ตอนที่ 260 แวะมานั่งคุย
เย่ฉูฉู่กลอกตาใส่เขาปราดหนึ่ง “คุณไม่ได้อยู่ในสถานการณ์เดียวกันไม่เข้าใจหรอก รอให้ลูกชายคุณโตก่อนฉันจะรอดูว่าคุณจะให้เขาเรียนหนังสือหรือให้เขาไปเล่น”
“ถึงเวลาเรียนก็ยังต้องเรียน ถึงเวลาเล่นก็ต้องเล่น ถึงยังไงผมก็ไม่ให้ลูกชายไปเรียนของไร้สาระพวกนั้นอยู่แล้ว เว้นเสียแต่ว่าเขาอยากเรียนเอง” จ้าวเหวินเทาหันไปมองเสี่ยวไป๋หยางแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “ภรรยา ผมคิดไว้ดีแล้ว ขอแค่ลูกชายของพวกเราเติบโตมาอย่างปลอดภัยและมีความสุขก็พอ ที่ให้เป็นนักวิทยาศาสตร์ นักเขียน นักดนตรีอะไรพวกนั้นมันเหนื่อยเกินไป ไม่ต้องเป็นหรอก!”
เย่ฉูฉู่รู้สึกขบขันมาก “พูดอย่างกับว่าลูกชายของคุณเป็นได้งั้นแหละค่ะ!”
“ถ้าลูกชายของผมไม่สามารถเป็นในสิ่งที่อยากเป็นได้! ยังจะเป็นลูกชายของผมอีกเหรอ?” จ้าวเหวินเทาเอ่ยพลางแหย่เสี่ยวไป๋หยาง
เสี่ยวไป๋หยางยกมือเล็ก ๆ ขึ้นมาตอบรับด้วยรอยยิ้ม
เมื่อข้ามผ่านวันที่สิบห้าของเดือนแรกตามปฏิทินจันทรคติ มันก็เป็นสัญญาณว่าการข้ามปีได้สิ้นสุดลงแล้ว ดังนั้นวันที่สิบห้าของเดือนแรกจึงฉลองอย่างเป็นทางการ ปีที่แล้วเป็นปีที่ไม่ค่อยดี แต่ละบ้านห่อเกี๊ยวด้วยแป้งบัควีทและไส้ผักดองเค็มก็นับว่าดีแล้ว ใช้กระดาษขาด ๆ ห่อฝ้ายนิดหน่อย นำไปแช่ในน้ำมันก๊าด จุดโคมไฟไว้สามสี่ดวง ก็ถือว่าเป็นการฉลองข้ามผ่านเทศกาลโคมไฟของวันที่สิบห้าเดือนแรกแล้ว เรียบง่ายจนค่อนไปทางหยาบ
ปีนี้กลับแตกต่างกัน การเก็บเกี่ยวผลผลิตเป็นไปด้วยดี และยังมีรายได้เสริมจากการขายกระต่ายด้วย นอกจากนี้ก็ติดตั้งไฟฟ้าแล้ว คนส่วนหนึ่งสร้างบ้านใหม่ด้วย ไม่ว่าจะพูดอย่างไร วันที่สิบห้าของเดือนแรกเลขาก็อยากฉลองเทศกาลอย่างดี จึงเพิ่มความเป็นพิธีรีตองขึ้นมาหน่อย
ชาวบ้านมีทั้งเห็นด้วยและคัดค้าน ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าคนที่คัดค้านก็เพราะไม่อยากจ่ายเงินนั่นแหละ
ทั้งหมู่บ้านจุดโคมไฟ และมีคนรวมตัวกันไปไหว้เทพที่ศาลเจ้าที่บนเขา เพื่อให้เทพอวยพรปีใหม่ให้เป็นปีที่ดีในการเก็บเกี่ยว ซึ่งเรื่องนี้จำเป็นต้องให้ทุกครอบครัวออกเงินนิดหน่อยด้วย
“ทุกปีไม่จ่ายเงินก็ไหว้เทพตามปกติอยู่แล้ว ทำไมปีนี้ไม่ได้ล่ะ เพิ่งได้เงินมานิดหน่อยไม่ให้จ่ายตรงนี้ก็ให้ไปจ่ายตรงนั้น!” พี่สามจ้าวบ่นด้วยความไม่พอใจอย่างมาก
ในอีกไม่กี่วันเขาก็ต้องเริ่มทำเต้าหู้แล้ว แม้อากาศจะยังหนาว แต่หิมะบนพื้นดินก็เริ่มละลายและกำลังจะเริ่มทำนากันแล้ว จึงไม่มีเวลาทำเต้าหู้ นี่ไม่เพียงแต่จะไม่มีเงินเข้าแต่ยังต้องจ่ายเงินออกไปอีก สำหรับเขาที่เป็นพวกตระหนี่ถี่เหนียวแล้วย่อมรับไม่ได้
“ปีที่แล้วเรียกว่าไหว้เทพที่ไหนกันล่ะ จุดโคมไฟเล็ก ๆ แค่สิบกว่าดวง พระแม่ธรณีคงโกรธเคืองแย่แล้ว ไม่งั้นแต่ละปีคงเก็บเกี่ยวข้าวไม่ได้” พี่สะใภ้สามจ้าวกล่าว “คุณอย่าพูดจาเหลวไหล ถ้าพระแม่ธรณีทราบเข้า พืชผลของคุณคงเติบโตได้ไม่ดี!”
