ตอนที่ 281 รัชทายาท (2)

ลวงเล่ห์ร้ายชายาร้อยพิษ

ไป๋หลี่ชูแค่นเสียง “มีใครซื้อตัวไม่ได้บ้าง ยิ่งกว่านั้นข้ายังให้สิ่งที่พวกลูกหลานขุนนางต้องโทษอยากได้ที่สุด เจ้าว่าพวกเขายังมีทางเลือกหรือ”

การไปเยือนหอไผ่เขียวครั้งแรก เขาก็สงสัยความสัมพันธ์ระหว่างชิวเยี่ยไป๋กับหอไผ่เขียวอยู่แล้ว หลังสืบอย่างละเอียด แม้นางจะซ่อนเร้นเป็นอย่างดี แต่ยังคงถูกเขาพบร่องรอยบางอย่างที่ยืนยันว่านางคือเถ้าแก่ที่อยู่เบื้องหลังหอไผ่เขียว

หลังกลับถึงราชธานี เขาจึงให้อีไป๋ลอบติดต่อกับคนของหอไผ่เขียว หากมิใช่เช่นนี้ เขาจะรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าหมอนั่นไม่เคยพูดถึงเขาแม้แต่อักษรเดียว!

แม้แต่อีไป๋กับซวงไป๋ นางยังเคยถามถึงคำหนึ่ง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเจ้างั่งอาเจ๋อ จดหมายแต่ละฉบับนางล้วนมีนัยพูดถึง แต่เขาทบทวนอักษรทุกตัวในจดหมายรอบแล้วรอบเล่า กลับไม่เคยมีการเอ่ยถึงเขาแม้แต่คำเดียว

“เสียดายที่ข้าอุตส่าห์เสี่ยงอันตรายช่วยชีวิตไอ้คนไร้น้ำใจ” ไป๋หลี่ชูเสียงเย็นเหมือนล้อเล่น เพียงมองดูดวงตาเย็นเยียบชั่วร้ายคู่นั้นของซวงไป๋ที่กลับฉายแววเย็นเยือกอย่างเกียจคร้าน

ซวงไป๋ถูกไป๋หลี่ชูจ้องมอง รู้สึกเหมือนถูกผู้ล่าที่แข็งแกร่งจับจ้องในฐานะผู้ถูกล่าด้วยดวงตาของสิ่งไม่มีชีวิตยามราตรีจนอดขนลุกมิได้

ใต้เท้ากำลังหึงหวงชัดๆ

ซวงไป๋อดพึมพำในใจมิได้ ชิวเยี่ยไป๋ พี่ชิว ท่านออกจะมีตาแต่หามีแววไม่ ปกติโดนฝ่าบาททับร่างไว้ใช่ว่าจะน้อยวัน หรือยังไม่รู้อีกว่าฝ่าบาทนิสัยก้าวร้าวแต่ขี้น้อยใจ

จะดีหรือร้ายในจดหมายก็น่าจะพูดถึงฝ่าบาทบ้าง ต่อให้เป็นการด่าก็เถอะ ยังดีกว่าเอ่ยถึงข้ากับอีไป๋ที่แค่เหมือนคนแปลกหน้า ทำเอาคนดีๆ พลอยโดนลูกหลงไปด้วย!

“ในใจของใต้เท้าชิว…ฝ่าบาทน่าจะมีฐานะไม่เหมือนกัน ไม่เช่นนั้นด้วยความสัมพันธ์ของฝ่าบาทกับใต้เท้า ใต้เท้ากลับไม่พูดถึงเลย นี่จึงยืนยันว่าฝ่าบาทไม่เหมือนคนอื่นสำหรับใต้เท้า”

ซวงไป๋คิดอยู่ค่อนวัน พยายามเค้นคำพูดปลอบใจนี้ออกมา

ไป๋หลี่ชูหรี่ตาลงอย่างข้องใจ “อ้อ อย่างนั้นหรือ”

ซวงไป๋รีบผงกศีรษะหงึกหงัก “ไม่ผิดขอรับ เป็นเช่นนี้!”

