลเช่นกัน อันหลิงเกอ ถ้าตัดคำว่าอันด้านหน้าออกก็ฟังแล้วจักให้ความรู้สึกโศกเศร้ายิ่งนัก
*หลิงเกอ…
แสงไฟสองข้างทางงดงามยิ่งนัก ทว่าในขณะเดียวกันแสงไฟก็ทำให้พวกเขาเป็นที่จับตามองของคนอื่นเช่นกัน
“คุณหนูเจ้าคะ”
“ชู่ว์”
หลิงอวี่หนิงเฝ้ามองมู่จวินฮานจากระยะไกล…
นางเป็นบุตรีของแม่ทัพใหญ่คนใหม่ ก่อนหน้านี้แม่ทัพใหญ่หลิงได้ร่วมรบกับมู่จวินฮานและลู่จ้านจึงได้รับรางวัลมิน้อย
แต่นางมิเคยได้พบมู่จวินฮานมาก่อนจึงมิรู้ว่าบุรุษผู้หนึ่งที่สามารถสะกดสายตานางไว้ได้ก็คือเขาเอง
ด้านหน้าของเขามีสตรีนางหนึ่งยืนอยู่ สายตาของเขาแสนอ่อนโยนถึงเพียงนั้น เป็นเหตุให้สาวน้อยที่มิเคยผ่านโลกมาก่อนเยี่ยงหลิงอวี่หนิงรู้สึกว่าหากตนได้รับความอ่อนโยนเช่นนี้บ้าง ชีวิตก็คงมีความสุขมิน้อย
หลังจากนั้นหลิงอวี่หนิงก็หมดอารมณ์เดินเล่นต่อ นางจึงพาสาวใช้กลับจวนทันที แต่เงาของมู่จวินฮานก็มิอาจลบเลือนไปจากสมองของนางได้เลย
แววตาของนางเผยให้เห็นถึงความรักใคร่อย่างชัดเจน
ตอนนี้นางนั่งอยู่บนเก้าอี้ภายในห้องนอนอย่างเหม่อลอย สาวใช้ที่อยู่ด้านข้างก้าวเข้ามารินชาให้ แต่มือสั่นจนทำให้ชารินใส่มือที่จับถ้วยชาของหลิงอวี่หนิงแทน
“ว้าย ! ” หลิงอวี่หนิงที่ร้องออกมาอย่างตกใจพลันยกมือขึ้นโดยมิรู้ตัวพร้อมกับเขวี้ยงถ้วยที่อยู่ในมือออกไปจนแตกกระจาย
หลิงอวี่หนิงจ้องถ้วยชาที่แตกกระจายอยู่บนพื้น สีหน้าโกรธเกรี้ยวจนสาวใช้คนนั้นต้องรีบคุกเข่าลงพื้นด้วยร่างกายสั่นเทา
นางจ้องถ้วยชาที่อยู่บนพื้นเป็นเวลาเนิ่นนานสีหน้าก็มิได้ดีขึ้น ผ่านไปพักใหญ่นางจึงเอ่ยเสียงเย็น “เช่นนั้นเขาก็คือท่านอ๋องมู่ที่เลื่องลือ เจ้าคิดว่าข้าเหมาะสมกับท่านอ๋องมู่หรือไม่ ? ”
หลังนางกล่าวจบก็หัวเราะออกมาเบา ๆ นางกำลังอารมณ์เสียแต่มิคิดว่าจักมีคนมาให้นางได้ระบายอารมณ์พอดี แววตาของนางกวาดไปที่กลุ่มคนตรงนั้น สุดท้ายก็หยุดอยู่ที่สาวใช้ทำผิดเมื่อครู่
“เหมาะสมเจ้าค่ะ เหมาะสมมากอยู่แล้วเจ้าค่ะ” สาวใช้คนนั้นคุกเข่าอยู่ที่พื้น หลิงอวี่หนิงขึ้นชื่อว่าเป็นเจ้านายที่มีความป่าเถื่อนคนหนึ่งของเมืองหลวง สาวใช้ที่ไหนก็มิกล้ามาขายตัวเป็นบ่าวในจวนแม่ทัพใหญ่
น้ำเสียงของหลิงอวี่หนิงนุ่มนวลแต่น่ากลัวราวกับสัตว์ร้าย “เจ้าคิดว่าข้าควรลงโทษเจ้าเช่นไร ? ทำอย่างไรจึงสามารถบรรเทาโทสะของข้าลงได้ ? ”
