บทที่ 95.1 ผู้ที่ซ่อนตัวใต้แสงเทียนที่ริบหรี่ก็คือเขา! (1)

สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2

ในอุทยานหลวง ยังไม่ทันที่แขกทั้งหมดจะได้เข้าร่วมงาน ก็ปรากฏลูกธนูพุ่งเข้ามาอย่างทั่วทิศทางทำให้สถานการณ์เบื้องหน้าตกสู่ความโกลาหลและตื่นตระหนกทันที

เสียงร้องครวญคราง เสียงกรีดร้องที่โหยหวน เสียงโต๊ะเก้าอี้ที่ถูกชนเกลื่อนกลาด เสียงถ้วยชามที่ตกแตกกระจัดกระจายบนพื้น แต่ละเสียงปนกันจนวุ่นวายไปหมด ทำให้เหตุการณ์ตรงหน้าไร้ซึ่งการควบคุมอย่างสิ้นเชิง

มือธนูพวกนี้เห็นได้ชัดว่าถูกจัดเตรียมมาอย่างดี ประจำอยู่ในตำแหน่งที่ได้เปรียบที่สุด แม้ว่าจะไม่ได้จงใจหลีกเลี่ยงยิงขุนนางแต่ละฝ่ายที่มาร่วมงานเลี้ยง แต่เป้าหมายท้ายที่สุดกลับเห็นได้ชัดว่า…

ตั้งใจพุ่งเป้าไปที่ฮ่องเต้เพียงคนเดียวเท่านั้น!

ธนูตกลงมาราวกับฝนห่าใหญ่ แสงสะท้อนจากหัวธนูประกายวาบจนไม่อาจนับจำนวนได้ ถูกปล่อยออกมาจากบนหลังคาตำหนักหนึ่งที่ไม่ไกลมาก

ร่างกายฮ่องเต้ในช่วงนี้นับวันก็ยิ่งแย่ลง เดิมก็ดูเซื่องซึม นั่งพิงกับพนักมือเก้าอี้ด้านหนึ่งอย่างไร้เรี่ยวแรง ปิดตาลงทั้งสองข้าง

ยังไม่ทันทีจะได้รวบรวมสติกลับมา หลี่รุ่ยเสียงและองครักษ์จำนวนหนึ่งก็วิ่งโอบล้อมเข้ามาก่อน กลายเป็นเกราะกำบังที่แม้แต่ลมก็ไม่อาจเล็ดรอดเข้ามาได้ คุ้มกันให้เขาอยู่ตรงกลางอย่างแน่นหนา

เสียงคมธนูที่แหวกผ่านอากาศดังเสียดหู

ฮ่องเต่สะดุ้งตัวขึ้นจากที่นั่งทันที แววตาที่ขมุกขมัวชั่วขณะนั้นก็เปลี่ยนเป็นกระจ่างชัด กล่าวด้วยเสียงเยือกเย็น “มีมือสังหารลอบเข้ามางั้นรึ?”

“น่าจะไม่ใช่คนนอกพ่ะย่ะค่ะ!” หลี่รุ่ยเสียงยกมือออกคำสั่งให้พวกองครักษ์ปัดป้องธนูที่พุ่งเข้ามา ทั้งใบหน้ายังปรากฏน้ำแข็งค้างปกคลุมอยู่หนึ่งชั้น

เพียงแค่มองจากสถานการณ์ของมือธนูพวกนี้ ก็มั่นใจแล้วว่าไม่อาจเป็นมือสังหารที่ลอบเข้ามาในวังได้แน่

หากเป็นมือสังหารจริงๆ เหตุใดจึงสามารถฝ่าการคุ้มกันที่มิดชิดขององครักษ์เข้ามาในวังได้อย่างเงียบเชียบ ทั้งยังลอบเข้ามาจำนวนมากขนาดนี้?