ว่ากันตามหลักแล้วเป็นไปได้จริง เห็นได้ชัดว่าชิวเยี่ยไป๋จงใจจะหลีกเลี่ยงการพูดถึงฝ่าบาท

ดูเหมือนไป๋หลี่ชูจะยอมรับคำพูดนี้อยู่บ้าง จึงพยักหน้าเหมือนกำลังครุ่นคิด หางตาที่เครียดเขม็งคลายลง สีหน้าก็มิได้น่ากลัวเหมือนเมื่อครู่

ซวงไป๋ลอบถอนใจเฮือก พยายามทำให้รอยยิ้มของตนน่าเชื่อถือยิ่งขึ้น

แน่นอน การพูดถึงใครหลายคนที่รู้จัก แต่กลับไม่พูดถึงอยู่คนเดียว…ความจริงเป็นไปได้อีกอย่างหนึ่งคือเกลียดคนคนนั้นมาก จนกระทั่งไม่อยากแม้แต่จะเอ่ยถึง

แน่นอน ประโยคนี้ตีให้ตายเขาก็ไม่มีวันพูดออกมา

คำพูดใดๆ เกี่ยวกับชิวเยี่ยไป๋ล้วนเสียดแทงจิตใจฝ่าบาทของตนได้ง่าย ดังนั้นซวงไป๋จึงเปลี่ยนเรื่องพูดที่ปลอดภัยกว่า จะได้เบนความสนใจของเจ้านาย “ฝ่าบาท ท่านมิได้ให้คนของเจินเหยียนกงรับใช้ใกล้ชิดสิบกว่าวันแล้ว ข้าน้อยเกรงว่าพวกเขาจะสงสัย โดยเฉพาะเสวี่ยหนูกับฮวาหนูที่เดิมทีรับใช้ใกล้ชิดท่านราชครูมาตลอด”

ไป๋หลี่ชูยืดมุมปากอย่างเย็นชา หมอกดำเย็นเยือกปรากฏในดวงตาแวบหนึ่ง “คนสารเลวที่สามหาวสองคน มีแต่นิสัยอย่างอาเจ๋อที่ทนพวกนางได้ ถ้าข้าให้พวกนางรับใช้ใกล้ชิด เกรงว่าไม่ถึงเค่อหนึ่งศีรษะกับร่างกายพวกนางก็แยกจากกันแล้ว นั่นแหละจะทำให้คนสงสัย!”

ซวงไป๋เงียบงัน เขาเห็นด้วยกับคำพูดนี้ อารมณ์เกรี้ยวกราดของฝ่าบาทตน เกรงว่าเพียงแค่เสวี่ยหนูหรือฮวาหนูแตะต้องโต๊ะที่เขาใช้ก็ยังทนไม่ไหว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการรับใช้ใกล้ชิดทั้งอาหารการกิน เครื่องนุ่งห่มการอยู่อาศัยและการเดินทาง

ว่ากันตามจริงแล้ว เจินเหยียนกงส่งหญิงรับใช้โฉมงามทั้งสี่คือเฟิง ฮวา เสวี่ย เย่ว์ อยู่ข้างกายราชครู ก็มีเจตนาจะใช้หญิงงามมาควบคุมราชครูไว้ แต่ราชครูเป็นคนดักดานคร่ำครึ ตอนบำเพ็ญธรรมในห้องหับ จะอนุญาตให้เด็กรับใช้คนหนึ่งคอยส่งน้ำชาให้เท่านั้น หญิงรับใช้รูปงามทั้งสี่ทำได้แค่ปูเตียงและจัดการเรื่องเล็กน้อยประจำวันเท่านั้น

กอปรกับนิสัยของราชครูสงบชืดชาและไม่พูด ฐานะในเจินเหยียนกงสูงส่ง ดังนั้นต่อให้หยวนเติงซือไท่ผู้เป็นเจ้าอาวาสเห็นชอบ พวกนางก็ไม่กล้ากระทำการประเภทยั่วยวนอย่างโจ่งแจ้ง

และหลังเสวี่ยหนูคุ้มกัน ‘ราชครูที่พลัดหลงไป’ กลับถึงราชสำนักเมื่อครั้งก่อน ก็มิรู้ว่าได้รับการกระตุ้นอย่างไร จึงมักพยายามใกล้ชิดกับราชครูจนในที่สุดวันหนึ่ง นางถึงกับเปลือยร่างปีนขึ้นเตียงราชครู ทำเอาฝ่าบาทที่หลับใหลอยู่ตื่นขึ้นมา เกือบตบสมองนางแตกด้วยซ้ำ

ถ้ามิใช่เขาส่งคนกบดานในตำหนักเทพ พบว่าฝ่าบาทตื่นขึ้นมาและรีบแจ้งเขากับอีไป๋รุดมาจัดการ เกรงว่าพวกหญิงรับใช้ของเจินเหยียนกงคงหลั่งเลือดคาที่กันหมดแน่