สาวใช้คนนั้นได้ยินคำถามของหลิงอวี่หนิงก็สั่นไปทั้งกายแต่มิอาจทำอันใดได้จึงโขกศีรษะกับพื้นเพื่อหวังว่าหลิงอวี่หนิงปล่อยนางไป
“คุณหนู โปรดไว้ชีวิตด้วยเจ้าค่ะ”
หลิงอวี่หนิงยืนมองสาวใช้คนนั้นโขกศีรษะกับพื้นจนเลือดไหล แต่นางก็มิอภัยให้เลย
นางเพียงรู้สึกว่าตนช่างโชคดีที่อยู่ในสังคมของการแบ่งชั้นวรรณะเยี่ยงนี้ และนางยังเป็นถึงคุณหนูของแม่ทัพใหญ่อีกด้วย
หลิงอวี่หนิงเหลือบมองเหล่าสาวใช้แล้วฉีกยิ้มออกมา น้ำเสียงของนางน่าฟังทว่าคำพูดโหดเหี้ยมยิ่งนัก นางก้มไปพร้อมเอ่ยเบา ๆ ที่ข้างหูของสาวใช้คนนั้น “เจ้ารู้จักพูดถึงเพียงนี้ เหตุใดเมื่อครู่ตอนอยู่ที่ถนนจึงมิช่วยข้าสร้างโอกาส ? ”
สาวใช้คนนั้นราวกับมิได้ยินเพราะนางยังโขกศีรษะมิหยุดเพื่อหวังว่าหลิงอวี่หนิงจักเปลี่ยนใจ
หลิงอวี่หนิงขมวดคิ้วแล้วเอ่ยอย่างหมดความอดทน “เด็กเด็ก นำตัวสาวใช้คนนี้ออกไปควักลูกตาทั้งสองข้างทิ้ง”
สาวใช้อีกสองคนรับคำสั่งแล้วลากสาวใช้ที่ร้องไห้คร่ำครวญคนนั้นออกไป สาวใช้คนอื่นที่อยู่ภายในห้องต่างพากันก้มหน้านิ่ง แสร้งทำเหมือนมิมีอันใดเกิดขึ้น
หลิงอวี่หนิงกลับไปนั่งอีกครั้งแล้วหยิบถ้วยชาใบหนึ่งขึ้นมาคลึงเล่น จากนั้นก็เรียกสาวใช้มาใกล้
อารมณ์โกรธภายในใจของนางเบาบางลงมิน้อยและเรื่องสำคัญที่สุดหาใช่พวกสาวใช้เหล่านี้แต่เป็นชายในดวงใจของนางต่างหาก
สาวใช้ที่ก้าวเข้ามาคือคนสนิทของหลิงอวี่หนิง แม้นางสงสัยว่าเหตุใดคุณหนูต้องโมโหเพราะท่านอ๋องมู่มากมายเช่นนี้ แต่สัญชาตญาณของนางที่อยู่มานานบอกว่ามิใช่เรื่องที่จักเอ่ยออกมาได้
“ข้าจักแต่งเข้าจวนอ๋องมู่ ! ”
“เจ้าค่ะ” นางรับคำเบา ๆ แล้วถอยออกไปอย่างนอบน้อม
นางมิได้ทำให้หลิงอวี่หนิงผิดหวังเพราะไปเพียงมินานนางก็นำข่าวกลับมาด้วย
เมื่อได้ยินคำบอกเล่าของคนสนิท หลิงอวี่หนิงเหมือนคิดภาพออกว่าหากท่านอ๋องมู่เป็นของนาง รักนาง…นางต้องมีความสุขอย่างมาก
มิรู้ว่าเหตุใดพอนึกถึงมู่จวินฮานก็รู้สึกว่าภายในใจของนางเกิดความหลงใหลที่มิอาจถอนตัวได้
เพียงแต่ตอนนี้ท่านอ๋องมู่มีทั้งพระชายาเอกและสนมอยู่แล้ว
หากได้เขามา…
คิดว่านางจักต้องเป็นสตรีที่มีความสุขที่สุด
