บทที่ 304 – แนวทาง (1)
หลังเขตพื้นที่เป็นกลางจบไปแล้ว ซอลจีฮูก็ต้องยุ่งอีกครั้งหนึ่ง
‘ฉันจะต้องหาน้ำพุ’
เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าน้ำพุมันคืออะไร เขาไม่รู้เลยว่าจะหามันได้ที่ไหน
เขารู้ก็แต่ว่าบางอย่างที่คล้ายกันนี้เคยเกิดขึ้นในอนาคตคู่ขนาน และอึนยูริที่ถูกเรียกเป็นความหวังของมนุษยชาตก็ได้พูดว่าพวกเขาสามารถไปอาณาจักรภูติได้ผ่านน้ำพุ
ซอลจีฮูในอนาคตพูดเหมือนกับเธอเป็นคนบ้า บอกว่าเธอคิดเรื่องไร้สาระ แต่ตัวซอลจีฮูในตอนนี้ไม่ได้คิดแบบนั้น
การที่แม้กระทั่งสหพันธรัฐก็ยังยอมแพ้นั่นมันหมายความว่าไม่มีทางแก้อื่นแล้วจริงๆ ดังนั้นพวกเขาพึ่งได้แต่น้ำพุเท่านั้น
เพราะงั้นตลอดทั้งเดือนทำให้ซอลจีฮูทุ่มเทเวลาไปกับการค้นหามัน แต่ก็ยังคงไร้ซึ่งผลลัพธ์ใดๆ
ถึงแม้ว่าเขาจะค้นทั่วทั้งห้องสมุด อ่านหนังสือทุกๆเล่มแล้ว แต่ก็ไม่มีแม้แต่เบาะแสเดียว มันแทบจะเหมือนกับว่าไม่เคยมีอยู่มาก่อนเลย
ไม่ว่าจะถามโรเซร่า ซอยูฮุย หรือโฟลน แต่ทุกๆคนต่างก็ส่ายหัว พวกเธอทุกๆคนต่างก็ตอบกลับมาว่าไม่เคยได้ยินเรื่องน้ำพุมาก่อน
“คุณอึนยูริพอจะบอกถึงวิธีการข้ามไปอาณาจักรภูติหรือเรื่องน้ำพุหน่อยได้ไหมครับ?”
เขาหงุดหงิดมาจนเผลอถามอึนยูริออกไป ยังไงก็ตามมันเป็นธรรมดาที่เธอในตอนนี้ไม่มีทางรู้เลย ดังนั้นเธอก็ได้แต่มองเขากลับมาอย่างสับสน
เพราะแบบนี้ทำให้ซอลจีฮูเริ่มรู้สึกสงสัยแล้วว่าน้ำพุมีอยู่จริงหรือเปล่า และกระทั่งรู้สึกหงุดหงิดยิ่งขึ้นในทุกๆวัน
ระหว่างที่ความกังวลได้ค่อยๆเพิ่มพูนขึ้นมา สายลมแห่งการเปลี่ยนแปลงเล็กๆก็พัดผ่านมาที่วัลฮาลา
อย่างแรกปาร์ควูรี ยูยอลมี และอึนยูริได้ตามจางมัลดงไปที่ฮารามาร์ค นี่ก็เพื่อยกระดับศักยภาพของพวกเขาให้สูงยิ่งขึ้นในตอนที่ยังอยู่ระดับต่ำอยู่
นอกไปจากนี้วัลฮาลากำลังจะมีแรงค์เกอร์ระดับสูงเพิ่มขึ้นมาอีกสามคน
หลังจากเหตุการณ์ค่ำคืนอีวา ริชาร์ด ฮิวโก้ มาแชล จิโอเนีย และมาเรีย ยูเรล พวกเขาทั้งหมดได้ยืนอยู่ที่ชายขอบของระดับ 4 มานานแล้ว จนในที่สุดตอนนี้ก็เติมเต็มเงื่อนไขในการเลื่อนระดับจนครบ เพราะความทุ่มเทในเขตพื้นที่เป็นกลางทำให้ในที่สุดพวกเขารวบรวมคะแนนคุณูปการที่ขาดไปได้สำเร็จ
