บทที่ 305 - แนวทาง (2)

The Second Coming of Gluttony

บทที่ 305 – แนวทาง (2)

กลุ่มดาวนักบุญไซดัสได้นำซอลจีฮูมาที่คุกของราชวงศ์อีวา

เขาไม่รู้ว่าทำไมมันถึงพาเขามาที่นี่ แต่เขาก็ตัดสินใจว่าจะลองเข้าไปดูก่อน

เมื่อเขาเปิดประตูเข้าไป เขาก็ได้เจอกับผู้ที่เหมือนจะเป็นผู้คุมเรือนจำ เขากำลังมองตรงมาที่ซอลจีฮูอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะลุกขึ้นยืน

“โอ้! ตัวแทนของวัลฮาลามาทำอะไรในสถานที่อันต่ำต้อยเช่นนี้…”

ระหว่างที่ซอลจีฮูกำลังคิดว่าต้องตอบกลับไปอย่างไรดีนี้เอง ผู้คุมก็พูดต่อขึ้นมา

“อ่อ มาด้วยกันสินะครับ?”

“…อะไรนะครับ?”

“ก่อนหน้านี้ก็มีแขกมาเหมือนกัน ถ้าคุณต้องการผมพาคุณไปหาเธอได้นะ”

ซอลจีฮูได้พยักหน้าโดยไม่คิดเลย ผู้คุมคงจะเข้าใจผิด แต่มันก็ดูเหมือนว่ามีคนมาที่คุกก่อนหน้าเขา ใครบางคนที่สนิทกับเขาด้วย

“เชิญทางนี้ครับ”

ซอลจีฮูได้เดินตามหลังผู้คุมที่เดินนำทางไป

ภายในคุกดูดีจนน่าประหลาดใจ ซอลจีฮูคิดว่าจะเป็นห้องขังที่มืดมน และอับชื้นซะอีก แต่ที่นี่ค่อนข้างจะน่าอยู่เลยทีเดียว

แต่ว่าเมื่อเขาได้ลงมาชั้นที่ 2 ของชั้นใต้ดิน ภาพรอบตัวก็ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง ทุกๆอย่างรอบตัวได้ปกคลุมไปด้วยความมืดสนิท

บรรยากาศอันอับชื้นและน่าอึดอัด กำแพงถูกปกคลุมไปด้วยรา ถึงแม้ว่าซอลจีฮูจะมองทางได้อย่างปกติด้วยผลของฟินิกซ์วายุทองคำ แต่หากคนธรรมดาเข้ามาก็ต้องพึ่งคบเพลิงในการเดินในความมืดนี้

“น่าขนลุกใช่ไหมล่ะครับ?”

ผู้คุมได้หัวเราะพร้อมเดินต่อไป

“ผู้คุมส่วนใหญ่ต่างก็เลี่ยงที่จะลงมาชั้นที่ 2 ของชั้นใต้ดินนี่ มันให้ความรู้สึกเหมือนจะมีอะไรพุ่งเข้าใส่เลย”

ใช่แล้ว มันไม่แปลกเลยหากมีคนเป็นบ้าเพราะถูกขังอยู่ในที่มืดๆ และแปลกแยกแบบนี้เป็นเวลานาน

ซอลจีฮูได้ถามออกมาพร้อมพยักหน้า

“ที่ชั้นที่ 2 นี้เป็นคุกพิเศษหรอครับ?”

“ครับ นักโทษจะอยู่ที่ไหนมันขึ้นอยู่กับความผิดที่กระทำลงไป คนที่ใกล้จะออกไปในไม่นานจะอยู่ที่ชั้นบน และคนที่มีความผิดหนักพอสมควรก็จะอยู่ที่ชั้น 1 ของชั้นใต้ดิน พูดตามตรงแล้วมันค่อนข้างยากเลยที่จะมีคนถูกส่งลงมาที่ชั้นที่ 2 นี้”

ผู้คุมได้กระแอ่มก่อนพูดต่อ

“ส่วนใหญ่คนที่มาที่นี่จะต้องเป็นคนที่สร้างความผิดต่อทั้งชาวพาราไดซ์ และชาวโลกจนไม่อาจอภัยได้ หรือไม่ก็คนที่ไม่ควรจะมีอิสระอยู่ในโลกภายนอก พวกเขาส่วนใหญ่แล้วต่างก็เป็นคนที่ถูกประกาศจับกัน”

“เมื่อมาลงเอยที่นี่แล้วก็คงจะออกไปค่อนข้างยากมากสินะ”

