ครึ่งเดือนต่อมา เวลาได้ล่วงเลยมาจนถึงปลายเดือนธันวาคม 2015 แล้ว และอีกเพียงแค่สองวันก็จะเข้าสู่ปีใหม่ แถมมันยังเป็นปีใหม่ครั้งแรกของยุคโลกาวินาศซึ่งถือเป็นเหตุการณ์สำคัญ

 

ในขณะนี้ ค่ายผู้รอดชีวิตซางจิงค่อนข้างมีชีวิตชีวาพอสมควร เสียงดังเซ็งแซ่ของผู้คนมากมายแสดงออกถึงความปิติยินดี กองทหารที่ออกไปปฏิบัติหน้าที่หลายกองได้เดินทางกลับมาที่ค่ายแล้ว เจ้าหน้าที่หลายนายที่ถูกส่งออกไปปฏิบัติภารกิจก็ถูกเรียกตัวกลับมา แม้แต่วิวัฒนาการที่แสวงหาพลังการต่อสู้ที่สูงขึ้นหรือทรัพยากรก็ต่างรีบเร่งกลับมาที่ฐาน

 

ค่ายซางจิง…ค่ายผู้รอดชีวิตที่ใหญ่ที่สุดในจีนในเวลานี้อัดแน่นไปด้วยผู้คนจำนวนมาก มันไม่เคยมีผู้คนรวมตัวกันอยู่ในค่ายมากขนาดนี้มาก่อน เหล่าผู้นำทั้งหลายได้จัดเตรียมพิธีการสำคัญในการแจกจ่ายอาหารและของจำเป็นให้ผู้คน แน่นอนว่าในยุคโลกาวินาศทรัพยากรมีไม่เพียงพอ แต่มันก็สำคัญและจำเป็นต้องทำเพื่อสร้างขวัญกำลังใจให้แก่ผู้คนในวันปีใหม่ครั้งที่หนึ่งของยุคโลกาวินาศที่เปรียบเสมือนกับการประกาศเจตนารมณ์

 

เมื่อชูฮันก้าวเท้าเข้ามาในค่ายซางจิง มันก็ใกล้เคียงกับช่วงเวลาในการปล่อยอาหารชุดสุดท้าย ในค่ายเต็มไปด้วยผู้คนมากมายตลอดทาง ยิ่งเมื่อมีการแจกจ่ายอาหารฟรีด้วยแล้ว จึงยิ่งมีผู้คนมากมายออกมายืนออกันเต็มถนนตั้งแต่เช้าตรู่

 

“พึ่งมาใหม่? ตั้งใจฟังกฏระเบียบของค่ายด้วย” เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่ทำหน้าที่ปล่อยคนเข้าออกมองมาที่ชูฮัน เขาไม่ได้ตรวจสอบอะไรชูฮันมากมายก่อนที่จะปล่อยให้เข้าไปด้านใน เนื่องจากช่วงนี้มันมีผู้คนมากมายกลับมาที่ซางจิง

 

เป็นอีกครั้งที่ได้ก้าวเท้าเข้าสู่ค่ายซางจิง ซึ่งมันห่างหายไปนานหลายปี ชูฮันเคยมีช่วงเวลาที่น่าอับอายกับที่แห่งนี้เมื่อชาติที่แล้ว มันมีการสงครามกับฝูงซอมบี้ขนาดใหญ่เกิดขึ้นที่นี้ และเพื่อนร่วมห้องพักกับเขา….ฟางหลงและเติ้งเวยป๋อก็เสียชีวิตในการต่อสู้ครั้งนั้น

 

สงครามนี้จะเกิดขึ้นในอนาคต แต่มันคือ 8 ปีที่แล้วสำหรับชูฮันและความทรงจำก็ยังคงสดใหม่อยู่สำหรับเขา

 

เบื้องหน้าของชูฮันคือฝูงชนที่อัดแน่น ถนนอัดล้นไปด้วยผู้คนจำนวนมากเดินขวักไขว่ ชูฮันนิ่วหน้าขณะจ้องไปที่ศูนย์อาคารทหารตรงใจกลางของตัวค่าย มีทหารมากมายยืนกั้นทางเข้าไว้ มันยากที่ฝ่าเข้าไปได้ยกเว้นแต่เขาจะสามารถเดินบนหลังคาได้

 

