ตอนที่ 280 รัชทายาท (1)

ลวงเล่ห์ร้ายชายาร้อยพิษ

“ข้าเคยบอกแล้วว่าชิงอวี้จิตใจสู้ชิงซินพี่สาวนางมิได้ บุตรีสกุลตู้ใช้ไม่ได้เช่นนี้ นางจิ้งจอกน้อยเฉินเฟยไม่รู้ว่าตายไปนานเท่าใดแล้ว ชิงซินก็แค่ตายเพราะฝีดาษ เกี่ยวอะไรกับเฉินเฟย นางกลับนำเอาเรื่องเป็นหรือตายมีชะตาลิขิตมาพันกับเรื่องเฉินเฟย ตนเองวันๆ เอาแต่กินเจสวดมนต์ไม่ดูแลวังหลังเลย”

พระพันปีพอพูดถึงเรื่องนี้ก็ปวดพระเศียร โยนชามชาในมือทิ้งไป “ครานั้นชิงซินป่วยตาย ข้าเห็นนางดูแล้วยังเป็นสนมที่ทรงโปรดปรานอยู่บ้าง และเป็นน้องสาวของชิงซินถึงได้ยกนางขึ้นเป็นจักรพรรดินี ใครจะไปรู้ว่านางจะไม่ได้เรื่องเช่นนี้ ถึงอย่างไรก็เกิดแต่อนุนั่นแหละ รู้อย่างนี้ข้าน่าจะเลือกเด็กหญิงสกุลตู้ที่เกิดแต่ภรรยาเอกอีกคนแล้วแต่งตั้งดีกว่า เผื่อจะครองใจจักรพรรดิได้!”

แต่ไหนแต่ไรวังหลังเป็นถิ่นของพระพันปีอยู่แล้ว จักรพรรดินีจะไปมีเรื่องอะไรได้

นี่เป็นเรื่องที่ทุกคนรู้กันดี เพียงแต่ต่งหมัวมัวจะกล้าพูดได้อย่างไร จึงได้แต่พยายามปลอบพระพันปีจะได้ไม่กริ้ว ไม่เช่นนั้นพวกนางคงลำบากแย่ “พระพันปีเพคะ เช้านี้ใต้เท้าหมอหลวงตอนตรวจชีพจรประจำวันบอกว่าท่านไม่ควรมีโทสะนะเพคะ เดี๋ยวใต้เท้าหมอหลวงมาตรวจตอนค่ำเห็นพระพันปีทรงกริ้ว จะไม่โทษพวกบ่าวหรือเพคะ”

ต่งหมัวมัวพร่ำปลอบ พอเอ่ยถึงหมอหลวงสีหน้าเกรี้ยวกราดของพระพันปีก็ผ่อนลงแล้วค่อยๆ กลับคืนเป็นปกติ หลังเสวยรังนกแช่เย็นในชามคำสุดท้ายแล้วจึงกล่าวว่า “เอ้อนี่ พูดถึงราชครู ข้าคิดว่ามีบางเรื่องอยากหารือกับราชครูก่อน”

ต่งหมัวมัวแลดูสีหน้าพระพันปี พลันสะดุ้ง “ท่านจะพบราชครู…พูดเรื่องนั้นหรือเพคะ”

พระพันปีทรงรับน้ำชาหลงจิ่งที่หญิงชาววังหลวงส่งให้บ้วนปาก กล่าวเนือยๆ ว่า “ไม่ผิด แผ่นดินจักมิมีรัชทายาทมิได้ และเป็นเวลาที่ควรแต่งตั้งรัชทายาทแล้ว ต่อให้จักรพรรดิพระพลานามัยไม่สู้ดี แต่จะปล่อยให้ราชกิจของแผ่นดินตกอยู่ในกำมือขององค์หญิงผู้หนึ่งได้อย่างไร จะมิทำให้คนทั้งใต้ฟ้าติฉินนินทาหรือ”

ที่นี่ล้วนเป็นคนสนิทของนาง นางจึงมิกังวลว่าคำพูดของตนจะถูกแพร่งพรายออกไป

ต่งหมัวมัวลังเลครู่หนึ่ง “เรื่องนี้ท่านมิใช่หารือกับหยวนเติงซือไท่จนได้ข้อสรุปแล้วหรือเพคะ”

