บทที่ 95.2 ผู้ที่ซ่อนตัวใต้แสงเทียนที่ริบหรี่ก็คือเขา! (2)

สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2

ช่วงเวลาความเป็นความตายนั้น แม้ว่าฮ่องเต้จะถูกหลี่รุ่ยเสียงดึงออกมา แต่ก็ยังรู้สึกเจ็บแปลบจากการถูกแทง เสื้อคลุมลายมังกรที่รัดด้วยเข็มขัดถูกคนแหวกออก เนื้อผ้าฉีกขาด มีเลือดสีแดงชาดกระเซ็นออกมา

ฮ่องเต่คำรามเสียงต่ำ ฝีเท้าก็ซวนเซเช่นกัน

คนผู้นั้นโจมตีอย่างไม่ลดละ ครู่ต่อมาก็ฟาดดาบตามเข้าไปอีกครั้งอย่างทันที

เวลานี้แม้หลี่รุ่ยเสียงจะอยากดึงฮ่องเต้ออกมาก็ไม่มีทางหนีอีกแล้ว ภายใต้สถานกาณ์ที่ถึงทางตันนั้น เขาก็พุ่งตัวไปด้านหน้า ขวางอยู่ด้านหลังของฮ่องเต้ เผชิญหน้าตรงๆ กับคนผู้นั้น

คนผู้นั้นมีจิตสังหารแฝงอยู่แล้ว จึงไม่คิดที่จะเมตตาแม้แต่น้อย

ดาบเล่มนี้ต้องแทงเข้าไปที่ใต้ซี่โครงของร่างหลี่รุ่ยเสียงอย่างไม่ต้องสงสัย ภายใต้สถานการณ์ที่มีอันตรายรอบด้านนั้น

จู่ๆเหตุการณ์ก็พลิกเปลี่ยนอย่างกะทันหัน ด้านบนนั้นปรากฏเงาแสงวาบ ผู้คนไม่ทันที่จะได้เงยศีรษะไปมอง ก็พบกับวัตถุขนาดใหญ่ที่ตกลงมาตรงตำแหน่งด้านหน้าของหลี่รุ่ยเสียงไม่คลาดเคลื่อนแม้แต่น้อย

แท้จริงแล้วคือ…

ศพทหารที่เปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดร่างหนึ่ง

เมื่อศพนั้นล่วงลงมา จึงขัดขวางมือสังหารไว้ได้ชั่วขณะ ขณะเดียวกันเพื่อที่จะหลบจากศพ คนผู้นั้นก็ถอยไปด้านหลังเล็กน้อยตามสัญชาตญาณ

และก็เป็นในเวลานี้ กลางอากาศนั้นได้ปรากฏเงาร่างหนึ่งถลาลงมา

คนที่มาใหม่ครั้งนี้ดูกระฉับกระเฉงและว่องไวเป็นอย่างมาก เหยียบเท้าลงบนศพที่ตกลงมาก่อนหน้านี้ ในขณะ เดียวกันก็เหวี่ยงมีดโค้งในมือ ท่ามกลางประกายแสงนั้นเลือดก็สาดปลิวว่อนออกมา หน้าอกของมือสังหารผู้นั้นปรากฏบาดแผลลึกจนถึงกระดูก

ซื่อหรงในวันนี้ เข้าวังมาในฐานะว่าที่เจ้าสาวของซูอี้ บนร่างนั้นสวมชุดคลุมสีม่วงอมชมพูที่หรูหราและประณีต

บาดแผลจากหน้าอกของมือสังหารผู้นั้นสาดกระเซ็นซัดจนเปรอะเปื้อนไปบนชุดคลุมของนาง ดูทะลักทุเลไม่น้อย

โลหิตอุ่นที่น่าขยะแขยงนั้นกระเด็นลงบนใบหน้าของนาง ทว่าหญิงสาวผู้นี้กลับยังคงเผยใบหน้าเรียบนิ่งเช่นเคย อีกทั้งยังหมุนกายโดยไม่มีทีท่าลังเลแม้แต่น้อย

