“ประหลาดใจ?” อารมณ์ของเติ้งเวยป๋อกลับมาสู่ความสงบและยิ้มออกมาอีกครั้ง

 

“ใครคือฆาตกร?” แววตาของชูฮันเปล่งประกายจ้า

 

“ชูฮัน ฉันไม่อยากพูดแบบนี้” อย่างไม่คาดฝัน เติ้งเวยป๋อมองชูฮันด้วยแววตาจริงจัง “ฉันขอจัดการแก้แค้นให้พ่อแม่ฉันด้วยตัวเอง”

 

“นาย—–” ชูฮันไม่รู้จะพูดอะไรต่อ การเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์อย่างกระทันหันทำให้เขาทำตัวไม่ถูก แม้การกลับมาชาติมาเกิดใหม่จะส่งผลต่อสถานการณ์ทุกอย่างที่ให้พลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือจากชาติที่แล้วได้ แต่การตายของพ่อแม่เติ้งเวยป๋อเป็นเรื่องที่ชูฮันไม่อาจทำใจยอมรับได้ แม้เขาจะยังไม่กระจ่างกับสาเหตุของเรื่องนี้ก็ตาม

 

“เปลี่ยนเรื่องพูดกันเถอะ” เติ้งเวยป๋อดูเหมือนไม่อยากจะพูดเรื่องนี้ต่ออีก เขาเพียงแค่มองไปที่ชูฮันด้วยสายตาเป็นประกายและแฝงไปด้วยความอิจฉา “ดูเหมือนว่านายจะมีชีวิตที่ดีนะ?”

 

ชูฮันเต็มไปด้วยความขมขื่นและไม่รู้ว่าควรจะตอบรับอย่างไรดี ในตอนนี้ท่ามกลางห้องที่คับแคบ การแต่งกายของทั้งสองคนนั้นแตกต่างกันอย่างมาก ทั้งเนื้อทั้งตัวของเติ้งเวยป๋อดูเป็นผู้ลี้ภัย แต่ชูฮันกลับดูไม่ต่างจากเดิมในยุคศิวิไลซ์เท่าไหร่…ช่องว่างระหว่างทั้งคู่มันกว้างมาก

 

“ใช่นายรึเปล่า?” ทันใดนั้นเติ้งเวยป๋อก็หายใจเข้าด้วยความตื่นเต้นพลางถามออกมา “พลเอกคนใหม่ของซางจิงชื่อเดียวกันกับนาย และคนคนนั้นก็เป็นวิวัฒนาการระยะ 3 นายก็เห็นรายชื่อการประเมิณของเสาหินข้างนอกใช่มั้ย? อันดับหนึ่งของรายชื่อการประเมิณของวิวัฒนาการระยะ 2 คะแนนการต่อสู้โดยรวมที่ S+ !”

 

“ใช่ ฉันเห็น” ชูฮันขมขื่นอย่างมาก มันมีประโยคที่ติดอยู่ในลำคอเขามานาน ในที่สุดชูฮันก็ถอนหายใจและเอ่ยออกมา “แล้วฟางหลงล่ะ? นายเห็นเขาบ้างมั้ย?”

 

สีหน้าของเติ้งเวยป๋อตึงขึ้นมาชั่วขณะหนึ่ง ภาวะซึมเศร้าเรื่องพ่อแม่ที่พึ่งจางหายไปได้กลับมาอีกครั้ง เขาก้มหน้าลง มือสั่นเทา “ฟางหลงตายแล้ว”

 

ปัง!
มือของชูฮันที่อยู่ด้านข้างโต๊ะตบโต๊ะกระแทกอย่างแรง ขาโต๊ะมีเศษไม้หลุดกระเด็นออกมาเล็กน้อยด้วยแรงปะทะที่รุนแรง

 

“เขาตายยังไง?” หลังจากผ่านไปสักพัก ชูฮันก็ถามออกมา

 

“ซอมบี้” เสียงของเติ้งเวยป๋อแผ่วเบา

 

ชูฮันไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเขาออกมาจากบ้านเติ้งเวยป๋ออย่างไร เขาไม่ได้บอกเติ้งเวยป๋อว่าตอนนี้เขาเป็นวิวัฒนาการระยะ 4 และไม่ได้บอกว่าเขาเป็นพลเอกที่พึ่งได้รับการแต่งตั้งใหม่ ชูฮันไม่ได้พูดอะไรเลย เขาเพียงแค่กล่าวลากับเติ้งเวยป๋ออย่างเงียบๆและจากมา

 

“ชูฮัน” หลังจากพักหนึ่ง หวังไคก็ถามคำถามที่ตัวมันไม่สามารถทำความเข้าใจได้ขึ้นมา “เขาไม่ใช่เพื่อนร่วมห้องพักที่มหาวิทยาลัยของนายหรอกเหรอ ทำไมนายไม่ช่วยเขาล่ะ?”