“ครับ แต่ก็ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้ หากว่าตายก็ออกไปได้ มีแค่เป็นวิญญาณเท่านั้นแหละครับ”

ซอลจีฮูได้หัวเราะออกมากับมุกนี้

“อ่อ เธออยู่ตรงนั้นครับ”

ในที่สุดพวกเขาก็ได้มาถึงที่หมาย ซอลจีฮูได้เห็นแผ่นหลังที่คุ้นเคยตรงนั้น ถึงแม้ว่าโถงทางเดินจะมืด แต่แค่เห็นผมหางม้ากับเครื่องแบบพนักงาน ซอลจีฮูก็บอกได้เลยว่าเธอคือใคร

‘ทำไมคิมฮันนาห์อยู่ที่นี่ล่ะ?’

คำถามนี้ได้เข้ามาในหัวของเขา แต่เขาก็ต้องชะงักไป

“ขอบคุณครับ เดี๋ยวผมไปต่อเอง”

“ได้ครับ ผมจะเปิดประตูเอาไว้จนกว่าคุณจะขึ้นมานะ”

ผู้คุมได้พยักหน้าอย่างสุภาพก่อนจะเดินจากไป ซแลจีฮูได้แอบเดินไปอีกด้านหนึ่งเงียบๆ

คิมฮันนาห์ดูแปลกอยู่เล็กน้อย เธอกำลังยืนอยู่หน้าห้องขังที่ปิดสนิทโดยไม่ขยับเลยสักนิด เธอคงจะจดจ่อมาจนไม่ได้สังเกตเห็นเลยว่าซอลจีฮูเดินเข้ามาข้างหลังเธอ

หลังจากลองชั่งน้ำหนักตัวเลือกดูแล้ว…

“โย่!”

ซอลจีฮูได้ตะโกนออกมาพร้อมจิ้มหลังคิมฮันนาห์

น่าแปลกที่คิมฮันนาห์ไม่ได้ส่งเสียงร้องหรือกรีดร้องออกมาเลย ดูจากที่เธอสะดุ้งและปล่อยเสียงหอบเบาๆออกมาแล้ว เธอตกใจอย่างแน่นอน

ซอลจีฮูที่ผิดหวังกับท่าทีนี้ของเธอได้แต่ถามออกมา

“มาทำอะไรที่นี่งั้นหรอ?”

หัวของคิมฮันนาห์ค่อยๆหันกลับมาโดยไร้คำพูด บางทีอาจจะเพราะแสงไฟที่ส่องมาไม่ถึงทำให้ใบหน้าเธอดูจะซีดอีกด้วย

“นะ… นาย…”

น้ำเสียงคิมฮันนาห์ผสมอยู่ระหว่างความตกใจกับความโกรธ ก่อนที่เธอจะถอนหายใจยาวออกมา

“ฟู่ว เกือบหัวใจวายตายแล้วไหมล่ะ ฉันควรจะถามนายมากกว่านะว่านายมาทำอะไรที่นี่?”

“ฉันมีเรื่องต้องทำน่ะ”

“เรื่องต้องทำ?”

“ใช่ แล้วเธอล่ะมาทำอะไรที่นี่?”

เมื่อพูดจบซอลจีฮูก็เดินเข้าไปใกล้ประตูขึ้นสนิม

“เฮ้ๆ”

คิมฮันนาห์ได้เข้ามาหยุดเขาไว้ แต่ซอลจีฮูก็แอบมองเข้าไปในกรงขังผ่านช่องว่างให้อาหารแล้ว

“…เอ๊ะ”

เขาขมวดคิ้วขึ้นทันที เหตุผลแรกก็คือมีกลิ่นเหม็นหึ่งหลายประเภทโชยออกมาจากภายใน เหตุผลที่สองก็คือเขามองเห็นแต่สีดำกับสีแดง

ในตอนนั้นเองสีแดงดำนี้ก็กระพริบออกมา ซอลจีฮูที่พึ่งรู้ว่ามันคือดวงตาสีแดงก่ำได้ผงะถอยไปอย่างตกใจ

“ช่วยด้วย!”

เสียงตะโกนได้ดังออกมาจากภายใน

“ช่วยด้วย ช่วยฉันด้วย! ปล่อยฉันออกไปที! ฉันผิดไปแล้ว ปล่อยฉันไปเถอะนะ…”

น้ำเสียงที่ปนเปทั้งความสิ้นหวังและเสียงสะอื้นได้ดังออกมา จนทำให้ซอลจีฮูได้แต่มองประตูด้วยความสับสน…

“อ่า ชิ…”

คิมฮันนาห์ได้ยกมือขึ้นกดหน้าผากอย่างไม่พอใจ ท่าทีของเธอเหมือนกับคนที่กำลังอายที่ความลับถูกเปิดเผย

หลังจากเงียบอยู่สักพัก คิมฮันนาห์ก็บ่นขึ้น

“…ฉันกำลังสนุกกับงานอดิเรกอยู่”

“?”