บัดนี้เสวี่ยหนูยังพอจะฝืนลงจากเตียงได้บ้าง หลังวันนั้นฝ่าบาทถูกกระตุ้นโทสะเกือบเลือดล้างตำหนักเทพแล้ว จนถึงบัดนี้ไม่ให้คนของเจินเหยียนกงรับใช้ใกล้ชิดราวสิบกว่าวันแล้ว

“ฝ่าบาท พักนี้ท่านตื่นจากหลับใหลบ่อยมาก ท่านรู้สึกไม่สบายตรงไหนบ้างไหมพ่ะย่ะค่ะ” ซวงไป๋ลังเลครู่หนึ่ง ยังคงพูดสิ่งที่เขากังวลที่สุดออกมา

ไป๋หลี่ชูหลุบตาลง แลดูปลอกเล็บมือที่ทำด้วยอัญมณีของตน กล่าวเนือยๆ ว่า “ข้าไม่รู้ว่าเป็นอะไร พักนี้หลับตื้นขึ้นทุกที เมื่อสองปีก่อนต่อให้พบเหตุด่วนเหตุร้ายก็ไม่ตื่น แต่ครึ่งปีมานี้ไม่รู้เป็นอย่างไรหลับตื้นขึ้นเรื่อยๆและระงับใจไม่อยู่ พออารมณ์ถูกกระทบเข้าก็ตื่น แม้จะอ่อนล้าง่วงนอนติดกันหลายวัน แต่ก็ไม่มีตรงไหนไม่สบาย”

ซวงไป๋มองดูเจ้านายอย่างสงสัยอยู่บ้าง “ราชครูไม่ขัดขืนเลยหรือ”

เขายังจำได้ว่าหลายปีก่อนหน้านี้ ราชครูต่อต้านการดำรงอยู่ของฝ่าบาทอย่างแข็งขัน แม้ต่อมาจะค่อยๆ ยอมรับการดำรงอยู่ของฝ่าบาท แต่ทุกครั้งที่ฝ่าบาทตื่นขึ้นมาจะอ่อนล้าเป็นพิเศษและต้องพักอยู่หลายวัน

“เปล่า ดูเหมือนอาเจ๋อนับวันจะขี้เกียจขึ้นทุกที ไม่ยอมออกมา” ไป๋หลี่ชูกล่าวอย่างเกียจคร้านว่า “เขาอยากหลับก็หลับไป ออกมาแล้วไม่กินก็นอน หรือไม่ก็สวดมนต์ นิสัยคร่ำครึของเขาขืนไม่มีข้าคอยปกป้อง จะช้าหรือเร็วคงต้องถูกคนหั่นศพแน่ และยังต้องขอบคุณพุทธะที่สับเขาจนละเอียด”

ซวงไป๋โคลงศีรษะ แม้คำพรรณนานี้จะน่ากลัวเกินเหตุ แต่เขารู้สึกว่าตรงกับความเป็นจริงอย่างยิ่ง

เขาพลันนึกขึ้นได้ เป็นไปได้ไหมหนอว่าสักวันหนึ่ง ราชครูจะหลับใหลแล้วไม่ตื่นอีกตลอดกาล

ซวงไป๋สั่นศีรษะ ความคิดนี้น่ากลัวเกินไป เขาสั่นศีรษะเปลี่ยนเรื่องพูด “ฝ่าบาทตอนข้าน้อยเข้ามา มีข่าวจากสายสืบแจ้งว่า พระพันปีกำลังจะมาหารือเรื่องการตั้งรัชทายาทกับราชครู ถ้าราชครูมัวแต่หลับใหลเช่นนี้ เกรงว่าคงมิเป็นการ”

ผมของฝ่าบาทไม่ย้อมให้ดำอีกก็ได้ ท่าทางก็ปลอมแปลงได้ แต่นัยน์ตา…มีแต่นัยน์ตาที่ไม่อาจปลอมแปลงได้

“ตั้งรัชทายาท?” ไป๋หลี่ชูพลันเงยหน้า ดวงตาฉายประกายเย็นเยียบ “ยายเฒ่านั่นทนไม่ไหวแล้วหรือ ลืมไปแล้วหรือว่า รัชทายาทของรัชกาลนี้ล้วนเป็นผู้ถูกสาปให้อายุสั้น พี่ชายคนโตกับคนที่สองของข้าตายอย่างไร นางยังคิดจะเอาหลานรักสายตรงคนนั้นมาเซ่นเทพยดาหรือ”