ตอนที่ 341

The Divine Nine Dragon Cauldron

“หึหึ เจ้าพวกมนุษย์หน้าโง่ แม้จะเจอกับภัยร้าย พวกเจ้าก็ยังต่อสู้กันเอง ช่างน่าเศร้าและน่าหัวร่อนัก”

 

เหนือนภา วิหคทองคำสะบัดปีก

 

วิหคนั้นรูปร่างราวกับนกกระเต็น มันดูงดงามและน่าหลงใหล

 

ใต้แสงตะวัน สีทองอันตระการตาของมันส่องสะท้อนกับขนปีก

 

มันดูราวกับวิหคที่สลักมาจากทองคำ!

 

ที่หัวของมันมีมงกุฎของราชวงศ์ที่ส่องสะท้อนแสงตลอดเวลา

 

ราวกับว่ามันเป็นราชาในตำนานที่ยืนอยู่เหนือสัตว์อสูรหลายร้อยล้านตัว ทำให้มันเป็นจักรพรรดิของมวลสัตว์อสูร!

 

แต่ที่ทำให้ทุกคนตกใจก็คือวิหคทองคำนั้นพูดภาษามนุษย์ได้!

 

ความรังเกียจและความชังจากมันนั้นมีชีวิตชีวาอย่างมาก และสติปัญญาของมันก็ไม่ได้ต่ำไปกว่ามนุษย์แม้แต่น้อย!

 

เจ้าเมืองอันยี่ชักสีหน้า

 

“จักรพรรดิสัตว์อสูร! เกิดอะไรขึ้นกันแน่ในป่าทมิฬ แม้แต่จักรพรรดิสัตว์อสูรในตำนานก็ปรากฏตัวออกมาเช่นนี้?”

 

เรื่องนี้เกิดขึ้นทั้งหมด แม้แต่คนโง่ก็ย่อมต้องเข้าใจว่ามีเรื่องประหลาดเกิดขึ้นในส่วนลึกของป่าทมิฬ! มันทำให้แม้แต่จักรพรรดิสัตว์อสูรหวาดกลัวจนออกมาจากป่าทมิฬ

 

“ฮื่ม! เจ้ามนุษย์ต่ำต้อย ท่านอู๋กำลังจะมาครองโลก พวกเจ้าทุกคนจงยอมจำนนต่อท่านอู๋และตามข้าไปพบเขา!”

 

วิหคทองคำมองทุกคนอย่างเยือกเย็น!

 

เจ้าของของจักรพรรดิสัตว์อสูรงั้นรึ? ในโลกใบนี้…คนประเภทใดกันที่มีสิทธิ์จะใช้งานจักรพรรดิสัตว์อสูรได้?

 

ในทวีปเหนือ จำนวนยอดฝีมือที่จะประมือกับจักรพรรดิสัตว์อสูรได้นั้นมีไม่ถึงห้าคน!

 

ตำนานสัตว์อสูรกลายเป็นสัตว์เลี้ยงวิญญาณไปแล้วรึ? คนที่เรียกว่าท่านอู๋คือผู้ใดกัน? ในทวีปเฉินหลงที่ทุกคนรู้ คนคนเดียวที่มีพลังเช่นนี้คือราชาแห่งความมืด!

 

หรือว่าในทวีปเฉินหลง คนที่สามารถเผชิญหน้ากับราชาแห่งความมืดได้จะมีตัวตนอยู่จริง?

 

“เวลาข้าเหลือน้อยแล้ว ข้าจะให้เวลาพวกเจ้าสามลมหายใจ ใครที่คิดจะยอมจำนนต่อนายข้าจะต้องตามข้าไปที่ป่าทมิฬ ส่วนคนอื่น…ตาย!”

 

แววตาของวิหคทองคำนั้นเกรี้ยวกราดดุร้าย

 

คำพูดของมันไม่เข้ากับรูปลักษณ์อันน่าหลงใหลเลย!

 

“สาม!”

 

วิหคทองคำอ้าปาก แต่ก็ไม่มีผู้ใดตอบ มิใช่เพราะว่ายอดฝีมือนั้นกล้าหาญ แต่เป็นเพราะทุกสิ่งนั้นเกิดขึ้นเร็วเกินไป

 

สัตว์อสูรบังคับให้ทุกคนในเมืองภักดีต่อนนายของมันที่ไม่มีใครรู้จัก ถ้าพวกเขาปฏิเสธก็จะถูกฆ่าทิ้ง

 

ทั้งเมืองเงียบกริบ ไร้ผู้ใดตอบ

 

แววตาของวิหคทองคำเต็มไปด้วยจิตสังหาร

 

“ข้านับถึงสามแล้ว ดูเหมือนพวกเจ้าจะขัดขืน! ถ้าเช่นนั้นข้าจะทำลายเมืองซะ!”