“อย่าพูดอะไรเชียวนะ ฉันบอกนายไปแล้ว แถมยังขออนุญาตแล้วด้วย”

“ขออนุญาต?”

“จองซูไง”

[จองซูน่ะ ให้ฉันจัดการเองได้ไหม?]

[ฉันจะทำให้เธอโชกเลือดเลย]

‘อ่อ’

ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าทำไมคิมฮันนาห์มาที่นี่ มาทำอะไร และใครที่ถูกขังไว้อยู่

นั่นก็คืออดีตตัวแทนอีวาเกลีน จองซู

ซอลจีฮูรู้ว่าเธอถูกขังอยู่ เขาก็แค่ไม่รู้ว่าเธอถูกขังอยู่ที่ชั้น 2 ของชั้นใต้ดินเท่านั้นเอง เมื่อสงบใจลงแล้ว เขาก็มองที่ประตูอีกครั้งหนึ่ง

“ช่วยฉันด้วย… ปล่อยฉันไปเถอะ…”

“…”

พูดตามตรงเธอดูไม่เหมือนจองซูเลย นี่อาจจะแค่เพราะเขาได้เห็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของเธอ แต่จากท่าทีที่เกาะประตูและพึมพำไม่หยุดนี้มันแปลกจากเธอตามปกติ

“ว้าว เธอต้องถูกทรมานขนาดไหนกันนะ?”

“ฉันไม่เคยทรมานเธอเลย”

คิมฮันนาห์ได้ตอบอย่างเรียบนิ่ง

“ฉันไม่ได้แตะตัวเธอเลยด้วยซ้ำ มันก็แค่…”

เธอได้ลังเลอยู่นานก่อนที่จะพูดความจริงออกมาในท้ายที่สุด

“ฉันแค่เปลี่ยนสภาพห้องขังนิดเดียวเท่านั้นเอง”

“สภาพห้องขัง?”

ซอลจีฮูได้มองผ่านจองซูที่กำลังร้องอ้อนวอน และสำรวจดูห้องขัง เขากลายเป็นพูดไม่ออกทันที

เขาก็สงสัยอยู่ว่าทำไมกลิ่นมันแย่นัก พื้นห้องขังได้เปียกชื้นไปด้วยน้ำเสีย และภายในน้ำสกปรกนั่นก็เต็มไปด้วยของเสีย และเศษขยะทุกประเภท

เขาไม่เห็นอะไรนอกจากนั้นอีกเลย ไม่มีแม้กระทั่งเตียง

‘นี่คือที่มาของกลิ่นเหม็นสินะ…’

แค่จินตนาการถึงการต้องกินและนอนในห้องขังที่มีสภาพแบบนี้ก็ทำให้เขาแทบจะอาเจียนแล้ว

“แล้วนายมาทำไมล่ะ? มีธุระกับเธองั้นหรอ?”

จากคำถามนี้ได้ทำให้ซอลจีฮูหายสับสน ทำไมกลุ่มดาวนักบุญไซดัสถึงได้นำทางเขามาหาจองซูล่ะ? เธอรู้อะไรงั้นหรอ?

“ฉันยอมบอกทุกอย่างแล้ว… ฉันจะไม่เข้ามาในพาราไดซ์อีก… ใช่แล้ว! คุณฆ่าฉันได้เลย!”

ซอลจีฮูได้เริ่มจ้องจองซูอย่างไม่พอใจ พูดตามตรงเขาไม่ได้หวังว่าจะรู้อะไรจากเธอเลย ถึงเธอจะเป็นตัวแทนองค์กร แต่ในฐานะชาวโลกแล้วเธอไม่มีความสามารถอะไรเลยนอกจากนักฉวยโอกาส

แต่ก็นั่นแหละ

‘เดี๋ยวก่อนนะ’

ทันใดนั้นชื่อหนึ่งก็ได้เข้ามาในหัวของเขา อีวาเกลีน โรส ผู้ก่อตั้งองค์กร และตัวแทนขององค์กรที่ตอนนี้ถูกยุบไปแล้ว