นางประกายสายตาเย็นเยียบ ไม่ได้สนใจมองไปที่ผู้อื่นสักนิด เดินผ่านหลี่รุ่ยเสียงเข้าไปประคองฮ่องเต้ที่ซวนเซเพราะได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย

ทั่วศีรษะของฮ่องเต้นั้นมีเหงื่อซึมไปหมด เขาไม่คาดคิดมาก่อน ทั้งยังคงจ้องมองนางอย่างระแวง

ซื่อหรงเม้มริมฝีปากแน่น ใบหน้านั้นราบเรียบไร้อารมณ์ ทว่าน้ำเสียงที่กล่าวออกมากลับแฝงไปด้วยความเคารพและนอบน้อม “แต่ไหนแต่ไรซื่อหรงก็ไม่เคยมีใจคิดทรยศฝ่าบาท!”

พูดเพียงประโยคเดียว นางก็เข้าไปพยุงแขนของฮ่องเต้อย่างมั่นคง พลางออกคำสั่งอย่างเรียบเย็น ให้องครักษ์ลงมือสังหารศัตรูเพื่อเปิดทางให้นาง ก่อนจะเคลื่อนย้ายฮ่องเต้ไปในที่ปลอดภัย

ผู้หญิงคนนี้ลงมือสังหารอย่างเด็ดเดี่ยว ไม่ออมมือแม้แต่น้อย คล้ายกับว่าร่างกายได้แผ่ความรู้สึกอย่างหนึ่งออกมาโดยธรรมชาติ กระตุ้นให้ผู้คนกระหายเลือดที่จะต่อสู้ขึ้นมา

พวกองครักษ์ต่างก็พากันฮึกเหิม ตามมาติดๆ อยู่ด้านหลัง ฟาดฟันศัตรูตลอดทางเพื่อเปิดทางให้ฮ่องเต้

แต่หลี่รุ่ยเสียง ที่เพิ่งประสบพบเจอกับเหตุการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานเมื่อครู่นั้นทีท่าทีตกใจ กลับยืนลังเลอยู่ที่เดิมไปชั่วครู่ คล้อยหลังจึงค่อยหมุนกายติดตามมาอย่างรวดเร็ว

ในกลุ่มฝูงชนด้านหลังที่แผดร้องกันอย่างโกลาหล ซูอี้ถูกคนโจมตีครั้งแล้วครั้งเล่าจนลืมที่จะถอยหนี เพียงแค่ทอด สายตาผ่านความมืดมองไปที่หญิงสาวผู้นั้นที่ถูกองครักษ์คุ้มกันอย่างแน่นหนา จนทำให้เห็นเพียงเงาแขนเสื้อที่โผล่ออกมาเป็นครั้งคราวเท่านั้น

ระหว่างนางกับฮ่องเต้ เดิมทีก็ไม่มีเรื่องของบุญคุณมาเกี่ยวข้อง

ดังนั้นตั้งแต่แรกซูอี้ก็ไม่คาดคิดมาก่อนว่านางจะออกหน้าแทนฮ่องเต้ อีกทั้งไม่คิดป้องกันอะไรแม้แต่น้อย

จนกระทั่งในตอนที่นางสลัดออกจากมือเขาแล้วถลาเข้าไป เขาถึงขนาดสติหลุดไปชั่วครู่ แต่มาจนถึงยามนี้ กลับเข้าใจทุกสิ่งอย่างชัดเจน…

ผู้ที่นางต้องการจะปกป้องกลับไม่ใช่ฮ่องเต้ แต่เป็นคนผู้นั้น!

เงาจากแสงไฟนั้นสอดประสานกัน ประกายโลหิตรินไหลกระจัดกระจายไปทั่วทิศทาง

แม้ว่าทั้งผืนพสุธานี้จะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ เกือบจะทำลายทุกสิ่งทุกอย่างให้วอดวายในตอนนี้…

ในสายตาของนาง ตั้งแต่ต้นจวบจนยามนี้ก็คงมีเพียงเขาเท่านั้น!