 

ทุกคนเห็นว่าวิหคทองคำนับไป ครั้งเดียว แต่มันก็ไม่ได้คำตอบอย่างที่หวัง นั่นทำให้สถานการณ์เลวร้ายในทันที!

 

มันขู่ว่าจะทำลายเมือง!

 

โฮก—-

 

วิหคทองคำนั้นเด็ดเดี่ยวมาก การกระทำของมันแสดงความตั้งใจที่จะทำลายเมือง!

 

หลังจากร้องคำราม เสียงทำลายล้างอันกว้างใหญ่ไพศาลราวกับอัสนีสะบั้นธรณีก็พุ่งทะลวงลงมาจากท้องนภาด้วยพลังมหาศาล!

 

ครืน—

 

ปั้ง—

 

กำเมืองเมืองที่คลื่นสัตว์อสูรมิอาจทำลายแม้จะผ่านไปครึ่งเดือนได้พังทลายลงราวกับแผ่นกระดาษบางเบา!

 

นี่คือพลังของจักรพรรดิสัตว์อสูร!

 

และพลังคลื่นเสียงนั้นก็ไม่ได้ลดน้อยลงเลยเมื่อมันแล่นผ่านเมืองอันยี่!

 

ตลอดเส้นทาง ทุกสิ่งปลูกสร้างล้วนแหลกสลาย ทุกคนหนีเอาตัวรอด พลังเข้าปะทะกับพื้นที่อย่างบ้าคลั่ง คนนับไม่ถ้วนไม่ตายก็บาดเจ็บ!

 

เจ้าเมืองอันยี่ทั้งตกใจและโกรธเกรี้ยว

 

“อวดดีนัก!”

 

เขาตะโกนลั่น เจ้าเมืองอันยี่สวนกลับพลังที่จะเข้ามาทำลายเมือง!

 

พลังวิญญาณจากร่างของเจ้าเมืองอันยี่ออกมาจากกายและเปลี่ยนเป็นแหยักษ์ เจ้าเมืองอันยี่เหวี่ยงแหยักษ์นั้นขึ้นบนนภาเพื่อปะทะกับคลื่นเสี่ยงของจักรพรรดิสัตว์อสูi

 

แต่คลื่นเสียงของจักรพรรดิสัตว์อสูรนั้นน่ากลัวจนเกินคาด

 

แหวิญญาณทำได้แค่ปะทะกับคลื่นเสียงเพียงชั่วครู่ จากนั้นมันก็ขาดสะบั้น!

 

คลื่นเสียงที่หลงเหลือซัดใส่ร่างของเจ้าเมืองอันยี่ เขากระเด็นหลายลี้!

 

เขากระอักเลือดออกมาด้วยความตกตะลึง!

 

เจ้าเมืองอันยี่ยืนขึ้นด้วยความยากลำบาก ใบหน้ามีแต่ความตกตะลึง

 

“เจ้า…กำลังจะเป็นเทพงั้นรึ?”

 

เจ้าเมืองอันยี่ตกใจอย่างมาก!

 

ผู้ตรวจการไป่ฮีจ้องมองจักรพรรดิสัตว์อสูร ใบหน้าเต็มไปด้วยความกลัว

 

“อำมฤตระดับห้าขั้นสูง อีกก้าวเดียวจะได้เป็นเทพ!”

 

ทั้งเมืองเงียบกริบ!

 

ทุกคนคิดเพียงอย่างเดียว!

 

หนี!

 

หนีเอาชีวิตรอด!

 

แม้แต่เจ้าเมืองอันยี่ที่ไร้เทียมทานก็ล้มลงจากการโจมตีเดียวของจักรพรรดิสัตว์อสูร!

 

“ด้วยพลังเช่นนี้ เจ้าไม่มีสิทธิ์จะต่อกรกับนายท่านเลย”

 

จักรพรรดิสัตว์อสูรเหยียดหยาม

 

“ถ้าข้าทำลายเมืองก็ไม่มีใครหยุดข้าได้! พวกเจ้าทุกคนต้องตาย!”

 

โฮก—-

 

จักรพรรดิสัตว์อสูรคำรามอีกครั้ง คลื่นเสียงที่น่ากลัวกว่าเดิมสามเท่าพุ่งเข้ามา!

 

แย่แล้ว!

 

เหล่านักสู้หน้าซีดด้วยความกลัว พวกเขากระจัดกระจายและรีบหนี!

