ตอนที่ 265 โน้มน้าวให้จากไป

เมื่อได้ยินเช่นนี้ ทุกคนต่างก็งุงงงกับสิ่งที่สือเป้ยเอ๋อร์กระทำ เริ่มกระซิบกระซาบกันขึ้นมา ซึ่งซูหวานหว่านก็ได้ยินเรื่องราวบางอย่างจากคำพูดของพวกเขา ที่แท้ก็เป็นเพราะนางกักตัวมาตลอดตั้งแต่กลับมาจากเมืองโจว แต่แล้ววันนี้เมื่อถูกปล่อยตัวออกมา ก็เลยทำให้นางไม่รู้ว่าซูหวานหว่าน ณ ตอนนี้มีฐานะเช่นไร!

เมื่อนึกถึงหญิงสาวคนนั้นที่มาท้าทายฉีเฉิงเฟิงและบอกว่านางถูกส่งมาโดยสือเป้ยเอ๋อร์ ซูหวานหว่านก็รู้สึกสงสัยในเรื่องนี้ขึ้นมา สือเป้ยเอ๋อร์ไม่ได้รับรู้เรื่องราวด้านนอก นางจะส่งคนไปได้อย่างไร? แต่ว่า… นางจะเป็นคนของผู้ใด?

ซูหวานหว่านครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ วางความสงสัยภายในใจลง นางมองสือเป้ยเอ๋อร์อย่างนิ่งเฉยก่อนจะเอ่ยออกมาว่า “คุณหนูสือ ไม่พบกันนานเลยนะ เหตุใดเจ้าถึงรังเกียจข้าเช่นนี้? พวกเราต่างถือว่าเป็นสหายเก่าต่อกัน!”

“ใครรู้จักเจ้ากัน! ใครเป็นสหายกับเจ้ากัน!” เมื่อสือเป้ยเอ๋อร์คิดถึงเรื่องที่ซูหวานหว่านเคยทำร่างกายของนางก็สั่นสะท้านด้วยความโกรธ และเมื่อยังไม่เห็นคนรับใช้สักคนโผล่หน้ามา ความขุ่นเคืองภายในใจก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น จึงตะโกนใส่ซูหวานหว่านว่า “ใครก็ได้! พวกเจ้าไม่ได้ยินคำสั่งของข้าหรืออย่างไรกัน!”

สือเป้ยเอ๋อร์กรีดร้องออกมาราวกับสิงโตที่ไร้เหตุผล ภาพลักษณ์อันอ่อนโยนของมลายหายไปท่ามกลางสายตาของฝูงชน คนรับใช้ต่างเห็นท่าไม่ดี ทว่าก็ไม่กล้าลงมือกระทำใด ๆ กับซูหวานหว่าน จึงรีบไปตามแม่เหนียนฮูหยินแห่งจวนอัครเสนาบดีมา

แม่เหนียนเดินเข้ามาอย่างรีบร้อน แววตาของนางเปล่งประกายแวววาวเมื่อเห็นซูหวานหว่าน และลืมไปแล้วว่าคนใช้ไปตามนางมาเพราะเรื่องของสือเป้ยเอ๋อร์ จึงวิ่งเข้าไปและพูดออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน “คุณหนูใหญ่ตระกูลจ้าว เจ้ามาแล้ว!”

คุณหนูใหญ่ตระกูลจ้าว? ซูหวานหว่านไม่ได้แซ่ซูงั้นหรือ? ดวงตาของสือเป้ยเอ๋อร์เบิกกว้าง เมื่อเห็นซูหวานหว่านถูกจับจ้องด้วยสายตาของผู้คน ในใจของนางก็รู้สึกเกลียดอีกฝ่ายเป็นอย่างมาก เมื่อคิดว่าซูหวานหว่านเป็นเพียงสาวบ้านธรรมดาคนนึง และคิดไปเองว่าฐานะนี้มันเป็นสิ่งจอมปลอม ริมฝีปากของหญิงสาวก็กระตุกยิ้ม “ซูหวานหว่านนะซูหวานหว่าน! มันจะคงไม่เป็นอะไรหากเจ้าทำตัวเย่อหยิ่งข้างนอก แต่ตอนนี้เจ้าอยู่ในจวนอัครเสนาบดีของข้า เจ้าจะใจกล้าได้สักเท่าไรกัน! เจ้าไม่กลัวว่าข้าจะเปิดเผยความลับของเจ้างั้นหรือ?”