แน่นอนว่ามันยังเร็วเกินไปที่จะดีใจ
พวกเขาแค่มีสิทธิ์เลื่อนระดับเท่านั้น ในท้ายที่สุดแล้วพวกเขาก็ยังต้องผ่านบททดสอบจากราชวงศ์เพื่อยกระดับขึ้นเป็นแรงค์เกอร์ระดับสูง
นอกเหนือจากพวกเขาแล้วพี่น้องยี่ก็ได้มาถึงระดับ 3 และลูกเจี๊ยบก็ยังมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เล็กน้อย
อย่างแรกขนาดของมันเปลี่ยนแปลงไป จากที่เคยมีขนาดเท่าก้อนสำลีในตอนฝักออกมา ตอนนี้มันมีขนาดเท่ากำปั้นแล้ว ขนของมันก็ยังฟูยิ่งขึ้น และเหนือสิ่งอื่นใดเส้นขนกลางหน้าผากที่เป็นเอกลักษณ์ของมันก็ยังเพิ่มจากหนึ่งเส้นเป็นสามเส้นอีกด้วย
จากที่เคยมีเส้นขนสีเขียวตั้งชี้อยู่เส้นเดียว ตอนนี้มันกลายเป็นมีขนสีเหลืองกับสีน้ำเงินเพิ่มขึ้นมาจากด้านข้างด้วยแล้ว
มันแทบจะดูเหมือนกับนกยูง
ยังไงก็ตามถึงแม้จะมีข่าวดีเข้ามามากมาย แต่ซอลจีฮูก็ไม่ได้มีความสุขเลยสักนิด ความคืนหน้าในเรื่องสำคัญที่เขาต้องแก้ไขอย่างเร่งด่วนมันยังคงเป็นศูนย์
***
ซอลจีฮูได้ทิ้งตัวอยู่ในห้องทำงาน และถอนหายใจอยู่กับตัวเองซ้ำๆ เขากลับมากลางดึกโดยไร้ซึ่งผลลัพธ์ใดๆเช่นเคย
‘ทำยังไงดี?’
เขาได้หยิบเอาบันทึกที่เพิ่งซื้อมาอ่านดู แต่ก็ไม่ได้เจอเรื่องเกี่ยวกับน้ำพุเลย
‘หรือฉันควรจะยอมแพ้?’
เขาเหนื่อยแล้ว
ซอลจีฮูได้โยนบุหรี่ทิ้งลงที่จี้ก้นบุหรี่อีกหนึ่งมวนก่อนจะมองที่โต๊ะทำงาน ดวงตาของเขากำลังจับตามองดูลูกเจี๊ยบที่หลับไหลอย่างเป็นสุข
‘เจ้านี่….’
เขาเข้าใจว่ามันต้องหลับให้มากเพราะมันยังเด็กอยู่ แต่จู่ๆเขาก็รู้สึกโมโหขึ้นมา
“ยังจะหลับได้อีกนะ”
เมื่อเขาบ่นพึมพำอย่างไม่พอใจพร้อมเขย่าร่างมัน ลูกเจี๊ยบก็ลืมตาขึ้นมามอง และสะบัดหัว
“บ้านเกิดของนายกำลังจะถูกทำลาย แต่นายยังหลับได้เต็มอื่มเลยนะ”
“…”
ลูกเจี๊ยบได้จ้องกลับมาที่ซอลจีฮูนิ่งๆก่อนจะถอนหายใจ และเปิดจงอยปาก
“ฉันเข้าใจนะว่านายรู้สึกยังไง แต่อย่าพูดแบบนั้น ฉันก็เป็นห่วงเหมือนกัน”
“จริงๆหรอ?”
“แน่สิ ที่นั่นคือที่ที่ฉันเกิดและเติบโต ทำไมฉันถึงจะไม่ห่วงล่ะ?”
