บทที่ 94.3 พากันสูญหาย แย่งชิงหญิงงาม (3)

สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2

เจิ้งเยียนพยายามบิดเบือนข้อเท็จจริง เห็นได้ชัดว่ามีจุดประสงค์ที่จะใส่ร้าย แต่ว่า…

เรื่องราวเบื้องหลังทั้งหมดของวันนี้คงจะไม่ได้มีเพียงเท่านี้แน่

ยามนี้ฉู่สวินหยางไม่มีใจจะมาคิดเล็กคิดน้อยกับเฟิงเหลียนเซิ่งอีกแล้ว ตอนที่กำลังใจลอยครุ่นคิดอะไรอยู่ จู่ๆ เจี๋ยหงที่ตามอยู่อีกด้านของนางก็ดึงแขนเสื้อนางไว้ “ท่านหญิง แม่นางฮั่วกับคุณหนูใหญ่เจ้าค่ะ!”

หัวใจนางราวกับหยุดเต้นไปชั่วขณะ เมื่อตั้งสติได้ก็เงยหน้าขึ้น ทางด้านหน้านั้นปรากฏร่างของทั้งสองคนวิ่งประคองกันเข้ามาอย่างทุลักทุเล

จริงๆ ด้วย…

เป็นหลัวซืออวี่และฮั่วชิงเอ๋อร์ที่ก่อนหน้านี้ทุกคนพากันตามหา

ทั้งสองคนนี้ เหตุใดจึงมาอยู่ด้วยกันได้?

ฉู่สวินหยางเกิดความเคลือบแคลงอยู่ในใจ

แม่นมจางที่อยู่ด้านหลังไม่ไกลก็ร้องเรียกออกไปด้วยความดีใจ “คุณหนูใหญ่! ฮูหยิน คุณหนูใหญ่เจ้าค่ะ! นั่นคือคุณหนูใหญ่เจ้าค่ะ!”

ฮูหยินหลัวกั๋วกงและฮูหยินฮั่วต่างก็ใจสั่นสะท้าน แทบจะร้องไห้ออกมาด้วยความดีใจ รีบถลาเข้าไปหา รับลูกสาวของตนที่มีท่าทีตื่นตกใจเข้าสู่อ้อมกอด ทั้งหัวเราะทั้งร้องไห้ด้วยความดีอกดีใจ

หลัวซืออวี่พยายามรักษาท่าทางให้สงบเอาไว้ แต่แม่นางฮั่วนั้นสติกลับไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้ว เดิมทีก็ถูกหลัวซืออวี่ประคองมา เวลานี้เมื่อตกอยู่ในวงแขนฮูหยินฮั่ว ก็แทบที่จะเข่าอ่อนลงไปกับพื้น ร้องด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ท่านแม่!”

“ฮั่วเอ๋อร์! ฮั่วเอ๋อร์!” ฮูหยินฮั่วกอดนางไว้ ทั้งจูบลงบนศีรษะของนาง น้ำตานั้นไหลรินออกมา ใบหน้าเต็มไปด้วยความปิติยินดีที่เห็นลูกตนปลอดภัย กล่าวบ่นไปกลายๆ “เจ้าไปอยู่ที่ไหนมา? ทำเอาข้าตกอกตกใจเสียหมด!”

“ข้า…” ในดวงตาของฮั่วชิงเอ๋อร์ปรากฎความตื่นตระหนกอย่างเห็นได้ชัด กัดริมฝีปากไว้แน่นไม่ยอมปริปากออกมา

ทางด้านฮูหยินหลัวกั๋วกงก็ควักผ้าออกมาเช็ดเหงื่อที่ผุดบนใบหน้าของหลัวซืออวี่ กล่าวด้วยความกังวล “อวี่เอ๋อร์ เจ้ากับแม่นางฮั่วไปอยู่ที่ใดกันมา? เจ้าไม่รู้หรือว่าเพื่อตามหาพวกเจ้าทั้งสอง เมื่อครู่เกิดเรื่องวุ่นวายไปหมด แม้แต่เต๋อเฟยกับพวกท่านชายก็ล้วนตื่นตกใจไปด้วย”

“ท่านแม่!” หลัวซืออวี่กัดริมฝีปากที่แห้งผาก พยายามตั้งสติ ผละออกจากอ้อมกอดของฮูหยิน ก่อนจะถลาตรงไปด้านหน้าของฉู่ฉีเฟิงและฉู่ฉีเหยียน กล่าวด้วยท่าทีรีบร้อน “ซื่อจื่อ คังจวิ้นอ๋อง รีบเข้าไปรายงานฝ่าบาทด้วยเจ้าค่ะ เหมือนว่า…เหมือนว่าจะเกิดเรื่องแล้ว!”