“เจ้าคิดว่าข้ามีความลับที่กลัวว่าเจ้าจะพูดออกมางั้นรึ?” ซูหวานหว่านเอ่ยพลางกระตุกยิ้มบางเบา ทังโผจื่อในมือเริ่มเย็นลงแล้วเล็กน้อย จึงกวักมือเรียกคนรับใช้ในจวนให้นำไปเปลี่ยนให้นาง ดูเหมือนนางไม่กลัวเลยว่าสือเป้ยเอ๋อร์จะต้องการทำอะไร

เมื่อฝูงชนได้ยินคำพูดเหล่านั้นก็รู้สึกว่าเรื่องนี้มันน่าสนใจขึ้นมาเล็กน้อย สายตาของพวกเขามองไปมา เจ้ามองข้า ข้ามองเจ้า และพลันใดนั้นก็มีคนพูดขึ้นมาว่า “คุณหนูสือ ข้าไม่อาจรู้ได้ว่าคุณหนูจ้าวกระทำสิ่งใดไว้ ถึงทำให้เจ้าโกรธเพียงนี้! เรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างพวกเจ้าคงจะเป็นเรื่องเข้าใจผิด? พูดมันออกมาเถิดพวกเราจะช่วยพวกเจ้าสองคนวิเคราะห์มันเอง”

แม่เหนียนเหลือบมองคุณชายที่เอ่ยประโยคนี้ออกมาก่อนจะพูดว่า “อย่าได้กังวลกับสิ่งที่เกิดขึ้นภายในอดีต วันนี้พวกเราได้นั่งอยู่ที่นี่ เช่นนั้นแล้วมันคือโชคชะตา เป็นโชคชะตาระหว่างทุกคนกับตระกูลจ้าว อีกทั้งยังเป็นมิตรภาพระหว่างจวนอัครเสนาบดีกับตระกูลจ้าว จงให้ความสามัคคีมาเป็นอันดับแรก!”

“ที่ฮูหยินกล่าวออกมาถูกต้อง” คุณชายคนนั้นบอก และใบหูของเขาก็ขึ้นสีแดงเล็กน้อย

ซูหวานหว่านสบตาสือเป้ยเอ๋อร์ ก่อนจะยกยิ้มเบา ๆ ใบหน้าที่น่าดึงดูดราวกลับกลีบดอกไม้อันบอบบาง ทำให้สือเป้ยเอ๋อร์รู้สึกว่าซูหวานหว่านกำลังยั่วยุ! “หากบอกว่านางไม่ใช่ลูกสาวของฮูหยินจ้าวล่ะ? ข้าเคยเจอนางมาก่อน นางเป็นเพียงแค่เด็กสาวชาวนา! นางเป็นหญิงชั่วช้า! หากทุกคนต้องการใกล้ชิดกับตระกูลจ้าวก็อย่าได้เข้าหาผิดคน!”

“หุบปาก!” แม่เหนียนโพล่งขึ้นมาด้วยความโกรธ เมื่อไม่กี่วันก่อนนางได้ไปดูการแข่งขันรอบแรก และก็พบว่าแม่จ้าวและซูหวานหว่านมีความคล้ายคลึงกันมาก จะไม่ให้กำเนิดมาเองได้อย่างไร?

“ท่านแม่ ข้าเพียงแค่อยากพูดเท่านั้น!” เมื่อคิดถึงข่าวลือที่คุณหนูใหญ่ตระกลูจ้าวถูกองค์ชายสามไล่ตาม หัวใจของสือเป้ยเอ๋อร์ก็รู้สึกอึดอัดจนทนไม่ไหว นางจึงสั่งให้คนไปใช้วิธีสกปรก แต่ไม่คาดคิดว่าคุณหนูใหญ่ตระกูลจ้าวจะคือซูหวานหว่าน!

