ตอนที่ 404 บุตรีแม่ทัพใหญ่
แม้ฟางซู่ซู่มิเป็นที่โปรดปรานแต่ได้ยินว่าเคยช่วยชีวิตพระชายาเอาไว้จึงได้อยู่ในจวน
ทว่าก็เกิดความบาดหมางกับอันหลิงเกอจากสาเหตุบางอย่าง
เมื่อหลิงอวี่หนิงได้ยินเรื่องพวกนี้ก็หัวเราะออกมา ภายในใจผุดแผนการบางอย่าง ขอเพียงบิดายอมไปพูดกับท่านอ๋องมู่และดูจากความเมตตาที่ฝ่าบาทมีต่อท่านพ่อแล้ว ความหวังของนางจักต้องสมปรารถนาอย่างแน่นอน !
“ไปเชิญฟางซู่ซู่มาพบข้า” ศัตรูของศัตรูก็คือมิตรและในเรื่องของหัวใจก็ไร้มิตรแท้เช่นกัน
“เจ้าค่ะ”
“คุณหนูหลิงอวี่หนิงเป็นผู้ใด ? ”
ฟางซู่ซู่เหมือนพึมพำกับตนเอง ปี้เถาที่ยืนอยู่ข้างกายจึงมิกล้าเอ่ยสิ่งใดทว่าก็แอบจำชื่อนี้ไว้ในใจ
“คุณหนูเป็นบุตรีของแม่ทัพใหญ่คนใหม่ ท่านแม่ทัพมีสัมพันธ์ที่ดีกับท่านอ๋องมู่ คุณหนูหลิงจึงอยากผูกมิตรกับท่านเจ้าค่ะ”
ผูกมิตร ?
ฟางซู่ซู่เติบโตในยุทธภพแล้วเหตุใดจักมองมิออกว่ามิมีใครทำอันใดโดยมิหวังสิ่งตอบแทน !
แต่ก็ช่างเถิด
“เช่นนั้นก็เชิญคุณหนูหลิงมาที่จวนแล้วกัน ! ”
ฟางซู่ซู่ถูกกักบริเวณอยู่ ออกไปข้างนอกได้ที่ไหนกันเล่า ?
เป็นเช่นนี้ก็ถือว่าสมปรารถนาของหลิงอวี่หนิงพอดีเพราะนางอยากหาโอกาสไปจวนอ๋องมู่มานานแล้ว นางอาจได้พบหน้ามู่จวินฮานก็ได้
“เตรียมของขวัญแล้วไปจวนอ๋องมู่”
หลิงอวี่หนิงที่กำลังอารมณ์ดีเพิ่งก้าวเท้าออกจากจวน ยังมิทันได้ไปจวนอ๋องมู่ก็ถูกบิดาเรียกเอาไว้เสียก่อน
“หนิงเอ๋อ เจ้าจักไปที่ใด ? ”
“ท่านพ่อ” หลิงอวี่หนิงมิได้ตื่นตระหนก นางเพียงหันกลับมายิ้มให้เล็กน้อย
ตอนนี้นางกำลังอารมณ์ดียิ่งนัก
“ท่านพ่อมาพอดีเลย หนิงเอ๋อมีเรื่องปรึกษาท่านอยู่พอดีเจ้าค่ะ ! ” หลิงอวี่หนิงรู้ว่าท่านพ่อรักนางจึงอยากพูดเรื่องของมู่จวินฮาน
“พ่อได้ยินจากสาวใช้ของเจ้าแล้ว ! ” สีหน้าของแม่ทัพหลิงมิได้ยินดี มองก็รู้ว่ากำลังมิพอใจ
“ในเมื่อเป็นเช่นนั้นหนิงเอ๋อจักไปพบสนมของท่านอ๋องมู่ หากท่านพ่อช่วยเหลือ หนิงเอ๋อก็หวังว่า…” หลิงอวี่หนิงเต็มไปด้วยความดีใจแต่กล่าวยังมิทันจบก็โดนแม่ทัพหลิงขัดขึ้นเสียก่อน
“เจ้ามิต้องหวังและมิต้องนึกถึงท่านอ๋องมู่อีก ! ”
ว่าอันใดนะ ?
