เยี่ยโยวเหยาเหาะขึ้นกลางอากาศ รีบกระโดดลงไปด้านล่างหน้าผาทันที
เขาคว้ารถม้าที่หล่นลงไปได้อย่างรวดเร็ว มือหนึ่งยึดล้อรถม้าไว้ อีกมือหนึ่งเกาะหินที่ยื่นออกมาจากหน้าผา ในสถานการณ์เช่นนี้ แขนเพียงข้างเดียวของเยี่ยโยวเหยาต้องรับน้ำหนักรถม้าและม้าไว้ทั้งหมด ทว่าการแสดงออกบนใบหน้าของเขาราวกับไม่มีอันใดเกิดขึ้น
จากนั้นองครักษ์เงาก็ตามมาทัน พวกเขาช่วยกันดึงรถม้าและเยี่ยโยวเหยาขึ้นมาจากหน้าผา
“ท่านอ๋อง ช่วยกระหม่อมด้วย ท่านอ๋อง ช่วยกระหม่อมด้วย… ” หลี่ซื่อห้อยอยู่ด้านล่างรถม้า ร้องขอความช่วยเหลือ
เมื่อมีองครักษ์เงาแล้ว เยี่ยโยวเหยาจึงสามารถวางมือได้ เขาเหาะไปด้านข้างรถม้า และเปิดผ้าม่านออก ทว่าไม่เห็นซูจิ่นซี เห็นเพียงหลวงจีนทุศีลและหลี่ซื่อที่ห้อยอยู่ด้านล่างรถม้าคนละฝั่ง
“ซูจิ่นซีเล่า? ” เยี่ยโยวเหยาถามเสียงเย็นชา
เสียงหวีดของลมที่หน้าผา ทำให้เสียงของหลี่ซื่อฟังดูอ่อนแรงลงมากเมื่ออยู่ท่ามกลางลมหนาว “ท่าน… ท่านอ๋อง ช่วยกระหม่อมด้วย… พระชายา… พระชายาไม่ได้อยู่กับกระหม่อม ”
ซูจิ่นซีไม่ได้อยู่บนรถม้าจริงๆ ดวงตาของเยี่ยโยวเหยาปรากฏความโล่งอกขึ้นมาในทันที เขาปล่อยผ้าม่านรถม้าลงโดยไม่พูดอันใด และเหาะขึ้นไปบนหน้าผา
หลังจากที่เหล่าองครักษ์เงานำตัวหลี่ซื่อกับหลวงจีนทุศีลขึ้นมาจากหน้าผา เยี่ยโยวเหยาก็อยู่บนม้าแล้ว
“มู่หรงอวิ๋นเกอ? ” เยี่ยโยวเหยามองหลวงจีนทุศีลด้วยสายตาเย็นชา
ใบหน้าของหลวงจีนทุศีลปรากฏความประหลาดใจเล็กน้อย เยี่ยโยวเหยาพูดอีกครั้ง “ไม่สิ ควรเรียกท่านว่า อ๋องเก้า เสด็จอาเก้าแห่งแคว้นหนานหลี”
หลี่ซื่อที่อยู่ในเหตุการณ์ตกตะลึงในทันที คิดไม่ถึงว่า ผู้ที่ตนช่วยมาจากลานประหาร จะกลายเป็นเสด็จอาเก้าแห่งแคว้นหนานหลี
มู่หรงอวิ๋นเกอขมวดคิ้ว พูดว่า “โยวอ๋องเก่งสมคำร่ำลือ เป็นยอดฝีมือจริงๆ ” ในตอนนั้น หลังจากที่มู่หรงอวิ๋นเกอออกมาจากแคว้นหนานหลี เขาก็ไม่ปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนในฐานะอ๋องเก้าอีกเลย ผู้คนจำนวนมากต่างคิดว่าเขาตายไปแล้ว เรื่องราวผ่านมาหลายปี หากคิดจะสืบหาสถานะของเขา ย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย
“เชิญอ๋องเก้ากลับไป” เยี่ยโยวเหยาออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเย็นชา
องครักษ์เงารีบเข้าไปควบคุมตัวมู่หรงอวิ๋นเกอไว้
“ท่านอ๋องได้โปรดปล่อยกระหม่อมไปเถิด! กระหม่อม… จวนกระหม่อมยังมีคนชรา และลูกเด็กเล็กแดงที่ต้องอาศัยพึ่งพากระหม่อม ไม่อาจขาดกระหม่อมได้! โยวอ๋องโปรดไว้ชีวิตด้วยเถิด! ” หลี่ซื่อคลานเข้ามาขอความเมตตาเบื้องหน้าเยี่ยโยวเหยาที่นั่งอยู่บนม้า