ราชครูไม่ยุ่งเกี่ยวกับทางโลกไม่ชอบพบใครพระพันปีอยากทำอะไรผ่านราชครู ส่วนมากจะบอกผ่านหยวนเติงซือไท่

พระพันปีกลับส่ายพระพักตร์ พระเนตรเป็นประกายวูบหนึ่ง “เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ ราชครูมิใช่เด็ก ศักดิ์สิทธิ์กลับชาติตัวน้อยที่ไร้อำนาจไร้อิทธิพลปล่อยให้คนจัดแจงเช่นเมื่อกาลก่อน บางเรื่องยังคงต้องให้ข้าไปเองสักครั้ง”

ต่งหมัวมัวผงกศีรษะ กล่าวอย่างนอบน้อมว่า “บ่าวจะไปถ่ายทอดเสาวนีย์ที่ตำหนักเทพชินเทียนเจียนเพคะ”

พระพันปีพลันเหมือนนึกขึ้นได้ พระเนตรฉายแววเย็นเยียบ “เอ้อนี่ เจิ้งจวินหาเจ้าเด็กชิวเยี่ยไป๋เจอหรือยัง”

ต่งหมัวมัวนึกถึงเอกสารฎีกาถวายที่ตนจัดแจงวานนี้ สั่นศีรษะทูลว่า “เจิ้งตูกงบอกว่าเขาได้เร่งการค้นหาแล้ว ได้เบาะแสแล้ว คิดว่าน่าจะมีผลลัพธ์ในเร็ววันเพคะ”

“ตาเฒ่าเจิ้งจวินบอกว่ามีเบาะแสๆ ทุกครั้ง แล้วครั้งไหนบ้างมิใช่เสียเวลาเปล่า กำหนดการสืบคดีสามเดือนใกล้จะครบกำหนดแล้ว เกิดเจ้าเด็กตระกูลชิวกลับมา ผลจะเป็นอย่างไร ต่อให้มันมีสิบหัวก็คงไม่พอให้ข้าบั่น”

พระพันปีพิโรธอย่างอดมิได้ ตบโต๊ะไม้กำยานสลักลายหุ้มทอง “ซูเอ๋อร์ ถูกเจ้าเด็กตระกูลชิวทำเอาบาดเจ็บ ข้าไม่มีวันยอมให้มันมีชีวิตเหยียบเข้าราชธานีเด็ดขาด ข้าไม่คิดจะค้นหาลับๆ อีกต่อไป สั่งให้เจิ้งจวินออกหนังสือสั่งจับทั่วแผ่นดินทันที ตั้งข้อหาว่าเจ้าเด็กตระกูลชิวสมคบกับโจรปล้นเรือบรรณนาการ ให้ข้าราชการทุกแห่ง ถ้าพบจับตัวได้เลย!”

ต่งหมัวมัวฟังแล้วรับคำอย่างนอบน้อม “เพคะ!”

ณ ตำหนักเทพชินเทียนเจียน

“ฝ่าบาท ฟังว่าพระพันปีสั่งให้เจิ้งจวินออกประกาศจับทั่วแผ่นดินแล้ว!” ซวงไป๋จู่ๆ ก็ก้าวยาวๆ เข้าไปในตำหนักเทพที่หรูหรา กล่าวต่อคนที่นั่งอ่านหนังสืออย่างเบื่อหน่าย

บุรุษผมสีเงินทั้งศีรษะเงยหน้าขึ้นมาจากตำรา ดวงตาฉายแววอันตรายสีดำขลับหรี่ลงน้อยๆ หางตากระดกขึ้นอยู่ในองศาอันแปลกประหลาดชั่วร้าย “อ้อ ยายเฒ่าทนไม่ไหวแล้วหรือ”

ซวงไป๋พยักหน้า ยื่นมือออกไปรินน้ำชาให้ไป่หลี่ชูตามความเคยชิน ลองทดสอบอุณภูมิของชาก่อน เมื่อยินยันได้ว่ายังอุ่นอยู่ ก็ส่งให้ไป๋หลี่ชู “ฝ่าบาท ท่านจะขัดขวางเรื่องนี้หรือไม่”