ทุกคนเมื่อได้ฟัง ต่างก็มีท่าทีตึงเครียดขึ้นมา มองไปทางนางอย่างพร้อมเพรียง

หลัวซืออวี่คล้ายกับเพิ่งพบเจอกับเรื่องเช่นนี้เป็นครั้งแรก สายตาก็กวาดมองไปรอบๆ ด้วยท่าทีที่ตื่นตระหนก เมื่อบังเอิญเหลือบไปเห็นนางละครชิงหลีที่นอนอยู่ริมน้ำ หน้าก็เปลี่ยนสีไปชั่วขณะ หันมองไปทางฮั่วชิงเอ๋อร์ในทันที “แม่นางฮั่ว ผู้หญิงคนนี้เหมือนว่า…”

ยามนี้ฮั่วชิงเอ๋อร์จึงฝืนรวบรวมสติผละออกจากอ้อมอกของฮูหยินฮั่ว เดินเข้าไปมองศพของหญิงสาวผู้นั้น ชั่วพริบตาใบหน้าก็เปลี่ยนเป็นขาวซีด ยกมือขึ้นมาปิดปากโดยพลัน กล่าวอย่างตื่นกลัว “นาง…นาง…เพราะว่านางเก็บปิ่นของข้า จึงถูกคนฆ่าผิดตัวใช่หรือไม่?”

ไม่ได้เป็นการพลัดตกน้ำ? แต่เป็นการฆาตกรรม?

เพราะมีคนเข้าใจผิดว่านางละครคือฮั่วชิงเอ๋อร์ ดังนั้นจึงฆ่าคนปิดปาก?

“เกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่? พวกเจ้าไปเจอเรื่องอะไรมากัน?” ฉู่ฉีเฟิงและฉู่ฉีเหยียนสบตากัน ก่อนจะกล่าวถามอย่างเรียบนิ่ง

“ก่อนหน้านี้ข้าเดินหลงอยู่ในสวนดอกไม้ วนไปวนมาอยู่ค่อนวันก็หาทางออกไปไม่ได้ คล้อยหลังเดินผ่านมาข้างตำหนักหลัก บังเอิญได้ยินเสียงคนคุยกัน เหมือนว่าจะวางแผนส่งคนไปลงมือ รอสัญญาณลับจากธนูอะไรทำนองนี้”

ฮั่วชิงเอ๋อร์กล่าวด้วยสะอึกสะอื้น บางครั้งก็พูดสะเปะสะปะ ทั้งพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเทา พยายามจับมือของฮูหยินฮั่วไว้เพื่อสงบจิตสงบใจ “เวลานั้นข้าตกใจมาก จึงไม่ทันได้ฟังให้ละเอียด แต่ในตอนที่กำลังจะหนีไปกลับมีคนพบข้าเสียก่อน”

ขณะที่นางพูด ก็ยังเงยหน้าเหลือบมองทางหลัวซืออวี่อย่างหวาดผวาครั้งหนึ่ง จึงค่อยพูดต่ออีกครั้ง “โชคดีว่าในตอนที่ข้าวิ่งออกมาจากลานนั้นก็บังเอิญพบกับคุณหนูใหญ่หลัว นางพาข้ามาหลบอยู่ในพุ่มไม้ จึงสามารถหนีรอดจากคนพวกนั้นมาได้ ยามนั้นเพราะวิ่งหนีอย่างเร่งรีบ ข้าจึงทำปิ่นตก แต่ก็ถูกหญิงสาวคนนี้ที่เดินผ่านมาเก็บได้”

ระหว่างที่ฮั่วชิงเอ๋อร์กล่าว ทั่วทั้งร่างก็สั่นเทาอย่างห้ามไม่อยู่ คล้ายกับว่าเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ในเวลานั้นขึ้นมา ก็ยังรู้สึกหวาดผวาไม่หาย

ยามนี้หลัวซืออวี่จึงพูดแทนบ้าง “ขณะนั้นพวกเราล้วนหวาดกลัว หลบอยู่ที่ลานด้านนอกไม่กล้าขยับไปไหนอยู่ครึ่งวัน ได้แต่รอจนฟ้ามืดแล้วจึงค่อยหนีออกมา ซื่อจื่อ คังจวิ้นอ๋อง หากแม่นางฮั่วฟังมิผิด คืนนี้…เกรงว่าจะมีคนก่อเรื่องใหญ่อะไรในงานเลี้ยงแน่นอน!”

