[ติดตามข่าวสารได้ที่เพจ : จักรพรรดิ์เทพมังกร]

บทที่ 465 : ถ้ำแห่งแรก!

ธงชาติสีแดงสูงตระหง่านอยู่กลางเกาะท่ามกลางทะเล และกำลังโบกสะบัดเสียงดังราวกับกำลังประกาศก้อง!

หลิงหยุนยืนอยู่บนยอดเขาสูงสุดของเกาะเตียวหยู เขามองเรือลาดตระเวนที่แล่นห่างไปราวห้าร้อยเมตรอยู่เงียบๆ ด้วยแววนตาที่สงบนิ่งจนดูเฉยชา

หลิงหยุนไม่ได้แสดงอารมณ์เดือดดาลออกมา ท่าทางและแววตาของเขามีเพียงความสงบนิ่ง แม้กระทั่งในเวลาที่นึกสาปแช่งคนญี่ปุ่นอยู่ก็ตาม

ในสายตาของหลิงหยุน โลกเป็นเพียงดาวเคราะห์ดวงหนึ่งที่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่เท่านั้น ประเทศต่างๆบนโลกใบนี้ จึงไม่ต่างจากองค์กรใดองค์กรหนึ่งของโลกใบนี้เท่านั้น เขาจึงไม่รู้สึกตื่นเต้นตกใจกับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น

ไม่มีสิ่งใดน่าหวาดกลัว หากคุณแข็งแกร่งพอ แล้วสิ่งมีชีวิตบนดาวเคราะห์ดวงนี้ก็จะอยู่ใต้ฝ่าเท้าของคุณ ไม่จำเป็นต้องไปคำนึงถึงเรื่องประเทศชาติ หรือดินแดนอะไรนั่น!

ที่หลิงหยุนต้องสังหารคนพวกนั้น ก็เพราะพวกมันมีตาแต่ไร้แวว จึงกล้าเข้ามาขวางทางเขา และใครก็ตามที่กล้าขวางทางหลิงหยุน มันผู้นั้นต้องตาย!

หลิงหยุนลูบไล้ศรีษะของเจ้าขาวปุยพร้อมกับยิ้มเล็กน้อย เขาใช้คางชี้ไปด้านหน้าของตัวเองให้เจ้าขาวปุยมองตำรวจน้ำบนเรือลาดตระเวนของจีนที่กำลังถ่ายวีดีโอกันใหญ่ แล้วหลิงหยุนก็ถามด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ

“ขาวปุย.. เจ้ารู้ไม๊ว่าผู้คนรบกันเพื่ออะไร?”

ดวงตาที่อยู่บนใบหน้าสวยงามของเจ้าขาวปุยหรี่ลงเล็กน้อย และดูเหมือนว่ามันคงจะไม่เข้าใจคำถามของหลิงหยุน

หลิงหยุนยิ้มให้เจ้าขาวปุย จากนั้นจึงยกมือขึ้นผายออกไปรอบๆ พร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ก็เพื่อทรัพยากรธรรมชาติพวกนี้ยังไงล่ะ!”

“ทุกสรรพชีวิต.. ล้วนต้องการมีความเป็นอยู่ที่ดีกว่าเดิม ต้องการมีความสุขในชีวิตให้มากขึ้น ต้องการความแข็งแกร่ง และต้องการความสะดวกสบาย ทุกชีวิตจึงสร้างสิ่งต่างๆขึ้นมาเพื่อเอาชนะคะคานกัน และเพื่อจะได้ครอบครองทรัพยากรธรรมชาติให้ได้มากที่สุด!”

หลิงหยุนกำลังอธิบายถึงเหตุผลที่แท้จริงของการทำสงคราม!

สงครามไม่ว่ายุคสมัยใหน ล้วนเกิดจากการแข่งขัน แก่งแย่ง เพื่อให้ได้ครอบครองทรัพยากรธรรมชาติบนโลกใบนี้ให้ได้มากที่สุด และเพื่อความอยู่รอดของตัวเอง!