ชูฮันมองขึ้นด้านบนทั้งสองด้านของอาคารทันที ด้านบนหลังคาทั้งสองฝั่งของตัวอาคารมีมือปืนซุ่มไว้อยู่เป็นระยะๆ ถ้าขืนใครบุ่มบ่ามฝ่าเข้าไปอย่างไม่ระวังก็จะกลายเป็นเป้ายิงของมือปืนที่ซุ่มอยู่ทันที…เฮ้อ ปิดกั้นทุกทาง แม้แต่เขามีพลังเทียบเท่ากับวิวัฒนาการระยะ 5 ก็ยังยากที่ผ่านเข้าไปได้

 

“เขยิบที?” คนข้างหลังชูฮันกระซิบพูดกับชูฮัน จากนั้นเขาก็แหกปากขึ้นมา “ถ้าไม่ใช่มีทหารมองมาอยู่ละก็ แกตายแน่ เดินไป!”

 

“เฮ้ย! มีคนเป็นอัมพาต ขยับขาเดินไม่ไหว! ยืนโง่ๆขวางทางอยู่ข้างหน้าอยู่ได้!”

 

เสียงเป่านกหวีดและเสียงโหวกเหวกโวยวายของผู้คนกระแทกเข้าหูของชูฮันจนปวดหัว ชูฮันได้แต่ยืนอย่างทำอะไรไม่ถูกอย่างกลางแถวฝูงชนที่อัดแน่น

 

หลังจากผ่านไปนานพอสมควร ในที่สุดกลุ่มคนที่อัดแน่นก็ค่อยๆลดลงและเริ่มไหลเขยิบไปอย่างปกติ ชูฮันเดินมาถึงแถวหน้า ทหารที่สวมเสื้อคลุมของกองทัพหยิบถุงมาจากด้านข้างและยัดใส่ในมือชูฮัน พร้อมกับพูดอย่างรีบเร่ง “ต่อไป! เร็วเข้า!”

 

ชูฮันกลืนน้ำลาย จากนั้นก็รับถุงมา ข้างในมีเสื้อคลุมกันหนาวและอาหารทั่วไปที่คนปกติสามารถประทังชีวิตไปได้ 2 วัน หากอาหารมันทั้งเย็นชืดและแข็ง

 

และในขณะที่ชูฮันกำลังวางแผนที่จะแอบลอบเข้าไปที่ศูนย์ของค่าย จู่ๆมันก็มีมือแตะลงที่หัวไหล่ของเขาพร้อมกับน้ำเสียงแผ่วเบาที่คุ้นเคยดังมาจากทางด้านหลัง “ชูฮัน?”

 

ลูกตาของชูฮันหดตัวทันทีพร้อมกับหันหน้าไปและได้พบกับชายหนุ่มคนหนึ่งที่สวมเสื้อผ้าขาดรุ่ย ผมเผ้ายุ่งเหยิงสกปรก คาดว่าน่าจะเป็นผู้รอดชีวิตที่อาศัยอยู่ท้ายสุดของค่าย

 

เพียงแค่เสียงของชายหนุ่มคนนี้ก็สามารถทำให้หัวใจของชูฮันแทบจะกระโดดออกมา “เติ้งเวยป๋อ?”

 

“ตามมา” เสียงของเติ้งเวยป๋อแผ่วเบามาก เขาเดินลัดเลาะไปตามข้างทางอย่างรวดเร็ว

 

ชูฮันลอบมองไปที่ทหารรอบๆอย่างระมัดระวังและเดินตามไปทันที คำถามมากมายผุดขึ้นมาเต็มหัวเขาไปหมด ทำไมเติ้งเวยป๋อถึงแต่งตัวเหมือนกับพวกผู้ลี้ภัย? พ่อของเขาไม่ใช่เจ้าหน้าที่ของค่ายซางจิงหรอกเหรอ?

 

เติ้งเวยป๋อตรงหน้าชูฮันเดินรวดเร็วมากท่ามกลางผู้คนที่อัดแน่น เขาดูค่อนข้างคุ้นเคยกับสถานที่นี้ดีและไม่สนใจเสียงก่นด่าไม่พอใจของผู้คนรอบตัวเลยสักนิด

 

ชูฮันรีบเดินตามฝีเท้าของเติ้งเวยป๋อตรงหน้าไป มันมีไม่การพูดคุยใดๆระหว่างนั้นเลย เติ้งเวยป๋อระมัดระวังอย่างมาก หลังจากผ่านไปสักพัก ทั้งสองก็ได้มาอยู่ด้านนอกของบ้านโทรมๆหลังหนึ่ง จะเรียกว่าบ้านก็อาจจะเกินจริงไป มันเป็นแค่ห้องเล็กๆที่เล็กยิ่งกว่าห้องเก็บของซะอีก