เห็นได้ชัดว่า…

คำอธิบายที่น่าเชื่อถือที่สุดก็คือ กองทหารองครักษ์ในวังส่วนหนึ่งได้ถูกคนซื้อตัวไปแล้ว

“น่ารังเกียจเป็นที่สุด!” ฮ่องเต่ขบฟันแน่น แต่ละคำนั้นเล็ดลอดออกมาจากไรฟัน ถอยออกไปพร้อมกับองครักษ์ ทั้งเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันไปพลาง กล้ามเนื้อที่แก้มนั้นสั่นกระตุกอย่างเลือนราง

องครักษ์ข้างกายเขา ตั้งไหนแต่ไรก็มีฝีมือยอดเยี่ยมไร้ที่ติ เวลานี้องครักษ์นับสิบได้ก่อตัวเป็นกำแพงที่คุ้มกันอย่างแน่นหนา โดยล้อมเขาไว้ตรงกลาง

ธนูที่พุ่งสะเปะสะปะเข้ามา ส่วนหนึ่งก็ถูกองครักษ์ปัดออกไป ส่วนหนึ่งก็ถูกกับองครักษ์ด้านนอกจนบาดเจ็บเท่านั้น

ช่วงเวลานี้ ฮ่องเต้จึงไม่เป็นอันใด

แต่ในทางกลับกัน สถานการณ์ของพวกขุนนางที่เข้าวังมาร่วมงานเลี้ยงกลับไม่ค่อยดีนัก แม้ว่าฉู่อี้อันจะออกคำสั่งให้กองทหารองครักษ์ไปช่วยอพยพฝูงชนออกไปอย่างรีบเร่ง แต่พวกขุนนางฝ่ายปกครองและพวกผู้หญิงกลับแตกกลุ่มวุ่นวายกระจัดกระจายไปตั้งนานแล้ว เดิมทีก็ไม่อาจควบคุมไว้ได้ ระหว่างที่ต่างวิ่งหลบหนีกันไปทั่วทิศทาง ก็ถูกลูกธนูที่พุ่งเข้ามาทำให้บาดเจ็บกันไปไม่น้อย

บางคนบาดเจ็บ บางคนก็เห็นเลือด สถานการณ์ก็ยิ่งสับสนอลม่านยากที่จะจัดการ

ฉู่อี้อันฉวยดาบขององครักษ์คนหนึ่ง พลางปัดป้องธนูห่าใหญ่ที่พุ่งเข้ามา ทั้งยังถอยจนมาอยู่ข้างกายของฮ่องเต้ กล่าวถามทั้งยังเตรียมการป้องกันไปพลาง “เสด็จพ่อเป็นอย่างไรบ้าง? ไม่ได้รับบาดเจ็บตรงไหนใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ!”

“ข้าไม่เป็นไร!” ในตอนที่ฮ่องเต้กำลังลนลาน เดิมทีก็พูดไม่ออกอยู่แล้ว กลับเป็นหลี่รุ่ยเสียงที่กล่าวแทน

“องค์รัชทายาท สถานการณ์ที่นี่แปลกๆ พ่ะย่ะค่ะ สิ่งที่ผิดปกติน่าจะมาจากกองทหารองครักษ์พ่ะย่ะค่ะ…”

“เมื่อครู่ข้าก็กวาดสายตามองไปรอบๆ กลับไม่พบตัวของหยางอวิ๋นชิง!” ฉู่อี้อันกล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำ มีท่าทีสงสัย

หยางอวิ๋นชิงเป็นผู้บัญชาการกองทหารองครักษ์ สถานการณ์ที่เร่งด่วนเช่นนี้ เดิมทีเขาก็ควรจะคอยบัญชาการใกล้ๆงานเลี้ยง เผื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินขึ้น ทว่ายามนี้คนกลับไม่อยู่ที่นี่ เช่นนั้นก็มีความเป็นไปได้เพียงสองอย่าง…

หนึ่งคือมีคนกลัวเขาทำเสียเรื่อง จึงลอบจัดการเขาไปแล้ว

ส่วนอีกความเป็นไปได้หนึ่ง…

ไม่ต้องเดาก็รู้ได้เลยว่า เขานั้นอาศัยอำนาจหน้าที่มาทำเรื่องไม่ชอบธรรม

ไม่ว่าจะจะเป็นแบบไหน คนผู้นี้ก็ไม่อาจพึ่งพาได้อีกแล้ว

รวบรวมสติกลับคืนมาอย่างรวดเร็ว ฉู่อี้อันก็กล่าว “เรื่องที่นี่อย่าเพิ่งยุ่งเลย พวกเจ้าคุ้มกันเสด็จพ่อไปก่อนดีกว่า ส่วนทางนี้ปล่อยให้ข้าจัดการเอง!”