แม้ว่าพี่สามจ้าวจะไม่พอใจ แต่ก็ไม่กล้าทำให้เทพขุ่นเคือง จึงไม่ได้บ่นอะไรอีก
พี่รองจ้าวก็กำลังคุยกับพี่สะใภ้รองจ้าวเรื่องจุดโคมไฟอยู่ “ถ้ามาเก็บเงินพวกเราก็จ่ายสักสองเหมาแล้วกัน”
“สองเหมาน้อยเกินไปหน่อยมั้ง นี่เป็นการไหว้เทพเลยนะ” พี่สะใภ้รองจ้าวกล่าว “ห้าเหมาแล้วกัน ถึงเวลานั้นคุณก็ตามไปด้วยนะ คุณไปพูดกับพระแม่ธรณีเองเลย ให้ท่านอวยพรให้ครอบครัวของเรามีพืชผลที่ดีในปีนี้”
พี่รองจ้าวรู้สึกปวดใจกับเงินส่วนนี้ ข้ามปีก็จ่ายเงินไปเยอะแล้ว ตอนไปบ้านของพี่สะใภ้รองจ้าวก็จ่ายเงินไปอีกส่วน บ้านที่สร้างยังจ่ายหนี้ไม่หมดเลย แต่เมื่อนึกได้ว่านี่คือพระแม่ธรณี จึงทำได้เพียงแค่ฝืนใจตอบตกลง
ทางฝั่งพี่สะใภ้สี่จ้าวก็บ่น “เงิน ๆ ๆ มีแต่เงินทั้งนั้นเลย! จุดโคมไฟก็ยังต้องใช้เงิน!”
“คุณจะไม่จ่ายก็ได้นะ ไม่มีใครบังคับคุณสักหน่อย” พี่สี่จ้าวเก็บอุปกรณ์ทำการเกษตรพลางกล่าว
พี่สะใภ้สี่จ้าวรีบพูด “ไม่จ่ายเงินคนอื่นก็ได้พูดถึงข้อบกพร่องหมดสิ? คุณยังอยากใช้ชีวิตอยู่ในหมู่บ้านหรือเปล่า? อนาคตมีลูกชายขึ้นมา จะอยู่ในหมู่บ้านได้อีกเหรอ? คุณนี่รู้แต่พูดจาแดกดันนะ!”
พี่สี่จ้าวไม่ได้สนใจหล่อนแล้ว
พี่สะใภ้สี่จ้าวกลับพูดต่อไปว่า “ก็เหมือนกับข้ามปีของปีนี้ไง น้องสะใภ้หกตัดชุดให้แม่ใส่ ทั้งหมู่บ้านก็รู้กันหมด น้องสะใภ้หกก็มีชื่อเสียงขึ้นมาเลย ใคร ๆ ก็พูดกันว่าเป็นลูกสะใภ้กตัญญู! พวกเราล่ะ พวกเราก็ไม่ได้อยู่ว่าง ๆ สักหน่อย ฉันเองก็ตัดรองเท้าให้แม่อีกคู่หนึ่งด้วย! ไม่เห็นมีใครพูดถึงฉันในแง่ดีเลย!”