หลิงอวี่หนิงย่อมมิพอใจอยู่แล้ว นางรีบดึงแขนของแม่ทัพหลิงเอาไว้
“ท่านพ่อ ท่านหมายความว่าเยี่ยงไร ตำแหน่ง*พระชายาเช่อเฟยของท่านอ๋องมู่ยังว่างอยู่มิใช่หรือเจ้าคะ ? ท่านช่วยหนิงเอ๋อหน่อยเถิดเจ้าค่ะ” หลิงอวี่หนิงออดอ้อน
“พ่อมิอนุญาต ! ”
ตอนนี้เขามีอำนาจทหารอยู่ในมือส่วนอ๋องมู่โดนฝ่าบาทหวาดระแวงครั้งแล้วครั้งเล่า หากมาเกี่ยวดองกันก็จักยิ่งถูกฝ่าบาทระแวงหนักขึ้นเท่านั้น
“เรื่องการสมรสของเจ้า พ่อได้เตรียมการเอาไว้แล้ว ! ”
“ผู้ใดเจ้าคะ ? ” หลิงอวี่หนิงขมวดคิ้วด้วยความมิพอใจ
“แม่ทัพน้อยลู่ เขามิเพียงเป็นท่านอ๋องน้อยของจวนอ๋องลู่ ตอนนี้ยังมีผลงานการรบและพ่อเชื่อว่าเขาต้อง…”
“หนิงเอ๋อมิยอม ! ” หลิงอวี่หนิงสะบัดมือแล้วเตรียมออกไปข้างนอกทันที
“หยุด ! เจ้าอยากเห็นพ่อตายใช่หรือไม่ ! หากเกี่ยวดองกับจวนอ๋องมู่แล้วพวกเราต้องวิบัติเป็นแน่ ! ” แม่ทัพหลิงคิดว่าตนได้กล่าวถึงผลร้ายที่ตามมาอย่างชัดเจนแล้ว
สตรีตระกูลผู้ดีขอเพียงมีปัญญาสักนิดก็ย่อมรู้ดีว่าอ๋องมู่มีนิสัยมุทะลุและพระชายามู่ก็เป็นคนที่มิอาจล่วงเกินได้
หากแต่งเข้าไปก็มิมีอนาคตที่ดีอย่างแน่นอน
“ท่านพ่อ ! ” หลิงอวี่หนิงยังอยากโต้แย้ง
“ลากตัวคุณหนูของพวกเจ้ากลับไป ! ” แม่ทัพหลิงสะบัดมือ เท่ากับว่าเป็นคำสั่งกักบริเวณนางไปแล้ว
…
ทางด้านอันหลิงเกอเริ่มมิอยากออกไปข้างนอก ทุกวันนางจักนำตำราโบราณที่อ่านมิออกเล่มนั้นมาพลิกดูแล้วลองเขียนตัวอักษรตาม ปี้จูที่เห็นนางอารมณ์มิค่อยดีและอยากให้นางผ่อนคลายจึงชวนนางไปร้านเครื่องประดับ
เดิมทีปี้จูยังคิดว่าระหว่างทางถ้าเจอพวกลูกคุณหนูทั้งหลายก็คงเลี่ยงการปะทะฝีปากมิได้ แต่คาดมิถึงว่าบรรดาคุณหนูเหล่านั้นจักมีนิสัยที่เปลี่ยนไป
“คารวะพระชายามู่ ช่วงนี้พระชายาสบายดีหรือไม่เจ้าคะ ? ”
“ข้าน้อยขอคารวะพระชายามู่ สีหน้าพระชายาแจ่มใสเช่นนี้ ท่านอ๋องคงดูแลท่านเป็นอย่างดีแน่เจ้าคะ”
มิเพียงอ่อนน้อมถ่อมตนต่ออันหลิงเกอเท่านั้น ปี้จูที่ยืนอยู่ข้างกายก็ยังได้รับการทักทายอย่างสุภาพด้วยเช่นกัน
อันหลิงเกอคิดไว้อยู่แล้วว่าต้องมีวันนี้จึงมิได้แปลกใจ ยามเจอคนคุ้นเคยก็ต้องทักทายกันเป็นธรรมดาและตอนนี้นางก็ไร้ประกายที่ทำให้คนมิกล้าเข้าใกล้เยี่ยงเมื่อก่อนแล้วด้วย
เพียงแต่ตอนนี้ทุกคนรู้ดีว่านางมิใช่คนที่จักรังแกได้โดยง่าย
ในตอนนั้นนางยังเป็นคุณหนูใหญ่ตระกูลอัน คนพวกนี้รวมหัวกับอันหลิงอีมารังแกนางหลายต่อหลายครั้ง แต่ตอนนี้นางเป็นถึงพระชายามู่และมีมู่จวินฮานคอยหนุนหลังอยู่ย่อมมิมีผู้ใดกล้ากล่าววาจามิดีใส่อยู่แล้ว