 

ชูฮันยังคงเดินต่อไป ก้าวทีละก้าวมุ่งหน้าไปที่ศูนย์กลางของค่าย “ทุกคนมีเส้นทางชีวิตของตัวเอง สำหรับฉันแม้เติ้งเวยป๋อจะเป็นปมสำคัญสำหรับฉัน แต่ไม่ว่าจะทั้งฟางหลงหรือฟานฮงเหวียง พวกเขาคือคนที่ตายไปแล้วเมื่อ 8 ปีก่อน”

 

หวังไคประหลาดใจอย่างกับสิ่งที่ได้ยิน “แต่ก่อนหน้านี้นายไม่ได้คิดแบบนี้ ก่อนที่นายจะเจอพ่อแม่ ความปรารถนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของนายคือการตามหาคนพวกนี้ แล้วทำไมนายถึงไม่ช่วยพวกเขา? ถึงแม้วิถีชีวิตทั้งหมดในโลกนี้จะต่างออกไป แต่ทำไมจู่ๆความคิดของนายถึงเปลี่ยนไปได้มากขนาดนี้?”

 

ชูฮันไม่ตอบตรงๆ เขาเพียงแค่พูดประโยคอื่น “นายสัมผัสไม่ได้ถึงกลิ่นอื่นภายในบ้านนั้นเหรอไง?”

 

หวังไคพยักหน้า “ใช่ มันเหม็นอับ แถวนี้มันก็เหม็นเหมือนกันหมด มันสกปรกเกินไป คงเป็นเพราะไม่ได้ทำความสะอาดมาเป็นเวลานาน”

 

“เปล่า” ชูฮันพูดแทรกขึ้นมา น้ำเสียงของเขาค่อนข้างเย็นชา “นั่นมันคือกลิ่นเลือด”

 

———–

 

ไม่นานหลังจากที่ชูฮันเดินจากไป เติ้งเวยป๋อที่เดินมาปิดประตูก็เดินไปตรงพื้นบริเวณที่เขานั่งก่อนหน้านี้ และค่อยๆกวาดซากขยะตรงพื้นออก และเปิดแผ่นไม้ที่ปิดอยู่ตรงพื้นขึ้น ทันใดนั้นมันก็มีกลิ่นเลือดเข้มข้นลอยโชยออกมาเต็มตัวบ้าน

 

มันเป็นหลุมด้านล่างลึกขนาด 1 เมตรและคับแคบอย่างมาก มันมีถังอยู่ข้างใน และชายคนหนึ่งอยู่ในถังนั้น ขาของชายคนนั้นหัก ตาของเขาถูกควักออกไป และลิ้นก็ถูกตัด

 

“ได้ยินมั้ย?” ใบหน้าของเติ้งเวยป๋อที่ก่อนหน้านี้ได้เจอกับชูฮันเปลี่ยนท่าทีนิ่งสงบเป็นครุมเคลือ “ชูฮันถามถึงนาย!”

 

“แอ๊! แอ! แอ๊! เอ่อ!” ชายที่อยู่ในถังด้านล่างพยายามส่งเสียงพูด ทว่ามันมีแต่เสียงจากลำคอที่ถูกเปล่งออกมา เขาไม่สามารถพูดได้เพราะลิ้นถูกตัดออกไป มันจึงมีแต่เสียงเล็กแหลมที่ลอดออกมาจากลำคอ เขามีท่าทางดิ้นรนและได้แต่ขยับตัวถังไปมา

 

ถ้าชูฮันอยู่ที่นี้ ชูฮันคงจะจำชายคนนี้ได้ยิน…เขาคือคนที่เติ้งเวยป๋อบอกกับชูฮันว่าถูกซอมบี้ฆ่าตาย

 

“เฮอะ! มึงจะต้องอยู่ที่นี้ไปทั้งชีวิต!” เติ้งเวยป๋อตะคอกใส่หน้าฟางหลง จากนั้นก็ยิ้มออกมา “ไม่ต้องกังวล ต่อให้กูจะกินไม่อิ่ม แต่กูจะไม่ปล่อยให้มึงอดตายแน่นอน กูจะทรมานมึงตลอดไป!”