“ท่านแม่ พวกท่านไม่รู้อะไรเสียแล้ว ข้านั้นรู้จักนาง! แม่นางคนนี้…ก่อนหน้านี้นางฝากตัวเป็นลูกศิษย์ของหมอท่านหนึ่งที่รักษาแต่โรคของผู้ชาย! มือคู่นั้นของนางไม่รู้ว่าจับร่างกายของผู้ชายมามากน้อยแค่ไหนแล้ว!” ทันทีที่พูดสือเป้ยเอ๋อร์ก็ได้ยินเสียงเพียะดังขึ้น ใบหน้าของหน้าหันไปตามแรงกระแทกที่ปะทะลงมา เมื่อนางลืมตาขึ้นก็พบว่าฝ่ามือของแม่เหนียนขึ้นสีแดงก่ำ แม่เหนียนตบหน้านาง!

“ท่านแม่! ท่านไม่ตีนางแต่มาตีข้าเพื่ออะไร?” สือเป้ยเอ๋อร์เบิกตากว้าง เผยสีหน้าไม่เข้าใจ หัวใจของนางรู้สึกน้อยใจยิ่งนัก ไม่นานหยาดน้ำก็ร่วงหล่นลงมา เมื่อเห็นเช่นนั้นแม่เหนียนก็รู้สึกปวดใจ แต่ก็เอ่ยออกมาด้วยสีหน้าเย็นชา “ใครก็ได้! พาคุณหนูกลับไปที่ห้องที! วันนี้อากาศค่อนข้างเย็น นางไม่ควรออกมาข้างนอก!”

นี่คือการปกปิดความผิด!

ผู้คนต่างตกตะลึง พวกเขาต่างรู้กันทั่วว่าแม่เหนียนพยายามทำให้ซูหวานหว่านพึงพอใจ ดังนั้นพวกเขาจึงทำตัวไม่ถูก

วันนี้ไม่ว่าจะทำการสิ่งใดทุกอย่างล้วนผ่านไปได้อย่างราบรื่น ไม่มีผู้ใดมาทำให้อารมณ์เสีย ซูหวานหว่านเดินชมรอบ ๆ จวนอัครเสนาบดีโดยมีหัวหน้าคนรับใช้เป็นคนนำและมีคนใช้ค่อยกางร่มให้กับนาง โดยในมือยังคงถือทังโผจื่อเอาไว้

หญิงสาวเดินมาถึงบริเวณทะเลสาบน้ำแข็งโดยไม่รู้ตัว ช่างเป็นภาพที่งดงามเป็นอย่างมาก กลางทะเลสาบมีหินปลอมก้อนใหญ่ถูกปกคลุมด้วยสีขาว

คนรับใช้เหล่าคนเตรียมโต๊ะ แท่นฝนหมึก หมึก กระดาษสำหรับไว้ให้คุณชายและคุณหนูทั้งหลายรังสรรค์ภาพวาดขึ้น ซูหวานหว่านยืนมองพวกเขาอย่างเงียบเฉียบ และคิดว่ามีเพียงสิ่งเหล่าที่เป็นความบันเทิงของชาวเมืองหลวง คงจะช่วยไม่ได้หากนางจะรู้สึกว่ามันช่างน่าเบื่อ

ทันใดนั้นก็มีหญิงสาวที่แต่งกายด้วยเสื้อคลุมยาวสีชมพูกำลังเดินมาทางซูหวานหว่าน บนศีรษะของนางมีหมวกถูกสวมเอาไว้ รอบคอถูกพับด้วยขนปุกปุยของจิ้งจอกเงิน หญิงสาวคนนั้นยิ้มเล็กน้อยและเดินเข้าไปหาซูหวานหว่าน ทำให้นางรู้สึกแปลกใจไม่ได้ “คุณหนูใหญ่จ้าว เมื่อครู่ฉินเอ๋อร์กำลังวาดรูป วันนี้มาสายไปเล็กน้อย จึงไม่ได้มาวาดรูปเป็นเพื่อนเจ้า เจ้าอย่าโกรธข้านะ”

หญิงคนนี้คือใครกัน? เหตุใดจึงนางถึงมาเพียงคนเดียว? ตอนนี้หิมะกำลังตก ทำให้ไม่มีสัตว์ตนใดออกมาให้นางถาม แต่อย่างไรก็ตามใบหน้าของนางยังคงเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ซูหวานหว่านลดเกาะป้องกันตนเองลง และเอ่ยอย่างสุภาพว่า “ไม่เป็นไร”