“ถ้างั้นบอกฉันหน่อยสิว่าเราควรจะทำยังไง เราจะข้ามไปที่อาณาจักรภูติยังไง หรืออะไรก็ได้ที่นายรู้”
“มันไม่ใช่ว่าฉันไม่อยากจะบอก แต่ว่า… ฉันไม่รู้จริงๆ ไม่ใช่แค่ว่าฉันออกมาจากที่นั่นตั้งแต่ยังเด็กเท่านั้น แต่ฉันก็ยังไม่เคยสนใจอะไรอีกเลยนอกจากภารกิจ หากฉันรู้ ฉันก็บอกนายไปแล้ว”
ลูกเจี๊ยบได้ร้องออกมาด้วยน้ำเสียงหดหู่
มันพูดถูก
หากมันรู้มันก็คงบอกเขาไปแล้ว มันไม่มีเหตุผลอะไรให้ต้องเก็บซ่อนเอาไว้เลย
ซอลจีฮูได้บ่นออกมาเบาๆ
“ให้ตายสิ อาณาจักรภูติไม่สู้กลับเลยงั้นหรอ? พวกเขาก็มีราชากันนี่ ทำไมพวกเขาถึงได้ตกอับในสภาพแบบนี้…”
“อย่าพูดแบบนั้นเลย นายคิดว่าพวกเขาจะอยู่เฉยหรอในเมื่อมีผู้บุกรุกเข้ามาในดินแดนของพวกเขา?”
“ถ้างั้น?”
“ถึงจะเป็น ‘ราชาภูติ’ แต่สุดท้ายแล้วก็ถือกำเนิดขึ้นจากพลังของเทพ”
ลูกเจี๊ยบอธิบายออกมา
“ในสายตาเทพแล้ว มนุษยชาติกับภูติไม่ต่างกัน การที่ตัวตนสามัญอย่างเราจะไปต่อต้านกับตัวตนอมตะนั่นเป็นเรื่องยาก ดูจากสถานการณ์ของนายก็รู้ได้แล้วว่ามันยากขนาดไหน”
“…”
“เอาเถอะ อย่าได้ยึดติดไปกับอะไรที่หาทางออกไม่ได้ ลองหาวิธีอื่นดูบ้าง แฟรี่ท้องฟ้าคือเผ่าพันธุ์ที่เกิดขึ้นมาเข้าคู่กับภูตินับตั้งแต่เกิด การที่พวกเขายอมแพ้แบบนั้นมันก็จะต้องมีเหตุผลอยู่”
ซอลจีฮูได้ก้มหน้าครุ่นคิดตามคำอธิบายของลูกเจี๊ยบ
เขาก็คิดคล้ายๆกันนี้ ภายในใจของเขพยายามกระตุ้นตัวเองไม่ให้ยอมแพ้ ส่วนสมองกลับตะโกนบอกตัวเองว่ามันช่วยไม่ได้
“แล้วก็ตอนฉันหลับอยู่ก็อย่าปลุกฉัน นายคิดว่าฉันหลับเพราะขี้เกียจงั้นหรอ? มันมีเหตุผลอยู่ ฉันกำลังพยายามย่อยพลังแห่งเทพอยู่อย่างเต็มที่…”
“โอ้ งั้นหรอ? ต้องขอโทษด้วย”
“ถ้ารู้แล้วก็ไม่เป็นไร ฉันขอตัวนอนต่อแล้วกันนะ”
“ได้สิ ถ้างั้นฉันควร…?”
เมื่อเงยหน้าขึ้นเขาก็ตัวแข็งทื่อไป ในที่สุดเขาก็รู้แล้วว่ามันมีอะไรแปลกไป
‘…หืม?’
เขากำลังคุยกับใครอยู่
ซอลจีฮูได้พึมพำกับตัวเอง และก้มหน้าลงไป เขาเห็นลูกเจี๊ยบกำลังเหยียดปีกปิดปากหาวอยู่
ดวงตาเขาเบิกกว้างขึ้น
“นาย-!?”
เมื่อจู่ๆมือของซอลจีฮูรวบเข้ามาทำให้ลูกเจี๊ยบต้องผงะไป
“แกว๊ก!?”