เมื่อเห็นเจ้าขาวปุยกำลังพยักหน้าคล้ายกำลังครุ่นคิด หลิงหยุนก็ถึงกับหัวเราะออกมา

“มันเป็นกฎธรรมชาติ ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด จึงจะมีสิทธิ์ที่จะมีชีวิตรอด เพราะฉะนั้นพวกเราจึงต้องฝึกฝนให้หนักยิ่งขึ้น!”

“บททดสอบที่เหี้ยมโหดจากสวรรค์.. ความจริงมันก็คือบทลงโทษที่สวรรค์มอบให้กับผู้ฝึกตน และใช้สำหรับคัดเลือกว่าผู้ใดจะมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะอยู่บนโลกใบนี้ต่อ และทดสอบว่ามีความแข็งแกร่ง และก้าวหน้ากว่าเดิมหรือไม่?”

จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางกลายร่างเป็นมนุษย์ แต่มนุษย์กลับเรียกมันว่าปีศาจ! ทั้งที่การกลายร่างของมันนั้นไม่ใช่เพียงแค่การแปลงกลายที่เปรียบเหมือนภาพลวงตา แต่เป็นการกลายร่างทั้งภายใน และภายนอกเพื่อมาเป็นมนุษย์

ครั้งนี้หากเจ้าขาวปุยสามารถเอาชีวิตรอดจากอสุนิบาตมาได้ มันก็จะสามารถกลายร่างเป็นมนุษย์ได้สำเร็จ แต่หากทำไม่สำเร็จ มันก็ต้องจบชีวิตลงอย่างแน่นอน!

เมื่อครั้งที่อยู่ในโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่ หลิงหยุนสอบตกในขั้นของการทดสอบที่เหี้ยมโหดนี้ เขาจึงต้องตายไปจากโลกเดิม เหลือเพียงดวงจิตดั้งเดิมที่หนีรอดออกมาได้ และมาเกิดในโลกมนุษย์อีกครั้ง!

“เห็นได้ชัดว่าสวรรค์คงต้องการให้ข้าตาย!” เมื่อนึกถึงความเจ็บปวดทุกข์ยากในครั้งนั้นแล้ว หลิงหยุนก็ได้แต่นึกสาปแช่งอยู่ในใจเงียบๆ

เพราะหากจะพูดไปแล้ว.. ในโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่นั้น อสุนีบาตสำหรับหลิงหยุนเกือบจะเป็นเรื่องที่ธรรมดา และคุ้นเคยกับเขาไม่ต่างจากการกินอาหารหนึ่งมื้อเลย

นั่นเพราะเขามีวิธีการบ่มเพาะที่แตกต่างจากผู้อื่น หลิงหยุนเริ่มฝึกร่างกายให้สามารถรองรับอสุนีบาต หรือสายฟ้านี้ได้จากการฝึกขั้นรากฐาน ทุกครั้งที่เขาฝึกฝนจนสามารถผ่านระดับเล็กๆของขั้นรากฐานนี้ไปได้ในแต่ละระดับนั้น เขาจะต้องเผชิญกับความทุกข์ทรมานจากการถูกสายฟ้าฟาด และเมื่อเขาฝึกจนสามารถผ่านขั้นใหญ่แต่ละขั้นไปได้นั้น สายฟ้าหรืออสุนีบาตที่ฟาดลงมาใส่ ก็จะทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ สายฟ้าที่ฟาดลงบนร่างกายของเขาแต่ละครั้งนั้น จึงช่วยเพิ่มความความทนทานต่อความร้อนให้กับกายเนื้อ และดวงจิตของเขาเอง ยิ่งถูกสายฟ้าฟาดลงมากมากเท่าไหร่ และรุนแรงเท่าไหร่ ร่างกายของเขาก็จะยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น!