จองซูได้แค่ฉวยโอกาสเข้ามาแทรกตำแหน่งนั้นเท่านั้น แต่อีวาเกลีน โรสต่างออกไป แม้ว่าวิธีการของเธอจะแปลกๆ แต่ซอลจีฮูก็ได้ยินมาหลายครั้งว่าเธอก็เป็นชาวโลกที่ทำเพื่อพาราไดซ์อย่างแท้จริง

ถ้าแบบนี้มันก็ต่างไปแล้ว หลังจากการตายของอีวาเกลีน โรส จองซูได้เข้ามาแทรกตำแหน่งตัวแทนที่ว่างอยู่ได้สำเร็จ นั่นมันหมายความว่าก่อนอีวาเกลีน โรสจะตายไป จองซูก็น่าจะมีอำนาจภายในองค์กรที่มากพอควรเช่นกัน

มันไม่มีทางเลยที่สมาชิกระดับล่างสุดจะขึ้นมาในตำแหน่งสูงสุดได้อย่างราบรื่น ต่อให้จะมีชาล็อต อาเรียให้การสนับสนุน แต่อย่างน้อยที่สุดมันก็เป็นไปได้ว่าจองซูเคยมีตำแหน่งหัวหน้าทีมมาก่อน

หรือก็คือจองซูก็น่าจะได้เฝ้าดูอีวาเกลีน โรส ในระยะใกล้ชิด

‘ผู้พิทักษ์อีวาสินะ…”

ลองคิดดูแล้วมันไม่ใช่แค่ครั้งสองครั้งอีกด้วย ไม่ว่าเขาจะชอบหรือไม่ก็ตาม แต่หลังจากซอลจีฮูย้ายมาที่อีวา สิ่งที่ซอลจีฮูกำลังทำต่างก็เกี่ยวพันกับสิ่งที่อีวาเกลีน โรสพยายามทำทั้งนั้น มันเหมือนกับว่าอย่างในตอนเขาจัดการพันธมิตรอีวา หรือรับอึนยูริเข้าองค์กร

เพราะงั้นแล้วอย่างน้อยที่สุดมันก็มีโอกาสที่เรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกับอีวาเกลีน โรสเช่นเดียวกัน

ถึงจะแค่เล็กน้อย แต่มันก็มีโอกาสอยู่

ซอลจีฮูได้พูดขึ้นหลังจากทบทวนถึงคำถามที่เขาอยากจะรู้คำถามมานานแล้ว

“ผมมีเรื่องอยากจะถาม”

“ค่ะๆ!”

จองซูได้รีบพยักหน้ารัว เธอดูเหมือนจะพร้อมตอบทุกๆอย่าง

“ตามตรงเลยนะครับ คุณรู้เหตุผลที่ว่าทำไมอีวาเกลีน โรสเข้าร่วมงานจัดเลี้ยงไหม?”

“งานจัดเลี้ยง…?”

ใบหน้าจองซูได้บิดเบี้ยวไป

“ฉะ ฉันไม่มีเบาะแสเลย ฉันคิดว่าไม่มีใครรู้ด้วยเหมือนกัน อีวาเกลีน โรสมักจะทำอะไรด้วยตัวเองอยู่เสมอ…”

เรื่องนี้เธอไม่ได้พูดผิดเลย

[พี่สาวมีนิสัยแบบนี้ พี่ไม่เชื่อใจใครง่ายๆ และพยายามทำทุกอย่างด้วยตัวเอง]

น้องสาวอีวาเกลีน โรสก็เคยพูดถึงเรื่องนี้ไว้ด้วยเช่นกัน

[พี่เป็นคนที่โดดเด่นมาก แต่ว่าพูดตามตรง ฉันก็ไม่ได้ชอบพี่มากขนาดนั้น]

[อีวาเกลีน โรสเป็นชาวโลกที่มีหลักการ และยังมีความสามารถในการบรรลุเป้าหมายด้วยตัวเอง]

[แต่ว่าเธอ… จะพูดว่ายังไงดีล่ะ….]

[เธอไม่ได้คาดหวังอะไรเลย แทนที่จะฝากฝังคนอื่น เธอจะจัดการมันด้วยตัวเอง เธอเป็นแบบนั้นเสมอ]

ซอกกูนีร์ก็ยังพูดทำนองเดียวกัน

เพราะงั้นแล้วซอลจีฮูจึงต้องขยายขอบเขตคำถามให้กว้างขึ้นอีก

“ช่วยบอกถึงข้อสังเกตหรือการคาดเดาของคุณหน่อย ถึงจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับเหตุผลการเข้าร่วมงานจัดเลี้ยงก็ตาม แต่แค่เกี่ยวข้องกับตัวเธอก็พอแล้ว”