“นายพูดใช่ไหม? นายพูดแล้ว! เมื่อกี้เป็นนายที่พูดออกมาใช่ไหม?”
“แกว๊ก? แกว๊ก?”
“ใช่แล้ว พอมาคิดดู ก่อนหน้านี้ตอนเป็นไข่นายก็เคยพูดเหมือนกัน! ใช่ไหมล่ะ? ใช่ไหม?”
“ให้นายสิ! นี่นายกำลังทำอะไรกัน? อย่าเขย่าฉัน! ฉันกำลังเวียนหัวแล้วนะ!”
“ฉันรู้แล้ว”
ซอลจีฮูได้ตะโกนพร้อมสะบัดมือ ลูกเจี๊ยบได้ร้องออกมาอย่างโมโหพร้อมบิดตัวออกไปจากมือเขา
ในคืนนั้นได้มีเสียงร้องวุ่นวายดังออกมาจากห้องทำงานของซอลจีฮู
***
เช้าวันรุ่งขึ้น
ซอลจีฮูได้เดินขึ้นบันไดไปพร้อมกับลูกเจี๊ยบที่นอนพักอยู่บนหัวเขา เขาคิดว่าจะกินอาหารไปพร้อมคิดเรื่องว่าควรจะทำการค้นหาน้ำพุต่อไป หรือเปลี่ยนไปเป็นสนใจกับการเพิ่มกำลังรบเพื่อเตรียมตัวรับสงครามดี
“โอ้ มาแล้วหรอ?”
แต่กลับมีคนมาถึงก่อนเขาแล้ว ทั้งที่ตอนนี้มันจะเช้ามากก็ตาม
ฟีโซรากำลังนั่งกินมื้อเช้าอยู่บนโต๊ะเพียงลำพัก หลังจากกินจนหมดแล้ว เธอก็เลียริมฝีปากออกมา
“ช่วงนี้เจอหน้านายยากมากเลยนะ ทำไมยุ่งนักล่ะ?”
“คุณก็น่าจะรู้นะ”
“เพราะสหพันธรัฐสินะ?”
“คงงั้นแหละ ฉันจะต้องหาวิธีแก้ แต่ว่า…”
ซอลจีฮูได้ถอนหายใจออกมา และเดินไปที่ห้องครัวหลังจากที่วางลูกเจี๊ยบเอาไว้กับฟีโซราแล้ว
“งั้นก็… โชคดีนะ”
ฟีโซราได้พยักไหล่ก่อนกลับไปสนใจชามอาหารตรงหน้าต่อ
ตอนนั้นเอง
“โอ้ จะกินด้วยงั้นหรอ?”
ฟีโซราได้ชะงักไปเมื่อได้ยินเสียงดังมาจากห้องครัว แต่ภายในโรงอาหารนี้มันไม่มีใครอื่นแล้วนอกเหนือจากพวกเขาสองคน ดังนั้นจึงไม่แปลกเลยที่ฟีโซราจะคิดว่าเขากำลังพูดกับเธอ
“…อะไรล่ะ?”
เมื่อเธอได้หันไปมองด้านข้างอย่างไม่แยแส…
“ถูกแล้วคู่หู”
…ทันใดนั้นเธอก็ได้ยินอีกเสียงดังออกมา มันเป็นเสียงไร้เดียงสาและน่ารักเหมือนเสียงร้องอันขี้เล่น
“เอาเยอะไหมล่ะ?”
“หืม ขอเป็นมื้อใหญ่แล้วกัน”
ลูกเจี๊ยบได้พูดขึ้นอย่างเคร่งขรึมจนแทบจะอวดดี
“…”
ฟีโซราได้หยุดสนใจอาหารตรงหน้าไปแล้ว เธอได้เบิกตาขึ้น และขมวดคิ้วอย่างขัดเจนว่าเธอกำลังสงสัยในสิ่งที่ได้ยินและเห็นนี้ เธอที่พูดไม่ออกได้แต่จ้องลูกเจี๊ยบอย่างไม่อยากจะเชื่อ
ลูกเจี๊ยบที่รู้สึกถึงสายตาของเธอได้หันกลับมามอง จากนั้นก็พูดขึ้น
“มองหาอะไรงั้นหรอ?”