และนางต้องเป็นสตรีของมู่จวินฮานให้ได้ พี่ชายเคยเล่าว่าท่านอ๋องมู่เป็นวีรบุรุษโดยแท้จริง จิตใจของนางคะนึงหาเพียงเขา ทั้งตอนนี้นางยังมีจิตปฏิพัทธ์ต่อเขาด้วย
เมื่อคิดได้เช่นนี้นางจึงหันไปกล่าวกับสาวใช้คนสนิท “จงใช้ชื่อของข้าไปส่งเทียบเชิญแด่พระชายามู่โดยบอกว่าข้าเลื่อมใสนางมานานแล้ว หวังว่าจักมีโอกาสได้พบหน้านางสักครั้งเพื่อได้สนทนากัน”
“เจ้าค่ะ” สาวใช้มิได้กล่าวสิ่งใด นางเพียงก้มหน้ารับคำสั่งแล้วออกไปทำตามหน้าที่ทันที
หลิงอวี่หนิงนั่งรออยู่ในห้องนานครึ่งชั่วยาม สีหน้าก็เริ่มเข้มขึ้นอย่างหมดความอดทน ภายในห้องจึงเต็มไปด้วยความอึดอัด
สาวใช้ที่อยู่ในห้องมิกล้าแม้แต่หายใจแรง เกรงว่าจักไปทำให้คุณหนูที่อารมณ์มิดีเกรี้ยวกราดขึ้นมาอีก
“เรียนคุณหนู บ่าวได้ข่าวมาแล้วเจ้าค่ะ…” หลังจากนั้นมินานสาวใช้คนสนิทก็กลับมาอีกครั้ง แต่นางหยุดยืนอยู่ที่หน้าประตูด้วยท่าทางคล้ายมิอยากเอ่ยออกมา
ทำให้หลิงอวี่หนิงมองแล้วหงุดหงิดใจมิน้อย “นางว่าเยี่ยงไร เจ้าแค่บอกมาตามตรงก็พอ”
“พระชายามู่ปฏิเสธเจ้าค่ะ”
ปฏิเสธหรือ ?
“นางเป็นคนพูดกับเจ้าเองหรือ ? ” ตอนนี้ดูมิออกว่าหลิงอวี่หนิงรู้สึกเช่นไร นางเพียงถามออกมาเบา ๆ แต่แววตากลับเย็นชาขึ้นเรื่อย ๆ
“มิใช่เจ้าค่ะ สาวใช้ของนางเป็นคนพูด บ่าว…มิได้เห็นแม้แต่หน้าของพระชายามู่เจ้าค่ะ” สาวใช้คนสนิทก้มหน้าตอบ ภายในใจรู้สึกหวาดกลัวยิ่งนัก
เมื่อได้ฟังเช่นนี้ หลิงอวี่หนิงก็รู้สึกโมโหอย่างมาก อย่างไรพวกนางก็เป็นคนของจวนแม่ทัพใหญ่ ทว่าพระชายามู่ดูถูกนางเช่นนั้นหรือ ?
คงมิใช่ว่าสตรีผู้เลื่องลือกำลังกังวลว่านางจักแย่งสามีไปหรอกหรือ ?
“หึ อันหลิงเกอ ! ” แค่พบกันครั้งเดียว หลิงอวี่หนิงมิเพียงมีใจปรารถนาในตัวมู่จวินฮาน ทว่ายังเกิดจิตริษยาต่ออันหลิงเกออีกด้วย “เช่นนั้นเจ้าจงไปสืบมาว่าข้างกายท่านอ๋องมู่ยังมีผู้ใดอีก ยิ่งเป็นคนที่มิถูกกับอันหลิงเกอยิ่งดี”
“เจ้าค่ะ”
ข้างกายมู่จวินฮานยังมีสนมอีกคนหนึ่งก็คือ ฟางซู่ซู่
หลิงอวี่หนิงเป็นคนหยิ่งยโสมาแต่ไหนแต่ไร แม้เมื่อก่อนบิดามิได้เป็นแม่ทัพใหญ่แต่ก็เป็นถึง*ไท่เว่ย มิหนำซ้ำตอนนี้ยังมีอำนาจดูแลทหารมากมาย นางย่อมโอหังกว่าเดิมอยู่แล้ว
…
* หลิงเกอ มีตัวอักษรที่ความหมายคล้ายคำว่าโรยรา
* ไท่เว่ย เป็นตำแหน่งรองจากอัครมหาเสนาบดีคอยควบคุมงานกองทัพทั้งหมด