ฮั่วชิงเอ๋อร์ไม่มีความจำเป็นที่ต้องกล่าวโกหก อีกทั้งดูจากท่าทีของนางก็ไม่คล้ายกับคนเสแสร้ง

หากนางไปพบเข้ากับความลับที่สำคัญจริงๆ เช่นนั้นการที่นางละครผู้นี้ถูกผลักตกน้ำตายไม่ได้เป็นเพียงเรื่องธรรมดาแล้ว

ฉู่สวินหยางครุ่นคิดอยู่ในหัว ชื่อแรกที่ปรากฏขึ้นมาก็คือสองพี่น้องฉู่อี้เจี่ยนและฉู่ซินรุ่ย

วางแผนลงมืองานเลี้ยงภายในวังอย่างโจ่งแจ้ง? การลงทุนครั้งใหญ่เช่นนี้ นอกจากฉู่อี้เจี่ยนแล้ว…

เกรงว่าคนอื่นก็คงจะไม่มีใครกล้าเหิมเกริมเช่นนี้อีกแล้ว

และเรื่องของเจิ้งเยียนก่อนหน้านี้…

เห็นได้ชัดว่ามีคนอยากจะถือโอกาสใช้เรื่องที่ฉู่สวินหยางมีความแค้นส่วนตัวกับฮั่วกังมาเบี่ยงเบนความสนใจ เพื่อถ่วงเวลาให้เรื่องใหญ่วันนี้ได้เกิดขึ้น…

คนผู้นั้นเลือกใช้งานพวกเจิ้งเยียน เช่นนั้นก็ต้องเป็นฉู่ซินรุ่ยแล้ว

พี่น้องสองคนนี้ ตั้งใจจะทำให้ถึงที่สุดเลยงั้นรึ?

คนอื่นๆ อาจจะรู้อยู่เลือนราง แต่สำหรับฉู่สวินหยาง ฉู่ฉีเฟิง และฉู่ฉีเหยียนกลับมองปราดเดียวก็สามารถเข้าใจเรื่องนี้ได้อย่างชัดเจน

“เรื่องนี้จะช้าไม่ได้ ต้องเร่งไปรายงานฝ่าบาทเดี๋ยวนี้ เพื่อรีบอพยพแขกออกไปจากงานเลี้ยง!” ฉู่ฉีเฟิงกล่าวตัดสินใจในทันที พูดไม่ทันจบ ก็เดินออกไปอย่างรวดเร็ว

กระนั้น…

ท้ายที่สุดก็ยังช้าไปหนึ่งก้าว

จู่ๆ เรื่องก็เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน เสียงลูกธนูแหวกฝ่าอากาศพุ่งออกมาจากพุ่มไม้ด้านหลังของสวนดอกไม้ ธนูที่ตามมานั้นราวกับฝนที่ตกปกคลุมผืนป่าอย่างมืดฟ้ามัวดิน

ทุกคนต่างก็พากันตกใจ

เวลานี้มีเพียงฉู่สวินหยางและเฟิงเหลียนเซิ่งเท่านั้นที่หันหลังให้กับทางนั้น ซึ่งก็เท่ากับเปิดโอกาสให้ศัตรูโจมตีด้วยธนูจากด้านหลัง

ฉู่ฉีเฟิงและฉู่ฉีเหยียนหน้าเปลี่ยนสีโดยพร้อมเพรียงกัน

เฟิงเหลียนเซิ่งที่ตั้งสติได้ก็ดึงข้อมือฉู่สวินหยางที่อยู่ใกล้ๆ ไปหลบด้านข้างทันที