“…”
“นี่ กำลังมองหาอะไร?”
“มะ มันกำลังพูด?”
ฟีโซราได้สำลัก และเริ่มทุบหน้าอกตัวเอง
“มันเติบโตขึ้นน่ะ ฉันเพิ่งได้ให้พลังแห่งเทพจากวิหารกับมันไป เพราะงั้นตอนนี้มันก็เลยพูดได้แล้ว”
เสียงของซอลจีฮูได้ดังออกมาจากห้องครัว หลังจากฟีโซราฝืนกลืนอาหารลงไปได้แล้ว เธอก็หรี่ตาลงก่อนจะพูดออกมา
“อ่า นายบอกว่ามันเป็นภูติสินะ… นายพูดถูก ดูจะมีอะไรเปลี่ยนไปด้วย ขนสามเส้นบนหัวนั่น-”
“นี่ เสียงดังไปแล้วนะ”
ลูกเจี๊ยบได้ขัดเธอขึ้น
“ทำไมพูดมากจังเลยนะ? น่ารำคาญ”
“โอ้”
“‘โอ้’ อะไรอีกล่ะ นั่นมันจะทำให้เธอมีขนงอกขึ้นมางั้นหรอ?”
“โอ้ โอ้ โอ้? ดูมันพูดเข้าสิ ทำไมถึงอวดดีจังนะ?”
“ฮึ่ม น่าเกลียด”
“นายว่ายังไงนะ?”
ดวงตาฟีโซราได้เต็มไปด้วยประกายไฟแทบจะในทันที ไม่มีทางที่ฟีโซรา คนที่ภาคภูมิใจในความงามของตัวเองเมินเฉยคำพูดนี้ไปแน่
“เจ้าลูกเจี๊ยบ!”
แต่ลูกเจี๊ยบไม่ได้ถอยเลย มันได้กางปีกข่มขู่ออกมา
***
“รอก่อนเถอะ! รอให้ถึงวันที่พลังฉันกลับคืนมา เธอจะเป็นคนที่สองที่ถูกจัดการ คนแรกคือเจ้าคนดำนั่น”
ลูกเจี๊ยบได้พูดออกมาพร้อมกัดฟันแน่น
“ให้ตายสิ อะไรทำให้เจ้าพวกเด็กน้อยคิดว่าจะมายุ่งย่ามกับฉันนะ? ไม่ได้แล้ว ฉันจะต้องรีบฟื้นฟูพลังกลับคืนมา อย่างแรกฉันจะต้องบดขยี้หมอนั่น แล้วก็กลืนกินเขาซะ…”
ฟีโซราแทบไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเธอกำลังฟังลูกเจี๊ยบคุยโวอยู่
“ยัยเด็กขี้วีนนี่ก็ด้วย อะไรล่ะ? นี่เธอกำลังจะไปหน่อย? อยากจะเจอกันตอนนี้เลยไหมล่ะ? เข้ามาเลยสิ!”
มันได้ใช้ปลายเท่าเขย่งตัวกระโดดขึ้นมา ปลายปีกเล็กๆของมันได้กระพือขึ้น
“…ฮ่า”
ฟีโซราได้จ้องอยู่นิ่งๆก่อนจะหัวเราะออกมา
“ฉันแค่คิดจะมากินมื้อเช้า แต่นี่กลายเป็นน่าสนใจแล้วสิ”
“มุฟุฟุฟุ~”
“ว้าว หน้าด้านด้วยสิ เหมือนกับเจ้าของเลยนะ..”
ตึง! ฟีโซราได้กระแทกช้อนลง และลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้ เธอได้จ้องมองลูกเจี๊ยบที่ขยับปากยั่วโมโห ก่อนจะหยิบจานเดินก้าวยาวหายไป
ในเวลาเดียวกันซอลจีฮูก็กำลังทำอาหารอยู่ในห้องครัว
“นี่ เจ้านั่นมาจากไหนกัน? ไม่ได้สอนมารยาทให้มันเลยหรอ?”