“ฉันไม่รู้ ฉันไม่รู้อะไรเลยจริงๆ… อะไรก็ได้ที่เกี่ยวข้อง อะไรก็ได้…”

ซอลจีฮูรู้สึกถึงความกังวลในน้ำเสียงเธอได้เลย จองซูได้ทำหน้าบึ้งออกมา เธอได้พยายามเค้นสมองคิดออกมา มันดูเหมือนเธอจะอยากออกไปจากที่นี่จริงๆ

แต่ไม่ว่าจะรอนานแค่ไหน เขาก็ไม่ได้เบาะแสที่ต้องการเลย ดูเหมือนจองซูจะไม่ได้ซ่อนอะไรเอาไว้อีกด้วย

‘…บางทีฉันอาจจะเดาผิดไป’

ขณะที่ซอลจีฮูกำลังจะหันหน้าไปหาเบาะแสอื่นอย่างผิดหวัง จู่ๆดวงตาจองซูก็เบิกกว้างขึ้น

“นะ นักเวทย์!”

เธอได้ตะโกนออกมาราวกับคว้าฟางเส้นสุดท้ายที่กำลังหายไปเอาไว้ได้

ซอลจีฮูได้หยุดนิ่ง

“นักเวทย์?”

“ชะ ใช่แล้ว! นักเวทย์! อดัม กาเลฟ! เขาเป็นคนที่หยุดไม่ใช่อีวาเกลีน โรสเข้าร่วมงานจัดเลี้ยง!”

“อดัม กาเลฟ…”

คิมฮันนาห์ที่มองดูเงียบๆอยู่นานได้เสริมขึ้นมา

“เขาเคยอยู่ในองค์กรอีวาเกลีนมาก่อน เหมือนจะเป็นสมาชิกกิตติมศักดิ์มากกว่าสมาชิกปกติ”

“เคยได้ยินชื่อเขาด้วยหรอ?”

“ใช่ แต่วันหนึ่งเขาก็ออกไปจากอีวาเกลีนโดยไร้เหตุผล มันนานแล้ว ก่อนที่งานจัดเลี้ยงครั้งล่าสุดจะเปิดซะอีก เพราะงั้นในแง่เวลาแล้วมันจึงไม่ตรงกัน…”

ซอลจีฮูได้เหลือบมองจองซูที่ยังคงเกาะประตูเอาไว้

“ไม่ ไม่ใช่แบบนั้น!”

จองซูได้รีบตะโกนออกมา

“เขากับอีวาเกลีน โรสแยกทางกันก็จริง แต่ว่าพวกเขาก็ยังไม่ได้ตัดขาดกันถึงขนาดนั้น! พวกเขายังคงติดต่อกันผ่านจดหมายอยู่! อีวาเกลีน โรสอาจจะไม่ได้ตอบกลับไป แต่ฉันรู้ว่าเธอได้รับจัดหมายมา! ฉันได้เห็นด้วยตาตัวเอง!”

“หืม จดหมายงั้นหรอ?”

“ฉะ ฉันก็จำไม่ค่อยได้… มันเป็นเกี่ยวกับงานจัดเลี้ยงไม่ได้ผล… พวกเขาควรจะร่วมมือกัน… เขาบอกว่าวิธีของเขามันถูกต้อง แต่ฉันก็ไม่มั่นใจว่าเขากำลังสื่อถึงอะไร…”

จองซูได้พูดตะกุกตะกักออกมา แต่ซอลจีฮูก็ตาเป็นประกายแล้ว

‘วิธี’

[ด้วยสภาพของการปกครองในตอนนั้น ผมก็โทษเธอไม่ได้จริงๆ แต่ว่าผมคิดว่าเธอทำพลาดที่แยกทางกับนักเวทย์คนนั้นแค่เพราะไม่เห็นด้วยกับเขา]

พอมาคิดดูแล้วซอกกูนีร์ก็เคยพูดอะไรแบบนี้เหมือนกัน

ในที่สุดซอลจีฮูก็เจอเบาะแสแล้ว เขาจะต้องขุดลงลึกไปให้มั่นใจ

“จดหมาย…”

“ค่ะๆ คุณบอกว่าอะไรก็ได้ใช่ไหม?”