 

บริเวณรอบข้างต่างสกปรกและเละเทะและมีกลิ่นเหม็นโชยมา บริเวณแถวๆตัวบ้านก็มีสภาพไม่ต่างกับตรงหน้า ทุกคนต่างก็อาศัยอยู่ในบ้านขนาดเดียวกันกับเติ้งเวยป๋อ สภาพของทุกคนก็มอซอหลบซ่อนอยู่ในมุม ได้แต่เหลือบตามองชูฮันที่เดินมากับเติ้งเวยป๋อด้วยความสนใจ

 

นี่เป็นถ้ำของผู้ลี้ภัยและเป็นที่ที่วุ่นวายที่สุดของค่ายซางจิง ไม่ต้องคิดถึงภาพวิวัฒนาการชั้นสูงจะเหยียบเข้ามาในสถานที่แบบนี้เลยเพราะแม้แต่ทหารก็ยังล้มเลิกที่จะเข้ามาควบคุมสถานที่นี้เช่นกัน ตราบใดที่กลุ่มพวกลี้ภัยไม่ไปที่จุดอื่นเพื่อสร้างปัญหา ทางทหารก็จะไม่ทำอะไรและปล่อยไป

 

เติ้งเวยป๋อปัดกลุ่มคนที่อยู่รอบๆออกให้พ้นทาง จากนั้นก็ไขตัวล็อคขนาดใหญ่ตรงทางเข้าบ้านออก ทันใดนั้นเองมันก็มีกลิ่นเหม็นหึ่งโฉยออกมาจนชูฮันอดไม่ได้ที่จะนิ่วหน้า

 

“เข้ามาสิ นี่เป็นที่ที่ฉันอยู่” เติ้งเวยป๋อไม่ได้แสดงท่าทางอึดอัดใจอะไร เขาตรงเดินเข้าไปภายในตัวบ้าน

 

แววตาของชูฮันส่องประกายขบคิดบางอย่างขึ้นมาวูบหนึ่งและรีบลบมันออกไป ตัวบ้านคับแคบและอึดอัดอย่างมาก พื้นที่เล็กๆด้านในอัดแน่นไปด้วยกองขยะ สำหรับชูฮันของพวกนี้คือขยะ แต่มันคือของจำเป็นสำหรับเติ้งเวยป๋อ วัสดุและของเก่าต่างๆที่เติ้งเวยป๋อสามารถนำไปแลกอาหารได้

 

“คือนายจริงๆด้วย ชูฮัน” เติ้งเวยป๋อนั่งลงกับพื้นตรงข้ามชูฮัน และยกเก้าอี้ตัวเดียวที่มีในบ้านให้ชูฮันนั่ง ใบหน้าเปื้อนดินเผยรอยยิ้มออกมา “เราไม่ได้เจอกันมาครึ่งปีแล้วสิ”

 

“ก็…เห็นได้ชัด” ชูฮันขมวดคิ้วพลางสังเกตไปรอบๆห้อง เขาไม่สามารถยอมรับชีวิตที่น่าสังเวชของเติ้งเวยป๋อได้

 

“เอ่อ!” เติ้งเวยป๋อยิ้มเยาะ แววตาที่ซ่อนอยู่ภายใต้ใบหน้าเปื้อนดินเปลี่ยนเป็นดุดัน “พ่อแม่ฉันถูกฆ่าตาย!”

 

“อะไรน่ะ?!” ชูฮันตะลึงและตกใจอย่างมากกับสิ่งที่ได้ยิน

 

เติ้งเวยป๋อในชาติที่แล้วไม่ได้มีชีวิตเลวร้ายแบบนี้ ในตอนนั้นเติ้งเวยป๋อและฟางหลงมีชีวิตอยู่ในเขตมั่งคั่งของค่ายซางจิง แม้ทั้งคู่จะตายในตอนที่เกิดสงครามที่ซอมบี้เข้ามาล้อมค่ายซางจิง แต่นั่นมันก็อย่างน้อยอีกสองปีต่อมา ชีวิตของทั้งคู่ในช่วงสองปีแรกหลังจากการปะทุไม่ได้มีความลำบากลำบนแบบนี้

 

ทว่า การปรากฏตัวของเติ้งเวยป๋อในวันนี้ต่อหน้าชูฮันด้วยภาพลักษณ์แบบนี้ ช่างแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงจากในชาติที่แล้ว มันเกิดอะไรขึ้นกัน?