พูดไม่ทันจบ เขาก็ฝ่าวงองครักษ์ที่คุ้มกันฮ่องเต้ออกไปด้านนอก

“ฝ่าบาท คนพวกนี้ไม่ได้มาดี พวกเราหลบกันก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ!” หลี่รุ่ยเสียงกล่าว ขณะที่พูดก็เตรียมจะเข้าไปพยุงมือฮ่องเต้

ไม่คิดว่าฮ่องเต้กลับโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ผลักเขาออกไป แรงนั้นก็ไม่นับว่าน้อย จึงเขาให้หลี่รุ่ยเสียงซวนเซไปทันที

หลังจากนั้นหน้าเขาก็บิดเบี้ยว คำรามออกมาเสียงดัง “ข้าจะคอยดูอยู่ที่นี่ ไม่ไปที่ไหนทั้งนั้น!”

หากเป็นเพียงมือสังหารที่ลอบเข้าวังก็พอว่ากันไปได้อยู่ แต่ยามนี้กลับมีคนลอบวางแผนใช้องครักษ์ในวังใกล้หูใกล้ตาเขาอย่างโจ้งแจ้ง เพื่อมาทำการสังหารดุเดือดเช่นนี้

เรื่องอย่างนี้ ไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อน

มีคนกระทำการต่อหน้าเขา ทั้งยังเข่นฆ่าสังหารขุนนางท่ามกลางวังหลวง หากเรื่องเผยแพร่ออกไป…

ก็คงจะเป็นเรื่องที่อัปยศอดสูและน่าขบขันอย่างถึงที่สุดแน่นอน

ฮ่องเต้เต็มไปด้วยเพลิงโทสะ ทั่วทั้งร่างนั้นแทบจะปะทุความโมโหออกมาอยู่รอมร่อ ใบหน้านั้นมืดมนเย็นยะเยือกราวกับปีศาจตัวหนึ่งที่สามารถกัดกินคนได้ตลอดเวลาก็มิปาน

แม้ว่าจะเป็นหลี่รุ่ยเสียง แต่นี่ก็นับเป็นครั้งแรกที่เขาเห็นฮ่องเต้แสดงท่าทีเช่นนี้ออกมา ชั่วขณะนั้นจับต้นชนปลายไม่ถูก จึงตกตะลึงไปพักหนึ่ง

กระนั้นขณะที่เขาลังเลในชั่วพริบตา พลันสบโอกาสให้คนได้ชิงจังหวะนี้ลงมือ…

ท่ามกลางองครักษ์ข้างกายฮ่องเต้ที่อยู่ด้านใน องครักษ์รูปร่างพอดีคนหนึ่งที่ซ่อนใบหน้าครึ่งซีกอยู่ด้านหลังของฮ่องเต้ จู่ๆ แววตาก็ไหววูบ

แม้จะไม่ได้เผยจิตสังหารออกมาอย่างชัดเจน แต่หลี่รุ่ยเสียงเป็นคนที่มีลางสังหรณ์ฉับไวคนหนึ่ง ชั่วขณะนั้นก็พบถึงความผิดปกติทันที กล่าวเสียงดังโดยพลัน “ฝ่าบาท ระวังพ่ะย่ะค่ะ!”

ขณะที่พูดก็ถลาเข้าไปหาฮ่องเต้

เขาคว้ามือฮ่องเต้ไว้ ขณะเดียวกันก็ดึงออกไป ทว่าเอวด้านหลังของฮ่องเต้กลับมีความเยียบเย็นแล่นปราดเข้ามาอย่างรวดเร็ว กริชสั้นเล่มหนึ่งได้ถูกแทงทะลุเข้ามาแล้ว