“พระชายา นี่คือ…” ปี้จูยังขาดทักษะการเข้าสังคมเยี่ยงนี้จึงตกตะลึงจนอ้าปากค้าง
อันหลิงเกอหยิบปิ่นระย้าที่ทำอย่างประณีตขึ้นมาพลางกล่าวยิ้ม ๆ “บางคนก็เป็นเยี่ยงนี้ เมื่อฐานะของเจ้าสูงส่งก็ย่อมได้มาซึ่งความเคารพจากผู้อื่นโดยปริยาย”
ปี้จูยิ้มออกมาทันที “ปี้จูเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ”
อันหลิงเกอโบกมือไปมาพร้อมรอยยิ้มเพราะเรื่องของอันหลิงอีจึงทำให้คุณหนูพวกนี้ต่างก็หวั่นเกรงอันหลิงเกอขึ้นมานั่นเอง
พวกนางต่างก็รู้ถึงจุดจบของอันหลิงอีและหลี่ซื่อเป็นอย่างดี แม้ข่าวในจวนโหวจักถูกปิดเอาไว้ แต่อันหลิงอีเมื่อแต่งออกไปแล้ว ข่าวจากจวนอ๋องอี้ยอมมีออกมาเรื่อย ๆ
มิกี่วันหลังจากนั้น ในเมืองหลวงก็จัดเทศกาลโคมไฟขึ้นมา ด้านนอกจึงคึกคักมิน้อย อันหลิงเกอที่มิชอบอยู่แต่ในจวนก็ไปรบเร้ามู่จวินฮานว่าอยากออกไปข้างนอกบ้าง
ส่วนมู่จวินฮานที่รู้นิสัยของนางดีก็เกรงว่าหากตนมิอนุญาต นางคงวางแผนหาวิธีหนีออกไปเที่ยวข้างนอกจนได้ ประตูของจวนอ๋องมู่มิเคยขวางนางไว้ได้อยู่แล้ว เพียงแต่ช่วงนี้เขาเป็นห่วงสุขภาพของนางจึงสั่งให้คนคอยติดตามดูนางเอาไว้
“ช่างเถิด” มู่จวินฮานวางตำราในมือลง “ในเมื่อพระชายาอยากออกไปเช่นนี้ ข้าก็จักไปเป็นเพื่อนเจ้าเอง”
ชิงเฟิงที่เพิ่งรายงานความเคลื่อนไหวของพระชายาเสร็จ ท่านอ๋องก็ตามใจถึงเพียงนี้ทำให้ชิงเฟิงถึงกับต้องเบิกตาโต
ท่านอ๋องของเขากลายเป็นบุรุษช่างเอาใจตั้งแต่เมื่อไร ?
เพราะนานครั้งจักมีโอกาสเช่นนี้ อันหลิงเกอจักปล่อยไปโดยง่ายได้เยี่ยงไร นางต้องรีบออกจากเรือนมาขออนุญาตเขาอยู่แล้ว
เนื่องจากหลายวันก่อน มู่จวินฮานห้ามมิให้นางออกไปข้างนอกเด็ดขาดด้วยเหตุผลเรื่องสุขภาพของนาง
แต่ก็ผ่านไปตั้งนานแล้วยังหาวิธีถอนพิษมิได้ มู่จวินฮานไตร่ตรองแล้วพบว่าหากยังบังคับนางต่อไปเช่นนี้คงมิดีเท่าไรจึงรับปากว่าจักไปเป็นเพื่อนนาง
มู่จวินฮานมิรู้ควรทำเช่นไรกับชายาคนนี้ เมื่อเห็นนางมานั่งรออย่างมีความหวัง เขาก็อดหัวเราะออกมามิได้ “พรุ่งนี้ข้าจักพาเจ้าออกไปอย่างแน่นอน ส่วนวันนี้เจ้าไปพักผ่อนก่อนเถิด”
เดิมทีมู่จวินฮานอยากพานางออกไปตอนกลางคืนช่วงที่ผู้คนบางตา แต่คาดมิถึงว่าพอเห็นท่าทางมีความสุขของอันหลิงเกอแล้ว ลำคอของเขาก็รู้สึกแห้งผากขึ้นมาเสียดื้อ ๆ
ช่วงเวลาที่ดีเช่นนี้ หากมิไปเดินเล่นข้างนอกก็เสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์มิใช่หรือ ?
…
*พระชายาเช่อเฟย หรือ พระชายารองที่มาจากตระกูลสูง คำว่าเช่อมาจากเช่อซื่อแปลว่าห้องข้าง ๆ สื่อว่าเป็นภรรยารองไม่ใช่ห้องหลักที่เรียกว่าเจิ้งซื่อ