เหตุการณ์เกิดขึ้นในชั่วพริบตา ร่างชุดสีเขียวเข้มคนหนึ่ง ถลาตามเข้าไปหาฉู่สวินหยางที่อยู่ด้านข้างเฟิงเหลียนเซิ่งอย่างรวดเร็ว แต่แรงของเขากลับมั่นคงและมีกำลังมากกว่า กระชากครั้งเดียวก็แย่งฉู่สวินหยางมาจากมือของเฟิงเหลียนเซิ่งได้

มือที่จับอยู่ จู่ๆ ก็ว่างเปล่า เฟิงเหลียนเซิ่งที่ไม่ได้คาดคิดมาก่อนตกตะลึงไปชั่วขณะ รีบหันกลับไปท่ามกลางความมึนงงแต่เมื่อคิดจะเข้าไปแย่งนางมาอีกครั้ง ธนูระลอกใหม่ก็ถูกยิงออกมาไล่ต้อนด้านหน้าแล้ว

เขาจึงทำได้แต่ยอมแพ้อย่างจนใจ รีบเข้าไปหลบที่ด้านหลังของต้นไม้ใหญ่ด้วยความรวดเร็ว

ผู้ที่พาฉู่สวินหยางมาทางนี้คือฉู่ฉีเหยียน หลังจากที่เขาดึงฉู่สวินหยางมา ทั้งสองคนก็เข้าไปแนบชิด กลิ้งเข้าไปในพุ่มดอกไม้ด้านข้างด้วยกัน

ส่วนฉู่ฉีเฟิงที่อยู่ด้านนั้น ในขณะที่เกิดเรื่องเดิมทีก็คิดที่จะทำอย่างเขาเช่นกัน อยากที่จะพุ่งเข้าไปปกป้องฉู่สวินหยาง แต่ยามนั้นหลัวซืออวี่และฮั่วชิงเอ๋อร์กลับอยู่ยืนด้านหน้าของเขาอย่างพอดิบพอดี จึงขวางทางเขาไว้โดยสิ้นเชิง

ภายใต้สถานการณ์ที่เร่งรีบ เมื่อเห็นว่าฉู่สวินหยางปลอดภัย ฉู่ฉีเฟิงก็ทำตามสัญชาตญาณ ก็ถลาตัวเข้าไปคว้าร่างหลัวซืออวี่ที่อยู่ด้านหน้ามาหลบอยู่หลังภูเขาเทียมประดับสวนที่อยู่ไม่ไกล ในขณะเดียวกันก็ผลักฮั่วชิงเอ๋อร์ที่ตัวแข็งทื่ออย่างตกใจออกไปไกล เพื่อห่างจากธนูอีกระลอกที่โจมตีเข้ามา

สถานการณ์ในสวนดอกไม้เปลี่ยนเป็นวุ่นวายโกลาหลในชั่วพริบตา ปรากฏเสียงร้องด้วยความหวาดกลัวมาจากทั่วทิศทาง

“หลบอยู่ที่นี่ก่อน!” ฉู่ฉีเฟิงดึงหลัวซืออวี่เข้ามาหลบหลังภูเขาเทียม สายตานั้นจ้องมองไปที่พุ่มดอกไม้ด้านนั้นอยู่ตลอด เมื่อมั่นใจแล้วว่าฉู่สวินหยางไม่ได้รับบาดเจ็บอันใดจากเหตุการณ์เมื่อครู่ ก็ไม่ชักช้า พุ่งกายฝ่าราตรีที่มืดมิดสุดลูกหูลูกตาเพื่อที่ จะไปเคลื่อนกำลังพล

เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายได้เตรียมพร้อมอย่างสมบูรณ์แบบ เริ่มด้วยการสังหารทางริมน้ำ ขณะเดียวกันทางอุทยานหลวงไกลๆ นั้นก็เกิดเรื่องขึ้นมาในพริบตา เสียงกรีดร้องที่น่าหวาดผวาและมืดมนก็ดังขึ้นเป็นระลอกๆ เสียงลมดังเสียดหู ตามมาด้วยธนูที่แหวกอากาศออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า ทำให้คืนไหว้พระจันทร์ที่เดิมทีควรจะเป็นราตรีที่งดงามที่สุด กลับย้อมไปด้วยรอยเลือดกระเซ็นและซากปรักหักพัง