เมื่อซอลจีฮูแสดงความสนใจออกมา จองซูก็ดูจะโล่งใจ เธอได้ถอนหายใจยาว และกลับมาสงบใจลงเล็กน้อย

“ผมขอข้อมูลเพิ่มหน่อย เกี่ยวกับจดหมายน่ะ”

“อ่า… อืม…”

จองซูได้แสร้งทำเป็นสับสนก่อนจะพูดออกมาอย่างเด็ดขาด

“หากว่าคุณปล่อยฉันออกไป…”

สีหน้าซอลจีฮูได้เปลี่ยนแปลงไป

“มะ ไม่ใช่นะ ฉันจำไม่ได้จริงๆ! เพราะงั้นหากปล่อยฉันออกไป-”

จองซูได้ลุกลี้ลุกลนออกมา แต่ว่าซอลจีฮูก็หันหน้าไปแล้ว เขาไม่มีแรงมามาเสียเวลาเล่นกับจองซู ในเมื่อมีผู้เชี่ยวขาญอยู่แล้ว เขาก็ปล่อยให้เธอเป็นคนจัดการคงจะดีที่สุด

“คิมฮันนาห์”

บางทีเมื่อตัดสินได้ว่าที่นี่ไม่ใช่ที่ลับอีกแล้ว คิมฮันนาห์จึงเปลี่ยนท่าทาง

“เมื่อกี้เธอได้ยินที่ฉันพูดแล้วใช่ไหม?”

“ค่ะตัวแทน”

“แม้แต่รายละเอียดเล็กน้อยก็สำคัญ หาข้อมูลทุกๆอย่างที่เธอรู้เกี่ยวกับอีวาเกลีน โรสมาให้ได้”

สีหน้าจองซูได้บิดเบี้ยวไปจนเห็นได้ชัดเจน

“เธอทำได้ใช่ไหม?”

“แน่นอนค่ะ แต่ว่า-”

“ไม่ต้องห่วง ฉันกำลังจะไปแล้ว”

เมื่อได้ยินแบบนี้คิมฮันนาห์ก็เงียบลง มันดูเหมือนว่าเธอไม่อยากจะให้คนอื่นเห็นงานอดิเรกของเธอ

ซอลจีฮูหันหน้าไป

“ดะ เดี๋ยวก่อน! ฉันจะพูดๆ อย่าไปเลยนะ! อย่าทิ้งฉันไว้กับคนๆนี้!!”

จองซูได้ตะโกนออกมาสุดเสียง แต่ซอลจีฮูไม่ได้ลังเลใจเลย

***

กว่าคิมฮันนาห์จะกลับมาก็ดึกมาแล้ว ซอลจีฮูคิดว่าเธออาจจะใช้เวลาอยู่หลายวัน แต่เธอกลับมาเร็วกว่าที่เขาคิดไว้

เธอบอกว่าเธอน่าจะได้กลับมาเร็วกว่านี้อีก แต่มีเรื่องบางอย่างที่ต้องตรวจสอบก่อน

“นี่คือของส่วนตัวจากอีวาเกลีน โรส ความหลงใหลในการสวมบทบาทของจองซูเป็นประโยชน์แล้วล่ะ”

คิมฮันนาห์พูดขึ้นพร้อมวางกระเป๋าในมือลงบนโต๊ะ

ซอลจีฮูเหลือบมองดู

“สวมบทบาท?”

“ค่ะ เธอคงคิดว่าเธอต้องรู้จักอีวาเกลีน โรสให้ดีหากว่าเธอต้องการจะเล่นเป็นคนๆนั้น นี่คือเหตุผลที่เธอเก็บของส่วนตัวทุกอย่างของอีวาเกลีน โรสเอาไว้ด้วยข้ออ้างทางหน้าที่”

“ของพวกนี้ถูกเก็บไว้ที่ไหนงั้นหรอ?”

“ในคลังของวิหาร อ่อ เธอยังมีทรัพย์สินส่วนตัวซ่อนเอาไว้ด้วย เพราะงั้นฉันก็เลยยึดเอามาเพิ่มเป็นเงินทุกของวัลฮาลา”

คิมฮันนาห์ยิ้มหวานออกมาโดยบอกว่าเธอเอาของทุกๆอย่างในคลังของวิหารมาจากจองซูเพื่อแลกกับการปล่อยเธอไป

ซอลจีฮูรู้สึกระหลาดใจ เขาสั่งให้เธอขุดข้อมูลทุกๆอย่างมาให้หมด และคิมฮันนาห์ก็ทำอย่างนั้น

“จองซูอยู่ไหนหรอ?”