นางอยู่ข้างกายเขา เดิมทีก็เพียงเพราะไม่อยากที่จะห่างจากกายคนผู้นั้นไปไกล และหากว่าคนผู้นั้นได้รับบาดเจ็บ นางก็ย่อมทุ่มอย่างสุดกำลัง ก้าวออกมาขวางด้านหน้าเขาเป็นคนแรก

เหมือนดั่ง…

เช่นเคย!

ชั่วขณะนั้น จู่ๆ ซูอี้ก็จิตใจว้าวุ่น

เขาคิดอยากจะตามไป กลับรู้สึกว่าความคิดเช่นนี้น่าขันสิ้นดี ระหว่างที่ใจลอยไปเล็กน้อย ก็ถูกกลุ่มฝูงชนที่อยู่ในท่าทีตื่นตระหนกวิ่งพุ่งเข้าใส่จนไปอยู่ด้านหลังสวนดอกไม้

เมื่อเห็นว่าเสียงผู้คนวุ่นวายขึ้นมา ทั้งยังมีแสงไฟริบหรี่อยู่ตรงหน้า เขากลับหมุนกาย ถอยกลับเข้าไปท่ามกลางฝูงชน

ฉู่ซินรุ่ยให้สาวใช้สองคนแฝงกายไปกับฝูงชน ทั้งเลือกกลุ่มฝูงชนภายนอกที่อยู่ในตำแหน่งปลอดภัยที่สุด เพื่อคอยดูภาพรวมของสถานการณ์ทั้งหมด

เมื่อเห็นว่าฮ่องเต้รอดพ้นจากอันตราย ชั่วขณะนั้น ในดวงตานางก็ปกคลุมไปด้วยโทสะ

“หึ!” ฮวนเกอที่อยู่ด้านข้างอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจอย่างชิงชัง กล่าวด้วยความโกรธ “ผู้หญิงคนนั้นมาจากที่ใดกัน? น่าชิงชังเสียจริงเจ้าค่ะ!”

ฉู่ซินรุ่ยเผยใบหน้าเย็นยะเยือก ไม่ได้ตอบรับกับบทสนทนาของนางแต่อย่างใด กลับกล่าวด้วยเสียงเย็น “พี่ห้าล่ะ? เขาไปที่ไหนกัน? เหตุใดข้าเหมือนจะไม่เห็นเขาเลย!”

“ไม่ทราบเจ้าค่ะ!” ฮวนเกอฟังจบ เวลานี้เมื่อคิดได้ก็กวาดสายตามองไปรอบๆ “คงไม่ใช่ว่ากระจัดกระจายไปกับคนพวกนั้นแล้วหรอกนะ?”

เพียงแต่ว่ายามนี้นางกลับไม่ได้สนใจกับการหายตัวไปของฉู่อี้เจี่ยนนัก “ท่านหญิง กำลังคนของพวกเรามีจำกัด คนที่จัดการให้ไปอยู่ข้างกายฮ่องเต้ด้วยความยากเย็นก็มาถูกกำจัดไปแล้ว หากวันนี้คิดจะทำเรื่องให้สำเร็จ…กลัวว่าคงจะยากแล้วเจ้าค่ะ ถ้าฮ่องเต้สืบสาวราวความในเร็วๆ นี้ เกรงว่า…”

ขณะที่ฮวนเกอพูด ก็เผยท่าทีตื่นกลัวอย่างปิดไว้ไม่อยู่ จึงดึงแขนเสื้อฉู่ซินรุ่ยก่อนกล่าว “ท่านหญิงออกจากวังไปหลบก่อนดีไหมเจ้าคะ หากว่าเรื่องล้มเหลวขึ้นมา ก็ยังดีกว่าถูกกักตัวไว้ที่นี่นะเจ้าค่ะ”

“จะหนีอย่างไรก็หนีไม่พ้นอยู่ดี แล้วหนีไปจะมีประโยชน์อันใดกันล่ะ?” ฉู่ซินรุ่ยกลับไม่ยอมขยับ แค่นหัวเราะอย่างไม่เห็นด้วยกับนาง

ฮวนเกอมองใบหน้าครึ่งซีกของนางที่จู่ๆ ก็เปลี่ยนเป็นเย็นชา ใจก็กระตุกขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ จึงรีบก้มหน้าหลุบตาต่ำลงไป