 

“ปัง!”

เติ้งเวยป๋อปิดฝาอย่างแรง…ชูฮันมาที่ค่ายซางจิง ช่างเป็นเรื่องบังเอิญเหลือเกิน!

 

—————-

 

“หยุดอยู่ตรงนั้น”
ตรงใจกลางของค่ายซางจิง นายทหารสองนายที่อยู่ในชุดเครื่องแบบทหารออกคำสั่งหยุดชูฮันไว้ มันคือสถานที่ที่สำคัญที่สุดของทั้งค่ายซางจิง สถานที่แห่งนี้แยกห่างออกมาจากบริเวณที่ผู้คนอยู่อาศัยออกมา มันไม่ใช่แค่การคุ้มกันรอบๆอาคาร แต่เป็นทั้งถนน ไม่มีแม้แต่เศษฝุ่น ทุกอย่างสะอาดเรียบ แม้แต่ทหารคุ้มกันด้านนอกก็ยังเป็นทหารที่เป็นวิวัฒนาการ

 

ชูฮันเงยหน้ามองไปที่อาคารบัญชาการทหารที่อยู่ตรงหน้า วันมะรืนนี้จะเป็นวันแรกของปีใหม่ หากที่นี้ยังคงใช้มาตราการเข้มงวดอย่างมาก ชูฮันเห็นพลโทมากมายเดินตรวจตราตามถนน

 

ทหารสองนายเห็นชูฮันที่ไม่ได้แต่งกายเหมือนกับผู้รอดชีวิตทั่วไป หนึ่งในนั้นจึงเอ่ยปากพูดกับชูฮัน “นี่คือฐานชั้นใน คนนอกไม่สามารถเข้าใกล้ได้”

 

ชูฮันอยากจะพูด—–

 

“เดี๋ยว” ทันใดนั้นทหารอีกนายก็เอ่ยขึ้น “เขาอาจจะมาลงทะเบียนเกณฑ์ทหาร แต่คงมาหาผิดที่? ฉันได้ยินหัวหน้าพูดว่ามีหลายคนที่กลับเข้ามาซางจิงมาผิดทางเข้า”

 

“คงจะจริง” นายทหารคนแรกที่หยุดชูฮันไว้พยักหน้า เขาปล่อยชูฮันเคว้งไว้ขณะหันไปคุยกับนายทหารข้างๆ “ประชากรในค่ายเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมากในช่วงนี้ ทุกคนต้องการอยู่ที่นี้ในปีใหม่ วันแรกของคำสาบาน”

 

“ใช่ ฉันรู้สึกเสียดาย” สีหน้าของนายทหารไม่ค่อยยินยอม “ฉันเข้ามาในกองทัพได้ครึ่งเดือนแล้ว ฉันรู้ว่าฉันต้องรออีกครั้งเดือน วันแรกหลังปีใหม่ ฉันจะสาบานเพื่อจะเข้าค่ายทหาร และฉันได้ยินมาว่า 80% ของนายพลได้กลับมาเข้าร่วมการประชุมปีใหม่ จากนายพล 15 คน มี 10 คนกลับมา มีคนดังมากมายให้เห็น!”

 

“ฉันเข้าค่ายทหารไปเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว นี่ฉันพลาดโอกาสเหรอเนี่ย?”

 

ทหารทั้งสองนายต่างรู้สึกเสียดาย ทั้งคู่มีสีหน้าเศร้าๆ พวกเขาลืมไปอย่างสิ้นเชิงเลยว่าชูฮันกำลังยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขาและรอคอยที่จะเข้าไปด้านใน

 

“ประชุมปีใหม่อะไร?” ชูฮันเอ่ย “แล้วทางเข้าค่ายทหารเป็นครั้งแรกอยู่ตรงไหน?”