“ฉันส่งเธอไปแล้ว นี่คือสัญญา แต่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นที่โลกก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับฉันอีก”

คิมฮันนาห์ได้แสดงความเห็นในแนวชี้นำออกมาก่อนที่จะค้นในกระเป๋า ซอลจีฮูได้ตีความว่า ‘ส่งเธอไป’ เป็นการส่งไปหลังความตายมากกว่ากลับบ้าน

“อย่างแรกคือเสื้อผ้าชุดชั้นในที่อีวาเกลีน โรสใส่ในระหว่างที่ยังมีชีวิตอยู่ เสื้อคลุมเธอก็ด้วยเช่นกัน”

คิมฮันนาห์พูดพร้อมหยิบเอาชุดหลายตัวออกมา

“อย่าล้อเล่น”

“ฉันไม่ได้ล้อเล่นค่ะ คุณบอกว่าให้ฉันหยิบทุกๆอย่างมานี่คะ? บอกก่อนเลยนะคะว่าสำหรับนักธนูแล้วสามารถที่จะได้เบาะแสมากมายจากแค่เครื่องแต่งกาย”

“…งั้นหรอ?”

หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง ซอลจีฮูก็พยักหน้าด้วยความคิดว่ามันถูกแล้ว

“เรียกอายาเสะ คาซุกิมาที่นี่ ด้วยความสามารถของเขาน่าจะบอกอะไรกับเราได้ แล้วก็-”

หลังจากพูดอย่างสงบ คิมฮันนาห์ก็หลบตาออกไป

“ฉันคิดว่ามีคนน่าจะชอบ”

“นี่เธอคิดว่าฉันเป็นโรคจิตงั้นหรอ? ฉันไม่ได้ชอบการขโมยเสื้อผ้าคนอื่นมานะ”

คิมฮันนาห์ได้จ้องซอลจีฮูเขม็ง แม้ว่าเธอจะมีหลายอย่างที่อยากจะพูด แต่สุดท้ายก็ส่ายหัวออกมา

“ยังไงก็ตามมีของต่างๆอยู่มากมาย… แต่ว่าคุณควรจะดูนี่ก่อน”

คิมฮันนาห์ได้วางมือลงบนโต๊ะ มีกระดาษถูกพับเรียบร้อยถูกวางลงอยู่สามแผ่น

“นี่คือจดหมายที่จองซูพูดถึง”

จดหมายที่อดัม กาเลฟส่งมาให้อีวาเกลีน โรส

ใช่แล้ว นี่แหละที่ซอลจีฮูต้องการ เขารอมันมานานแล้ว

ซอลจีฮูรีบเริ่มอ่านมันทันที

-ถึงอีวาเกลีน โรสที่รักของฉัน

ฉันได้คิดเรื่องต่างๆมากมายก่อนที่จะหยิบปากกาขึ้นมา แต่ถึงแบบนั้นฉันก็มีปัญหาในการเขียนองสามคำแรก เหตุผลที่ฉันเขียนจดหมายฉบับนี้ก็เพราะหวังว่าเธอจะเปลี่ยนใจ หรือบางทีเธออาจจะเปลี่ยนใจแล้ว

ฉันรู้ว่าเธอห่วงในพาราไดซ์ และสิ่งที่เธอพยายามจะทำให้สำเร็จในอีวา ฉันก็เหมือนกัน ถึงแม้ว่าความเห็นเราจะไม่ตรงกัน และต้องแยกทางกัน แต่ฉันเชื่อว่าเป้าหมายสูงสุดของเราก็ยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป

ฉันอยากจะคุยกับเธออีกนะ

ฉันยังรอเธออยู่

จาก กาเลฟ

-ฉันได้รับจดหมายแล้วนะ ฉันเข้าใจว่าเธอจะไม่เปลี่ยนใจเรื่องเข้าร่วมงานจัดเลี้ยง ฉันยังเข้าใจด้วยว่าเธอไม่เชื่อในแผนของฉัน แต่ว่านอกเหนือจากความอันตรายของงานจัดเลี้ยงแล้ว ฉันก็ยังเชื่อว่าความปรารถนาอันสมบูรณ์ก็ไม่อาจจะเติมเต็มความต้องการของเราได้ แบบนี้แล้วมันเหมือนกับเราทั้งคู่เหมือนกัน

สิ่งที่ฉันอยากจะบอกคือเธอต้องเชื่อใจคนอื่นบ้างนะ โดยเฉพาะคนที่หวังดีกับเธอ มันมีขีดจำกัดของคนๆเดียวอยู่ ไม่นานนี้ฉันก็เพิ่งเจอเข้ากับมันด้วยตัวเองเหมือนกัน

ในตอนนี้ฉันยังคงตรวจสอบเหตุการณ์ในอดีตอยู่ แผนที่เธอเคยบอกกับฉันยังคงขาดความน่าวางใจที่จะแสดงถึงความก้าวหน้าอยู่