กายเนื้อและดวงจิตที่ถูกฝึกฝนจนสามารถทนต่อความร้อนที่เหลือประมาณของอสุนีบาตแต่ละครั้งได้นั้น แน่นอนว่าจะต้องทรงพลัง และแข็งแกร่งอย่างมาก ทำให้หลิงหยุนสามารถต่อกรกับศัตรูที่เหนือกว่าเขาถึงสามขั้นได้อย่างสบาย

และนั่นก็คือเหตุผลว่าเพราะเหตุใดหลิงหยุนจึงถูกกล่าวถึงว่าเป็นสุดยอดนักบ่มเพาะที่ชาญฉลาดอย่างยิ่งในโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่!

แต่สิ่งที่หลิงหยุนกลับคาดไม่ถึงก็คือว่า.. ในขั้นตอนสุดท้ายที่เขาจะสามรถเข้าสู่ขั้นอมตะได้นั้น อสุนีบาตที่น่าสยดสยองก็ฟาดลงมาบนตัวเขาถึง 999 เส้น เขาใช้ของวิเศษที่มีอยู่ไปจนหมด และสามารถรักษาชีวิตมาจนถึงนาทีสุดท้ายได้อย่างยากลำบาก

แต่กลับคิดไม่ถึงว่าอสุนีบาตเส้นสุดท้ายนั้นกลับเป็นสายฟ้าเทวะสีม่วงที่มีพลังรุนแรง และทันทีที่ร่างของหลิงหยุนปะทะเข้ากับสายฟ้าเทวะ กายเนื้อของเขาก็ถูกเผาเป็นจุนในชั่วพริบตาจนไม่เหลืออะไร!

หลิงหยุนในเวลานั้นมีความแข็งแกร่งกว่าตอนนี้หลายพันเท่า ก็ยังต้องพ่ายแพ้ให้กับสายฟ้าเทวะจนไม่สามารถผ่านบททดสอบที่เหี้ยมโหดนั้นได้ และจบชีวิตลงในที่สุด จึงแทบไม่ต้องพูดถึงมนุษย์ธรรมดาๆ

แต่บททดสอบที่เหี้ยมโหดของสวรรค์นั้น.. จุดมุ่งหมายก็เพื่อความเป็นอมตะ!

“ไม่กล้าให้ข้าเป็นอมตะงั้นรึ? คงกลัวว่าข้าจะไปแย่งชิงทรัพยากรกับพวกเจ้าสินะ! ยิ่งพวกเจ้าไม่ต้องการให้ข้าขึ้นไป คอยดู.. แม้จะอยู่บนโลกใบนี้ ข้าก็จะขึ้นไปให้ดู!”

แววตาของหลิงหยุนเป็นประกาย ใบหน้าหยิ่งผยองอย่างไม่ยอมแพ้ของเขาแหงนมองขึ้นไปบนฟ้า!

ท่ามกลางจักรวาลที่กว้างใหญ่ และลึกลับแห่งนี้ ใครกันคือผู้ครอบครอง?!

หากผ่านขั้นอมตะได้เมื่อใด สิ่งที่ตามมาก็คือช่วงเวลาแห่งความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ผู้นั้นจะได้ทะยานขึ้นสู่สรวงสวรรค์เช่นนั้นหรือ? หากใช่.. แล้วสรวงสวรรค์เป็นสถานที่เช่นใดกันแน่?!

และนี่คือคำถามที่อยู่ในใจของหลิงหยุน!

หลังจากที่ยืนครุ่นคิดอยู่นาน หลิงหยุนก็โน้มตัวลงอุ้มเจ้าขาวปุยไว้ในอ้อมแขนอย่างอ่อนโยน พร้อมกับพูดขึ้นว่า

 “ขาวปุย.. เจ้าไม่ต้องกังวลหรือหวาดกลัวสิ่งใด! มีข้าอยู่ด้วยทั้งคน ข้าจะช่วยให้เจ้ากลายร่างเป็นมนุษย์ได้สำเร็จ!”

แม้น้ำเสียงของหลิงหยุนจะนุ่มนวล แต่ก็เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ!