“หลี่ซื่อ ข้าถามเจ้าอีกเพียงครั้งเดียว พระชายาอยู่ที่ใด? ”
ดวงตาหลี่ซื่อเป็นประกาย ไม่รู้จะพูดอย่างไรดี ในด้านคุณธรรม เขาไม่อาจทรยศซูจิ่นซี ทว่าเขายังต้องการมีชีวิตอยู่! ความจริงเป็นอย่างที่หลี่ซื่อพูดทั้งหมด เขายังมีทั้งเด็กและผู้ใหญ่ให้ดูแล คนเหล่านั้นต้องพึ่งพาเขา หากขาดเขาแล้ว คนในครอบครัวของเขาต้องแย่แน่ๆ
เยี่ยโยวเหยาไม่ได้ถามอันใดอีก เขามองหลี่ซื่อด้วยสายตาเย็นชา หลี่ซื่อเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ต้องก้มหน้าลงไปอีกครั้ง เมื่อถูกดวงตาเยือกเย็นคู่นั้นของเยี่ยโยวเหยาจ้องเขม็ง
หลี่ซื่อรู้จักเยี่ยโยวเหยาเป็นอย่างดี เมื่อเยี่ยโยวเหยาเอ่ยปากถาม เขาจะถามเพียงครั้งเดียวเท่านั้น นั่นคือเยี่ยโยวเหยามอบโอกาสเพียงครั้งเดียวให้กับเขา หากเขายังไม่ฉวยโอกาสนี้ไว้ ก็คงเหลือเพียงหนทางสู่ความตาย
“กระหม่อมพูดแล้ว… ท่านอ๋อง ขอร้องท่าน โปรดไว้ชีวิตกระหม่อมด้วย พระชายา… พระชายาอยู่ข้างหน้า นางอยู่ที่ตำบลผูหลิว ไม่ไกลจากที่นี่ กระหม่อมนัดกับพระชายาไว้แล้ว หลังหัวค่ำวันนี้ ให้ไปพบพระชายาที่ตำบลผูหลิว เวลานี้พระชายาคงยังไม่ได้ไปที่ใดพ่ะย่ะค่ะ”
“นำตัวกลับไป! ”
เมื่อหลี่ซื่อพูดจบ เยี่ยโยวเหยาก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาและรีบควบม้าไปทันที
ด้านนอกรถม้ามีหิมะโปรยปรายลงมา ทว่าอุณหภูมิภายในรถม้ายังอบอุ่นเช่นเดิม
ซูจิ่นซีเติมถ่านลงในเตาไฟ ก่อนจะหยิบหนังสือออกมาอ่านอย่างสบายใจ จงเหมยจวงยังคงปิดเปลือกตาลงและไม่ขยับเขยื้อน
ผ่านไปครู่ใหญ่ ซูจิ่นซีเปิดผ้าม่านรถม้าและมองออกไปด้านนอก ท้องฟ้ามืดแล้ว หิมะยิ่งตกหนักมากขึ้นเรื่อยๆ
ซูจิ่นซีอดครุ่นคิดด้วยความสงสัยไม่ได้ ตามเหตุผลแล้ว ด้วยอุปนิสัยของหลี่ซื่อ หากทุกอย่างเป็นไปด้วยความราบรื่น ตอนนี้เขาควรจะพาหลวงจีนทุศีลมาถึงแล้ว เหตุใดเวลานี้ยังมาไม่ถึงอีก?
ระหว่างทางเกิดปัญหาอันใดขึ้นกันแน่?
จงเหมยจวงลืมตาทั้งคู่มองซูจิ่นซี นางไม่ได้ซักถามอันใด ทำเพียงหลับตาลงอีกครั้งและรอคอยต่อไป
“อ้าก! ” ทันใดนั้น เสียงกรีดร้องสยองขวัญก็ดังมาจากด้านนอกรถม้า
ความรู้สึกแรกของซูจิ่นซีคือ มีคนสังหารคนขับรถม้า นางรีบเปิดผ้าม่านออกไปดู
ทว่าซูจิ่นซีที่เพิ่งยื่นศีรษะออกไป ก็ค่อยๆ ถอยกลับมา
จงเหมยจวงลืมตาขึ้น นางเห็นบุรุษผู้หนึ่ง บนศีรษะสวมเขาแรด ผิวสองสี ท่าทางห้าวหาญสง่างาม ในมือถือดาบโค้งเล่มหนึ่งชี้ไปที่คอของซูจิ่นซี
“กูสือซาน? ” ซูจิ่นซีค่อยๆ หรี่ตาลง
กูสือซานกล่าวอย่างชื่นชมเล็กน้อย “พระชายาโยวอ๋องช่างกล้าหาญเสียจริง ไม่มีท่าทีหวาดกลัวแม้แต่น้อย ทว่า… ทางที่ดีท่านอย่าขยับและอย่าคิดเล่นเล่ห์กลอันใดดีกว่า ดาบโค้งเล่มนี้ของข้าไร้ตา”