 

แววตาของเจ้าเมืองอันยี่เต็มไปด้วยความชิงชัง!

 

นี่คือเมืองของเขา ถ้ามันถูกทำลายโดยจักรพรรดิสัตว์อสูร…แล้วเขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน?

 

“เจ้าสัตว์ร้าย อย่าป่าเถื่อนให้มันมากนัก! ข้าจะจัดการเจ้าเอง!”

 

ฟึ่บ–

 

เจ้าเมืองอันยี่พุ่งทะยานไปยังขอบนภา!

 

แต่เมื่อทุกคนรู้สึกได้ว่าเจ้าเมืองอันยี่กำลังจะเผชิญหน้ากับจักรพรรดิสัตว์อสูร พวกเขาก็ต้องพบกับสิ่งที่น่าตกตะลึง!

 

หลังจากที่เขาพุ่งทะยานไปยังชอบนภา เขาหนีไปทันทีโดยไม่เหลียวหลัง!

 

เขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของจักรพรรดิสัตว์อสูร!

 

และที่เหนือกว่าจักรพรรดิสัตว์อสูรก็ยังมีท่านอู๋!

 

เขามีสองทางเลือก คือตกไปอยู่ในระดับหุ่นเชิดรับใช้…หรือถูกฆ่าตาย!

 

เขาจึงต้องเลือกทางเลือกที่สาม!

 

นั่นคือการหนีโดยไม่ต่อสู้!

 

ทิ้งเมืองอันยี่ ทิ้งถิ่นฐาน และทิ้ง…ตระกูลของตัวเอง!

 

เขาต้องทำสิ่งเลวทรามและหนีไปด้วยตัวเอง!

 

ซือหยูที่เห็นเขาหนีไปนั้นไม่ได้ประหลาดใจแม้แต่นิดเดียว

 

คนที่สังหารเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเองได้นั้นเลือดเย็นโดยสันดาน เป็นธรรมดาที่คนเช่นนี้จะทิ้งตระกูลและบ้านเกิดไป

 

จักรพรรดิสัตว์อสูรคำรามลั่น

 

“คิดจะหนีจากอุ้งมือข้ารึ? ไร้เดียงสาซะจริง!”

 

ฟึ่บ–

 

วิหคทองคำกลายเป็นแสงสายสีทองไล่ล่าเจ้าเมืองอันยี่

 

เสียงของมันดังก้องนภา

 

“เจ้าพวกมนุษย์ชั้นต่ำ พวกเจ้ามีเวลาตัดสินใจอีกนิดหน่อย คิดให้ดีล่ะ!”

 

เหล่ายอดฝีมือในเมืองอันยี่รู้สึกอัปยศอย่างมาก การโดนดูถูกจากสัตว์อสูรนั้นน่าละอายเพียงใดกัน?

 

แต่พลังของจักรพรรดิสัตว์อสูรก็น่ากลัวเกินไป ความคิดที่จะล้างแค้นไม่ได้อยู่ในหัวของพวกเขาเลย

 

พวกเขาคิดอย่างเดียวคือ…หาทางหนีรอด!

 

สีหน้าของผู้ตรวจการไป่ฮี เว่ยเทียนเฉิน และเฉินยู่เหลียนนั้นเปลี่ยนไปอย่างมาก พวกเขากัดฟันและเตรียมจะหนีออกจากเมือง!

 

พรึ่บ–

 

แต่ในตอนนั้นเองก็มีเงามาขวางทางพวกเขา

 

“ฮ่าๆๆ พวกเจ้าไม่ได้คิดจะทำตามบัญชาสวรรค์หรอกรึ? คนอย่างข้าที่ทำผิดมหันต์ยืนอยู่ตรงหน้าพวกเจ้า พวกเจ้าทุกคนจะหนีไปทำไมกันเล่า?”

 

ซือหยูหัวเราะ เขายืนมือไพล่หลัง เขายิ้มเยาะ

 

“พวกเจ้าเอาแต่พูดว่าข้าพึ่งอำนาจของอาณาจักรทมิฬ ตอนนี้พวกเจ้าไม่มีเจ้าเมืองอันยี่อีกแล้ว พวกเจ้ายังจะเห็นผิดเป็นถูกจากบัญชาสวรรค์ที่พวกเจ้าพูดออกมานั่นหรือไม่?”

 

“ข้าพูดไปแล้ว ข้าจะฆ่าพวกเจ้าทุกคนในความโง่เขลานั่น ข้าจะไม่ปล่อยให้พวกเจ้าสักคนมีชีวิตรอดไปได้!”

 

ซือหยูยิ้ม เขายิ้มอย่างเยือกเย็น!