“คุณคิดจะพูดอะไร?” พี่สี่จ้าวไม่เข้าใจเลย พูดถึงเรื่องจุดโคมไฟอยู่ดี ๆ กลับลากเข้าไปถึงเรื่องเย็บชุดให้คุณแม่จ้าวแล้ว
“ฉันอยากจะพูดอะไรน่ะเหรอ สิ่งที่ฉันอยากพูดก็คือ ถ้าใครจ่ายเงินมากก็ถือว่าเป็นคนดี จุดโคมไฟถ้าคุณหยิบเงินออกมาน้อยบางทีอาจจะเอาคุณไปพูดเสีย ๆ หาย ๆ ก็ได้!” พี่สะใภ้สี่จ้าวโกรธจนหายใจฟึดฟัด “น้องสะใภ้หกต้องให้เยอะแน่นอน ไม่รู้ว่ามีกี่คนที่บอกว่าเธอเป็นคนดี! คนมีเงินก็คือคนดี!”
พี่สี่จ้าวไม่เข้าใจตรรกะของพี่สะใภ้สี่ เขาจึงเพิกเฉยหล่อน
พี่สะใภ้สี่จ้าวยังคงบ่นต่อไป “…สุดท้ายแล้วก็เป็นเพราะไม่มีลูกชาย นี่ถ้ามีลูกชาย จะทำแบบนี้กับพวกเราได้ยังไง…”
รู้อยู่แล้วว่าภรรยาคนนี้ไม่ว่าจะพูดอะไรสุดท้ายก็วกกลับไปลงที่ลูกชาย พี่สี่จ้าวถึงกับบุ้ยปากในใจ
วันที่สิบสามของเดือนแรกหัวหน้าหมู่บ้านหาคนที่มีความสามารถมาเพื่อเป็นพิธีกรให้กับงานเทศกาลโคมไฟ เดิมทีเขาเรียกให้จ้าวเหวินเทามาทำหน้าที่นี้ แต่จ้าวเหวินเทากลับปฏิเสธ ตอนนี้เขายุ่งมาก นอกจากวิ่งไปค้าขายแล้ว ยังต้องหาคนมาสร้างรังกระต่ายด้วย จึงไม่มีเวลาทำ
หัวหน้าหมู่บ้านจึงทำได้เพียงแค่หาคนหนุ่ม ๆ มาสองสามคน เรื่องนี้พวกหนุ่มสาวต่างก็ให้ความสนใจ อย่างแรกคือได้เงิน อย่างที่สองคือได้สร้างโคมไฟ อีกอย่างก็คือรวมตัวกันเพื่อทำกิจกรรมจุดโคมไฟในวันนั้น จึงทำด้วยความคึกคักและกระตือรือร้น
เย่ฉูฉู่เองก็สร้างโคมไฟส่วนหนึ่งอยู่ที่บ้าน ถึงเวลานั้นก็จะปล่อยที่ลานบ้านตัวเอง หลังจากห่อโคมไฟเสร็จแล้ว เมื่อเห็นว่ายังเช้าอยู่ เธอจึงทำไส้เกี๊ยวเพื่อนำมาห่อเกี๊ยว
เธอเตรียมไส้เกี๊ยวไว้สองแบบ คือไส้ผักดองกับเต้าหู้และไส้เนื้อแกะกับขึ้นฉ่าย เสี่ยวไป๋หยางกำลังเตะขาเล่นอยู่ เย่ฉูฉู่ทำงานเพียงคนเดียว ส่วนลูกลิงก็กำลังแอบกินไส้เกี๊ยว
นี่ก็เป็นลูกอีกคนหนึ่งของนางเหมือนกัน เย่ฉูฉู่จึงหลับหูหลับตาข้างหนึ่งทำเป็นมองไม่เห็น ในเวลานี้เฮ่อซงจือก็แวะมาที่บ้าน ลูกลิงจึงหนีออกไปเหมือนกับทุกครั้ง
“เมื่อกี้คือลูกลิงบ้านเธอสินะ?” เฮ่อซงจือเดินเข้ามาในห้องก็เห็นเงาหนึ่งผ่านไป ทั้งยังมีเสียง ‘เจี๊ยก ๆ’ ดังขึ้นด้วย
เย่ฉูฉู่เรียกให้หล่อนขึ้นมานั่งบนเตียงเตาด้วยรอยยิ้ม “ใช่ มันกลัวคนน่ะ พอมีคนมาก็จะไปหลบ”
เฮ่อซงจือเห็นเย่ฉูฉู่กำลังห่อเกี๊ยวจึงกล่าวเคล้ารอยยิ้มว่า “ขนาดเธอต้องเลี้ยงลูกไปด้วยยังห่อเกี๊ยวเองได้ สุดยอดจริง ๆ” ระหว่างที่พูด หล่อนก็ไปล้างมือเพื่อมาช่วยห่อเกี๊ยว
“ถ้าบอกให้เขานั่งดูเขาก็ไม่ซนแล้ว” เย่ฉูฉู่กล่าว “พวกเธอทำโคมไฟหรือยัง?”