ซูจิ่นซีสัมผัสได้ถึงลมหนาวเย็นเฉียบที่พัดผ่านดาบโค้ง ดาบโค้งเล่มนี้เหมือนกับที่กูสือซานพูด แน่นอนว่าคมกริบและยังอาบไว้ด้วยพิษร้ายแรง
เพียงบาดผิวหนังเล็กน้อย ก็จะถูกพิษจนเสียชีวิต
“ดูเหมือนท่านราชครูยังไม่ได้ถอนพิษ ท่านคงมาขอร้องให้ข้าถอนพิษให้ ใช่หรือไม่? ” ซูจิ่นซียกยิ้มมุมปากอย่างเชื่องช้า พลางพูดโดยไม่หวาดกลัวแม้แต่น้อย
“หึ! ” กูสือซานกระชากเสียงเย็นชา “เป็นลูกไก่ในกำมือข้าแล้วยังปากแข็งอีกหรือ เหล่าสตรีของแคว้นจงหนิงล้วนเป็นเช่นนี้ ไม่ได้รับการสั่งสอนจากบุรุษ! ”
“ถุย! ” ซูจิ่นซีสบถด่าไปหนึ่งคำ “รังโจรของเจ้าถูกพวกข้าจัดการไปแล้ว นึกไม่ถึงว่าจะพูดคำเหล่านี้ออกมาโดยไม่ละอายปาก ราชครูอันดับหนึ่งแห่งไหวเจียงก็เพียงเท่านี้เองหรือ”
เมื่อพูดถึงเรื่องหุบผาราชันพิษ กูสือซานก็อารมณ์เสียขึ้นมาในทันที
เขายื่นดาบโค้งในมือเข้าใกล้ลำคอซูจิ่นซี และพูดอย่างดุร้าย “เชื่อหรือไม่ว่า ตอนนี้ข้าสังหารเจ้าได้? ”
แม้กูสือซานยังไม่ได้ลงมือจริง ทว่าตอนนี้เป็นสถานการณ์ที่อันตรายมาก หากดาบโค้งบาดถูกผิวหนังซูจิ่นซีเพียงเล็กน้อย ซูจิ่นซีก็ต้องตายเป็นแน่ ไม่มีแม้แต่โอกาสถอนพิษ
วีรบุรุษสามารถเข้าใจและหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่เสียเปรียบ ในเวลานี้ก็เช่นกัน ซูจิ่นซีจึงไม่โต้เถียง
แววตาของซูจิ่นซีเต็มไปด้วยความประนีประนอม นางพูดว่า “ท่านราชครูกู ท่านว่าเช่นนี้ดีหรือไม่? ท่านปรากฏตัวมาได้พักใหญ่แล้ว จนถึงตอนนี้ ดาบโค้งของท่านยังไม่ได้ตัดคอข้า แสดงว่าท่านไม่มีเจตนาสังหารข้า ในเมื่อไม่ต้องการสังหาร ก็แสดงว่าท่านมาหาข้าด้วยจุดประสงค์อื่น พวกเราเอาดาบโค้งนี้ออกไปก่อน มีอันใดก็พูดจากันดีๆ ได้หรือไม่? ”
“หึ! คิดเล่นลูกไม้ตื้นๆ อันใดอีก” กูสือซานแสดงท่าทางราวกับไม่ต้องการต่อรองด้วย
ซูจิ่นซีแสดงออกด้วยความจริงใจ นางพูดว่า “ขอพูดตามตรงกับท่าน! ท่านถือดาบอยู่เช่นนี้ แท้จริงแล้วในใจข้าหวาดกลัวยิ่งนัก ท่านก็รู้ว่าข้าไม่มีวรยุทธ์ คนที่ไม่มีวรยุทธ์ล้วนขี้ขลาด”
กูสือซานมองจงเหมยจวงที่อยู่ด้านหลังซูจิ่นซีครั้งหนึ่ง
ซูจิ่นซีรีบพูด “นางก็ไม่มีวรยุทธ์! ”
ลมหายใจของผู้ที่ฝึกวรยุทธ์ย่อมไม่เป็นเช่นนี้ กูสือซานวิเคราะห์ลมหายใจของจงเหมยจวงอย่างตั้งใจ เมื่อมั่นใจว่าจงเหมยจวงไม่มีวรยุทธ์แน่นอน จึงค่อยๆ ยกดาบโค้งที่อยู่บนคอของซูจิ่นซีออกไป
“หวังว่าพวกเจ้าคงไม่มีลูกไม้อันใดอีก”
ทว่าขณะที่กูสือซานนำดาบโค้งเก็บไว้ที่เอว ทันใดนั้น มือที่ว่างเปล่าของซูจิ่นซีก็ปรากฏเข็มเหมันต์เทวะขึ้นมาเล่มหนึ่ง นางแทงเข็มเหมันต์เทวะไปที่ลำคอของกูสือซานด้วยแววตาดุร้าย