ฝ่าบาทเซ่อกั๋วมีอำนาจเกษียนหนังสือด้วยหมึกแดงแทนพระองค์ ขอเพียงฝ่าบาทยินยอม ประกาศจับที่พระพันปีเป็นผู้ออกย่อมไม่อาจลงตราราชลัญจกรได้ และหากไม่มีหมึกแดงของฝ่าบาท บรรดาขุนนางในราชสำนักล้วนไม่อาจทำตามพระประสงค์เช่นนั้นได้

ไป๋หลี่ชูมือข้างหนึ่งเท้าคาง รับชาอุ่นจากมือซวงไป๋แล้วจิบเบาๆ อึกหนึ่ง สีหน้าครุ่นคิด

ซวงไป๋ก็ไม่เร่งร้อน เพียงส่งสัญญาณบอกให้ขันทีน้อยที่กำลังนวดขาให้ไป๋หลี่ชูถอยไป

ผ่านไปครู่หนึ่ง มุมปากของไป๋หลี่ชูยกขึ้นอยู่ในองศาประหลาดพิกล พลันเอ่ย “ไม่ ไม่จำเป็นต้องขวาง ให้ยายเฒ่าออกประกาศจับไป”

“อะไรนะขอรับ” ซวงไป๋คล้ายว่าไม่กล้าเชื่อหูของตัวเอง

ฝ่าพระบาทถึงกับจะออกประกาศจับใต้เท้าชิวจริงหรือ

พอออกประกาศจับแถมยังมีคำสั่งจับตายด้วย ย่อมมิใช่เรื่องกล้อมแกล้มไปได้โดยเด็ดขาด

ใครที่ถูกออกประกาศจับก็ต้องถูกถอดออกจากตำแหน่งก่อนเป็นอันดับแรกและถูกไล่ล่าตลอดทาง ต่อให้ชิวเยี่ยไป๋สามารถฝ่าอุปสรรคทั้งปวงกลับถึงราชธานี แต่จะนำเสนอหลักฐานในมือได้อย่างไร แล้วมีใครกล้ารับคดีเช่นนี้ไว้

ไม่มีใครกล้ารับคดีของชิวเยี่ยไป๋ แล้วเขาจะแก้ต่างว่าตนเองบริสุทธิ์ได้อย่างไร

นี่เท่ากับเป็นการทำลายอนาคตการรับราชการของชิวเยี่ยไป๋

“ฝ่าบาท ท่านคิดจะทำอย่างไร” ซวงไป๋แลดูเจ้านายของตนอย่างไม่เข้าใจ

ไป๋หลี่ชูอิงกับกลางหมอนที่สวยยาม กล่าวอย่างเกียจคร้านว่า “ใครว่าจะไม่มีใครกล้ารับคดีของเขา”

ซวงไป๋มองดูผู้เป็นนาย อดเลิกคิ้วมิได้ พลันกล่าว “ฝ่าบาท ท่านว่าจะไม่สอดมือเรื่องนี้แล้วมิใช่หรือ”

เขาจำได้ว่าตั้งแต่ตอนอยู่ไหวหนาน ฝ่าบาทก็บอกกับใต้เท้าชิวอย่างชัดเจนแล้ว

มุมปากไป๋หลี่ชูโค้งขึ้น “ข้าบอกว่าจะไม่ลงมือเอง แต่ถ้าเสี่ยวไป๋มาขอร้องข้าก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง”

ซวงไป๋งงงัน ฝ่าบาทคงไม่เป็นอย่างที่เขาคิดกระมัง

“ฝ่าบาท ท่านคิดจะให้ใต้เท้าชิวมาขอร้องท่านหรือ”

ไป๋หลี่ชูเสยผมสีเงินยวงเหมือนสายน้ำของตนด้วยท่าทางงดงาม ร้องเฮอะเบาๆ “สองเดือนมานี้นางติดต่อจดหมายกับคนของหอไผ่เขียวทุกเดือน นางถามไปจนทั่ว แต่ดันไม่เคยพูดถึงข้าเลย”

ซวงไป๋ตะลึง “ฝ่าบาทซื้อตัวคนของหอไผ่เขียวไว้หรือพ่ะย่ะค่ะ”

ไม่เช่นนั้นทำไมฝ่าบาทจึงรู้ละเอียดเช่นนี้ แต่หอไผ่เขียวขึ้นตรงกับชิวเยี่ยไป๋ชัดๆ คนพวกนั้นถึงกับกล้าทรยศต่อนางเชียวหรือ