หญิงสาวคนนั้นหัวเราะออกมาแผ่วเบา เด็กรับใช้ที่อยู่ด้านข้างจึงเอ่ยแนะนำ “นี่คือคุณหนูสามแห่งจวนอัครเสนาบดีของเรา”

“ข้าชื่อสือฉินเอ๋อร์ หากเป็นไปได้เรียกแค่ชื่อของข้าอย่างเดียวก็พอแล้ว” สือฉินเอ๋อร์ยิ้มเล็กน้อย แววตาของนางใสบริสุทธิ์ดุจหิมะ ไม่มีสิ่งใดเจือปน

ดวงตาใสซื่อดั่งเช่นคน จะมีความคิดที่ไม่ดีได้อย่างไรกัน? ซูหวานหว่านรู้สึกชอบสือฉินเอ๋อร์ขึ้นมาเล็กน้อย และเริ่มบทสนทนากับนางขึ้น

สือฉินเอ๋อร์เล่าเรื่องราวน่าสนใจในเมืองหลวงให้ซุูหวานหว่านมากมาย เมื่อเอ่ยเรื่องราวน่าสนใจในตอนที่นางนั้นวาดภาพ สีหน้าของนางก็ดูหมองลง นางถอนหายใจออกมา “คุณหนูใหญ่จ้าว ว่ากันตามตรง คุณชายที่สอนข้าวาดรูปเมื่อก่อน ได้ประกาศแต่งงานโดยไม่ได้รับอนุญาตจากผู้ใด แต่เมื่อเร็ว ๆ นี้เขาได้เลือกคนอื่นแล้ว ข้าจึงอยากจะหาประสบการณ์จากเจ้า หวังว่าเจ้าจะไม่ถือโทษโกรธกัน”

“หาประสบการณ์?” ซูหวานหว่านไม่ค่อยเข้าใจ แต่ว่าการหาประสบการณ์นี่เกี่ยวอะไรกับชายหนุ่มที่สอนนางวาดรูป

ภายในหัวของซูหวานหว่านเต็มไปด้วยความสงสัย และก็ได้ยินสือฉินเอ๋อร์พูดออกมาว่า “ข้าอยากรู้ว่าคุณหนูจ้าวใช้วิธีใดทำให้องค์ชายสามหลงใหลในตัวเจ้า เพราะข้าต้องการให้เขาปฏิบัติกับข้าแบบนั้นบ้าง”

ซูหวานหว่านได้ยินร่องรอยของความอิจฉาที่ออกมาจากคำพูดของนาง จึงรีบหันไปสบตาสือฉินเอ๋อร์ แววตาของนางเต็มได้ด้วยความโศกเศร้า ราวกับดูดซับความเศร้าจากทั้งโลกมาไว้ที่ตนเอง ทำให้หัวใจของซูหวานหว่านอ่อนยวบ และเอ่ยถามว่า “เป็นไปได้หรือไม่ที่องค์ชายสามเป็นคนที่สอนเจ้าวาดรูป?”

ซูหวานหว่านไม่ต้องการได้ยินคำตอบที่คาดหวัง แต่แล้วนางก็ได้ยินสือฉินเอ๋อร์พูดว่า “ใช่”

พูดจบสือฉินเอ๋อร์ก็จับมือของซูหวานหว่าน “คุณหนูใหญ่จ้าว ฟังคำแนะนำของข้าไว้ อย่าเชื่อคำพูดใด ๆ ขององค์ชายสามทั้งนั้น! สิ่งที่เขาพูดทั้งหมด มันเป็นของปลอม! ข้า…ก็เป็นเหยื่อด้วยเช่นกัน!”

“เพราะเหตุใด? พูดออกมาสิ” พูดเสร็จซูหวานหว่านก็รู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย นางไม่รู้ว่าสิ่งที่อีกฝ่ายพูดเป็นความจริงหรือไม่ แล้วนางจะเผชิญหน้ากับฉีเฉิงเฟิงได้อย่างไร!

ท้ายที่สุดแล้ว คนที่มีสายตาบริสุทธิ์ย่อมไม่โกหกนางอย่างแน่นอน!