“ผมก็สงสัยเหมือนกัน คุณฟีโซราไปทำอะไรกับมันล่ะ?”
“ก็ไม่นี่! เพราะมันดูน่ารักเกินไป ฉันก็แค่แกล้งมันเล่นนิดหน่อยในตอนมันหลับเท่านั้นเอง ฉัน-”
“พอเข้าใจแล้ว มันไม่ชอบให้ใครมาปลุกมันในตอนที่หลับอยู่ เพราะคุณไปแกล้งมันแบบนั้น… คุรไปทำแบบนั้นกี่ครั้งกันล่ะถึงได้ทำให้มันมีพฤติกรรมแบบนี้?”
ซอลจีฮูได้ตอบกลับอย่างสงบพร้อมพลิกด้านไข่ที่กำลังทอดอยู่
ฟีโซราได้เงยหน้าครุ่นคิดกับตัวเอง หนึ่ง สอง สาม สี่… พอนับถึงสิบ เธอก็หยุดนับไปแล้ว จากนั้นก็กระแอ่มขึ้นมาด้วยความรู้สึกผิด และเปลี่ยนเรื่องไป
“โอ้จริงสิ ฉันได้ยินมาว่านายซื้อของจากร้าน VIP มา”
“ใช่แล้ว”
“นายมีอะไรจะขายให้ฉันไหม? ฉันไม่ได้ขอฟรีๆหรอกนะ แต่ว่าแค่ช่วยให้ส่วนลดสำหรับสมาชิกหน่อยแล้วกัน”
“ของที่เธอซื้อได้งั้นหรอ…”
ซอลจีฮูเอียงหัวออกมา
เขาได้ให้ตราโลหะไมย่าไปกับอึนยูริ มอบอนุสรณ์มอไรให้ซอยูฮุย และยังต้องเก็บเมล็ดพันธุ์ต้นไม้โลกกับหญ้ากกอฟิโซ่ไว้
‘ที่ฉันเหลือตอนนี้ก็มีแค่รองเท้าเหินฟ้านิวม่า กับ…?’
ซอลจีฮูได้ตัวแข็งทื่อไปกับที่ จู่ๆเขาก็นึกบางอย่างขึ้นได้ พูดให้ชัดคือคำอธิบายของสิ่งที่เขาเคยอ่านผ่านตาในเขตพื้นที่เป็นกลาง
“หืม?”
ฟีโซราจ้องซอลจีฮูที่ตัวแข็งทื่อด้วยสายตาแปลกๆ
“…คุณฟีโซรา”
“ว่าไง”
“ขอบคุณมาก”
“อะไรนะ?”
ซอลจีฮูได้ขอบคุณเธออย่างกระทันหัน ก่อนจะทิ้งกระทะที่กำลังถืออยู่ เขาได้หมุนตัววิ่งออกไปจากห้องครัว
“เฮ้ เฮ้ ไข่กำลังจะไหม้แล้วนะ”
“แล้วอาหารฉันล่ะ?”