“เหวินจื้อกำลังทำอยู่ที่บ้าน” เฮ่อซงจือกล่าว “ฉันให้นมลูกเสร็จแล้ว ก็เลยให้ย่าเขาช่วยดูให้แล้วแวะออกมา อยู่แต่ในบ้านอุดอู้จะตายอยู่แล้ว”
เย่ฉูฉู่ยิ้ม “เธอเองก็ไม่ได้อยู่แต่ในบ้านไม่ใช่เหรอ?”
เฮ่อซงจือตอบ “แต่มันก็หงุดหงิดอยู่ดี เลี้ยงลูกไปไหนไม่ได้เลย วันที่สองของเดือนฉันก็ไม่ได้กลับไปไหว้พ่อแม่ พาลูกไปด้วยก็กลัวจะเป็นหวัด ไม่พาไปลูกก็ยังต้องกินนม ก็เลยกลับไปไม่ได้”
“ฉันเองก็ไม่ได้กลับไปเหมือนกัน วันที่สามเหวินเทาก็ไปเยี่ยมพ่อแทนฉันแล้ว” เย่ฉูฉู่กล่าว “ฉันอยากให้พ่อมาอยู่ที่นี่สักสามสี่วัน แต่พ่อก็ไม่ยอมมา บอกว่าเลี้ยงสัตว์อยู่ในบ้านจะทิ้งไว้ไม่ได้ พ่อของฉันมีลักษณะเฉพาะตัว ให้ไปไหนก็ไม่ไปทั้งนั้น อยู่แต่ในห้องของตัวเอง ขนาดพี่สะใภ้ฉันอยู่ทางนั้นก็ยังไม่ไปเลย” เย่ฉูฉู่กล่าว
“แม่เธอจะกลับมาตอนไหนเหรอ?” เฮ่อซงจือห่อเกี๊ยวเสร็จแล้วก็วางลงบนถาด
“ไม่รู้สิ รอให้ผ่านวันที่สิบห้าติดตั้งโทรศัพท์เสร็จเมื่อไร ฉันจะโทรไปถามแม่ดู” เย่ฉูฉู่กล่าว
“พวกเธอสองคนห่อเกี๊ยวไว้สองอย่างเลยเหรอ?” เฮ่อซงจือถาม
“แบบเนื้อกับแบบผักน่ะ เวลากินจะได้ไม่เลี่ยน อีกอย่างมันก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร ห่อให้หลากหลายสักหน่อย” เย่ฉูฉู่ห่อเร็วมาก ตะเกียบแทบจะไม่หลุดออกจากมือของเธอเลย ระหว่างที่พูดคุยก็ห่อเสร็จไปสามลูกแล้ว
“ฉูฉู่ ฉันรู้ว่าเธอห่อเกี๊ยวคนเดียวได้ แต่เธอห่อเร็วเกินไปแล้วนะ!” เฮ่อซงจือพูดด้วยความประหลาดใจ “ก่อนหน้านี้ทำไมฉันไม่เห็นเคยรู้มาก่อนเลย”
“ฉันเองก็เพิ่งจะเรียนรู้นี่แหละ” เย่ฉูฉู่กล่าวเคล้ารอยยิ้ม “เกี๊ยวแบบนี้ต้องใช้แป้งขาวถึงจะดี ใช้แป้งบัควีทมันนิ่มเกินไป จับจีบยาก”
เฮ่อซงจือพูดด้วยความเสียใจ “บ้านฉันสู้บ้านเธอไม่ได้เลย ขนาดแป้งขาวจะให้กินทุกวันยังเสียดายเลย ได้กินสักหน่อยในช่วงเทศกาลก็ถือว่าไม่เลวแล้ว”
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
เชื่อว่าไป๋หยางน้อยจะโตมาอย่างมีความสุขแน่ๆ ค่ะ มีพ่อแม่ทัศนคติดีแบบนี้
พี่สะใภ้สี่นี่ก็พูดเรื่องลูกชายไม่เลิกเลยนะ ถ้ามีลูกชายขึ้นมาจริงๆ นี่จะไม่ตามใจจนเสียคนเหรอ
ไหหม่า(海馬)