เจ้าขาวปุยที่กำลังขดตัว และซบหัวลงในอ้อมแขนของหลิงหยุนนั้น เมื่อได้ฟังคำปลอบใจ ความกลัวที่จะต้องเผชิญกับบททดสอบก็เลือนหายไปในทันที

เรือประมงหายลับตาไปในที่สุด และเรือลาดตระเวนของจีนก็ค่อยๆแล่นห่างจากเกาะเตียวหยูไปเช่นกัน หลิงหยุนได้แต่ถอนหายใจ เพราะตอนนี้เหลือเพียงเรือลาดตระเวนของทหารญี่ปุ่นที่ยังลอยสงบนิ่งอยู่กลางทะเล

“ไปหาที่สำหรับพักผ่อนกันดีกว่า!”

หลิงหยุนมองไปทางเรือลาดตระเวนทั้งสี่ลำอีกครั้ง จากนั้นก็อุ้มเจ้าขาวปุยมุ่งหน้าไปทางทิศใต้ของเกาะเตียวหยูซึ่งมีลักษณะคล้ายหัวมัน มีความยาว 3.5 กิโลเมตร กว้าง 1.5 กิโลโลเมตร ภูมิประเทศทางตอนเหนือมีลักษณะราบแบน แต่ทางตอนใต้ค่อนข้างสูงชัน ทางด้านตะวันออกและตะวันตกมีลักษณะเป็นภูเขาขนาดกลาง และภูเขาที่สูงที่สุดบนเกาะนั้น ก็มีความสูงเหนือระดับน้ำทะเลอยู่ที่ 400 เมตร และตั้งอยู่กลางเกาะ

หลิงหยุนลงมาจากยอดเขาสูง และได้พบกับหน้าผาสูงชันแห่งหนึ่ง หลังจากที่สังเกตุดูสภาพแวดล้อมคร่าวๆแล้ว เขาจึงตัดสินใจเหาะไปที่หน้าผานั้น

หลิงหยุนเรียกกระบี่โลหิตแดนใต้ออกมา และใช้มันขุดเป็นถ้ำอยู่บนหน้าผาแห่งนั้น ความกว้างของถ้ำมีขนาดเท่าสองคนเดิน สูงสองเมตร และลึกสิบเมตร เพื่อใช้เป็นที่พักอาศัยชั่วคราวของเขากับเจ้าขาวปุย

หน้าผาแห่งนี้อยู่เหนือระดับน้ำทะเลราว 40 เมตร และด้านบนก็เป็นหินและภูเขาที่แข็งแรง

หลิงหยุนจัดการปิดปากถ้ำด้วยหินก้อนใหญ่สองก้อน เหลือเพียงช่องเล็กๆไว้สำหรับให้เดินเข้าออกได้ และได้ให้เจ้าขาวปุยใช้วิชาลวงตาบดบังถ้ำแห่งนี้ไว้ ตราบใดที่ไม่ได้ถอนวิชาลวงตา คนธรรมดาก็ไม่อาจมองเห็นถ้ำแห่งนี้ได้

“นี่เป็นถ้ำแห่งแรกที่ข้าขุดไว้บนโลกใบนี้..”

หลิงหยุนหยิบไข่มุกราตรีออกมาหกเม็ด และวางมันไว้รอบๆถ้ำ จากนั้นก็ใช้กระบี่โลหิตแดนใต้ตัดหินให้เป็นโต๊ะ และม้านั่ง จากนั้นจึงร้องเรียกเจ้าขาวปุย..

ไข่มุกราตรีทั้งหกเม็ดส่องสว่างไสวไปทั่วบริเวณ และหลิงหยุนก็ได้เห็นสายตาที่เอียงอายของเจ้าขาวปุย มันดูคล้ายกับดวงตามนุษย์มาก!

หลิงหยุนเรียกอาหารและน้ำดื่มออกมาจากแหวนพื้นที่ และรีบร้องเรียกเจ้าขาวปุย

“มาเร็วเข้า! ดึกมากแล้ว เจ้าคงจะเหนื่อยมากสินะ! มากินข้าวกันก่อนเร็วเข้า กินเสร็จจะได้รีบพักผ่อน แล้วพรุ่งนี้ค่อยคิดกันใหม่!”