เสียงตะโกนของฟีโซราได้ดังออกมาพร้อมกับเสียงตะโกนของลูกเจี๊ยบ
ยังไงก็ตาม ซอลจีฮูไม่ได้หยุด เขาได้วิ่งลงบันไดไปก่อนจะเตะประตูห้องทำงาน และค้นกระเป๋าที่วางเอาไว้อย่างบ้าคลั่ง
‘มีอยู่แน่ๆ…’
เขาได้หยิบเอาหินรูปจันทร์เสี้ยวออกมา มันเป็นหนึ่งในของที่ได้มาจากเขตพื้นที่เป็นกลาง
เขาได้พยายามสงบใจก่อนใช้งานการสังเกตทั่วไป
…
[กลุ่มดาวนักบุญไซดัส]
เศษเสี้ยวพลังเทพของไซดัส เทพแห่งดวงดาว ถึงจะใช้ได้เพียงครั้งเดียว แต่มันสามารถวิเคราะห์ดวงดาวที่หมุนโคจรอยู่ในอวกาศ และบอกได้ว่ากลุ่มดาวควรจะใช้เส้นทางใด
ยังไงก็ตามผู้ใช้งานว่าเส้นทางนั่นคืออะไร ไม่รู้ถึงช่วงเวลา หรือขั้นตอนนี้จะถูกหรือผิด
…
ซอลจีฮูได้ค่อยๆอ่านคำอธิบายซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เหตุผลที่เขาไม่ได้นึกถึงมันตั้งแต่แรกก็เพราะคำอธิบายมันเข้าใจยากเกินไป
หรือก็คือเขาไม่มั่นใจ มันไม่มีอะไรรับประกันว่ามันจะบอกวิธีไปอาณาจักรภูติ ต่อให้มันจะมีโอกาสบอกถึงวิธีไปอาณาจักรภูติ แต่เขาก็ไม่มั่นใจว่าเส้นทางมันจะถูก
ยังไงก็ตามเขาไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว
เขาได้จับกลุ่มดาวนักบุญไซดัสเอาไว้แน่นด้วยหัวใจหดหู่ จากนั้นก็ค่อยๆส่งพลังมานาเข้าไป
วูม!
เสียงสนั่นได้ดังออกมา พร้อมกับแรงสั่นสะเทือนรุนแรงที่มือเขา ยังไงก็ตามอาการกระตุกมันเกิดครู่เดียวเท่านั้น หินได้เริ่มเปล่งประกายแสงสีน้ำเงินออกมา และเริ่มดึงซอลจีฮูไปในทางหนึ่ง มันให้ความรู้สึกเหมือนกับว่ามีมืออ่อนนุ่มกำลังจูงมือเขา กระตุ้นให้เขารีบตามไป
‘อ๊ะ…’
ซอลจีฮูถูกกลุ่มดาวนักบุญไซดัสนำทางเดินลงบันไดไปที่ทางเข้า เดินจากสำนักงานผ่านตัวเมือง และในที่สุดก็ผ่านเมืองออกไปจากถนนเส้นหลัก
น่าแปลกที่ปลายทางของถนนเป็นพระราชวังอีวา
ซอลจีฮูได้กลืนน้ำลายลงด้วยความแปลกใจก่อนที่กลุ่มดาวนักบุญไซดัสจะนำทางเข้าไปยังพื้นที่ราชวงศ์
แม้ว่าจะมีหลายคนเหลือบมองเขา แต่ก็ไม่มีคนมาขวางไว้ กลับกันพวกเขาต่างพยักหน้าให้อย่างสุภาพ ส่วนหนึ่งก็เพราะด้วยสถานะของซอลจีฮู แต่ที่มากกว่านั้นก็คือชาล็อต อาเรียได้ออกคำสั่งไปแล้วว่าห้ามขัดขวางการมาเยือนของซอลจีฮู
เพราะแบบนี้ทำให้ซอลจีฮูเดินเข้ามาในพื้นที่นี้ได้โดยไร้ปัญหา
และหลังจากนั้นไม่นาน
‘มันจะพาฉันไปที่ไหนกัน?’
ซอลจีฮูรู้สึกได้ว่าการดึงค่อยๆอ่อนลงเมื่อเขาเดินผ่านค่ายทหารไป ในเวลาเดียวกันความรู้สึกนี้ก็ได้หายไปอย่างสิ้นเชิง กลุ่มดาวนักบุญไซดัสในมือเขาได้สลายกลายเป็นฝุ่นไป
เขาได้หยุดเท้าลง หลังจากกำแบมืออยู่หลายครั้ง เขาก็เงยหน้าขึ้น
เมื่อเห็นอาคารตรงหน้า เขาก็เบิกตาขึ้นทันที มันคือสถานที่ที่เขาเคยมาก่อนแล้วครั้งหนึ่ง มันคือที่ที่อยู่ห่างไกลจากวัง
‘นี่มัน…’
เบื้องหน้าเขาเป็นอาคารชำรุดทรุดโทรมทำไม่ว่าใครมองก็จะรู้สึกหดหู่
มันก็คือคุกที่อยู่ในพื้นที่ของราชวงศ์อีวา