เรียกได้ว่าถึงแม้จะเป็นเกาะร้าง แต่ก็เป็นวันที่ดีมากสำหรับหลิงหยุนกับเจ้าขาวปุย..

ไม่เพียงมีน้ำดื่มและอาหารเพียบพร้อม แต่ถังเมิ่งยังได้เตรียมเหล้าเหมาไถไว้ให้หลิงหยุนอีกหนึ่งลังด้วย เรียกได้ว่าเตรียมพร้อมมาก!

แต่เพราะแหวนพื้นที่ของหลิงหยุนบรรจุอาหารและน้ำดื่มจนเต็มแล้ว เขาจึงไม่ได้ใส่เหล้าเหมาไถลังนั้นมาด้วย

หลังจากกินกันจนอิ่มหนำสำราญแล้ว หลิงหยุนจึงสั่งให้เจ้าขาวปุยเริ่มฝึกฝน เพื่อให้มันกลายร่างได้เร็วที่สุด เขาสั่งให้มันแสดงพลังของตนเองออกมาได้เต็มที่ไม่ต้องปิดบัง เพื่อที่เขาจะได้รีบกลับบ้าน เพราะยังมีเรื่องมากมายที่ต้องกลับไปจัดการ

หลิงหยุนนั่งลงบนพื้น และฝึกพลังลับหยินหยางเพื่อคืนพลังชี่ภายในจุดตันเถียน

เมื่อพลังหยินและหยางฟื้นตัวแล้ว หลิงหยุนก็มองเจ้าขาวปุยที่กำลังฝึกฝนอย่างหนัก เขาออกไปที่ทางเข้าถ้ำ และกระโดดลงไปที่พื้นด้านล่างทันที

บนเกาะเตียวหยูแห่งนี้ นอกจากเสียงลมพัดหวีดหวิวแล้ว ก็มีเพียงเสียงคลื่นที่ซัดกระทบกับฝั่งเท่านั้น ไม่มีเสียงอื่นให้ได้ยินอีกเลย และนั่นทำให้หลิงหยุนประหลาดใจไม่น้อย..

หลิงหยุนเดินสำรวจไปทั่วเกาะอย่างความรวดเร็ว หลังจากนั้นก็ปีนขึ้นไปบนยอดเขาอีกครั้ง เขายืนมองท้องทะเลที่ไร้ขอบเขตภายใต้แสงจันทร์ และเห็นเรือลาดตระเวนของทหารญี่ปุ่นยังคงจอดลอยอยู่อย่างนั้น

“น่าแปลก.. ทำไมเรือรบ แล้วก็เครื่องบินของพวกญี่ปุ่นกับอเมริกาถึงยังมาไม่ถึงอีก? ความจริงพวกมันน่าจะต้องบุกมาที่นี่แล้ว..”

หลิงหยุนพึมพำเบาๆพร้อมกับขมวดคิ้ว..

“ไม่มา.. ก็ดี เพราะถ้ามาก็ต้องตาย..” หลิงหยุนแสยะยิ้ม และไม่คิดหาเหตุผลอะไรมากมาย แล้วรีบกลับไปที่ถ้ำทันที

ตอนนี้หลิงหยุนคือผู้ครอบครองเกาะเตียวหยู ก่อนที่เจ้าขาวปุยจะกลายร่างได้สำเร็จ ใครก็ตามที่พบเจอกับเขา มันจะต้องตาย ไม่มีเหตุผลที่เขาจะต้องเสียเวลาพูดจาด้วย!

หลังจากที่เข้าไปในถ้ำ หลิงหยุนก็เรียกอาหารและน้ำดื่มออกมาจากแหวนพื้นที่ และรีบกลับไปยังชายหาดที่จอดเรือไว้ แล้วนำอาหารที่เหลือบนเรือกลับไปที่ถ้ำ

จากนั้นหลิงหยุนก็ออกมานอกถ้ำอีกครั้งเพื่อหาสถานที่สำหรับฝึกดารกะดายัน

และคืนที่แสนยาวนานก็ผ่านไป…