ก่อนงานจัดเลี้ยงจะเปิดขึ้นมันยังมีเวลาอยู่นะ ก่อนจะถึงเวลานั้นช่วยใช้เวลาไตร่ตรองดูใหม่เถอะนะ

จาก กาเลฟ

-อีวาเกลีน โรสที่รัก

ฉันต้องขอโทษด้วยนะที่ตอบกลับช้า ฉันยอมรับการได้อ่านว่าเธอจะไม่ตอบกลับฉันอีกมันทำให้ฉันเศร้า แต่แค่เพราะแบบนี้มันไม่ทำให้ฉันหยุดหรอกนะ

ดังนั้นฉันก็เลยหากตัวช่วยอันยอดเยี่ยม

ฉันได้เจอกับนักบวชสาวจากวิหารอินวิเดียที่จะช่วยแก้ไขเหตุการณ์ในตอนนั้นได้ แม้ว่าฉันจะต้องเจออุปสรรคบ้าง แต่ฉันก็ได้คุยกับพี่ชายของเด็กคนนั้น ฉันมั่นใจมากว่าเด็กสาวคนนี้จะช่วยทำให้แผนของฉันสำเร็จ

อย่างที่ฉันเคยพูดไปในจดหมายก่อนหน้านี้ ฉันหวังว่าเธอจะเชื่อใจฉันมากกว่านี้นะ

ในจดหมายเธอก็ยังบอกเองเลย สิ่งต่างๆมันกำลังเป็นไปในรูปแบบแปลกๆ พวกเราต้องเร่งแล้ว

ฉันไม่รู้หรอกนะว่าสงครามในหุบเขาที่ฮารามาร์คจะส่งผลต่อจิตใจเธออย่างไร แต่หากจะให้ฉันแนะนำล่ะก็ มันคือเธอไม่ใช่ชาวโลกคนเดียวหรอกนะที่พยายามเพื่ออนาคตของพาราไดซ์

แน่นอนว่าฉันเห็นด้วยที่เราต้องเร่งแล้ว แต่ว่าฉันไม่คิดว่าเธอจะต้องแบกรับความเสี่ยงเกินจำเป็นเลย

อีวาเกลีน โรส ฉันขอวิงวอนเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว

ฉันต้องการให้เธอช่วยในแผนนี้ ฉันมั่นใจว่าเธอรู้ว่ามันหมายถึงอะไร

เราต้องการให้เธอช่วยนะ

จาก กาเลฟ

‘ได้กลิ่นแปลกๆแล้ว…’

ซอลจีฮูเม้มปากออกมา เขาบอกได้เลยว่าสิ่งที่กาเลฟพูดคือสิ่งที่มีความสำคัญเป็นอย่างมาก แต่เนื้อหาบางส่วนก็ขาดไปอยู่

“อย่างที่เห็นจากจดหมายนี่…”

คิมฮันนาห์ได้พูดขึ้นในทันทีที่ซอลจีฮูวางจดหมายฉบับสุดท้ายลง

“ในแง่รายละเอียดไม่มีอะไรถูกเขียนไว้ มันเหมือนกับว่าพวกเขาจงใจเลี่ยงที่จะพูดถึงเรื่องนั้นอยู่”

จากนั้นคิมฮันนาห์ก็ได้ชี้ไปที่วรรคหนึ่งบนจดหมาย

“แต่ก็ไม่ใช่ว่าเราไม่มีเบาะแสอะไรเลย”

“เบาะแส”

“ใช่แล้ว ฉันอาจจะไม่เข้าใจได้ว่ามันคือเรื่องอะไร แต่ฉันสามารถจะหาตัวบุคคลที่เกี่ยวข้องได้”

พอมาคิดดูแล้วนักเวทย์ได้พูดถึงผู้ช่วย ถึงขนาดที่เขากับอีวาเกลีน โรสต้องการความช่วยเหลือจากเธอคนนั้น

คำถามคือเธอคนนั้นเป็นใครกัน

“บังเอิญว่า…”

ขณะที่ซอลจีฮูกำลังตกอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออก คิมฮันนาห์ก้ได้พูดต่อ

“ฉันเชื่อว่าฉันรู้ว่าผู้ช่วยคนนั้นคือใคร”

“…หืม? จริงหรอ? ได้ยังไงกัน?”

“คุณยังจำเรื่องที่คุณขอให้ฉันทำในตอนอยู่ฮารามาร์คได้ไหม?”

“?”

“คุณบอกให้ฉันหาคนสองคน”

ซอลจีฮูได้ค้นความทรงจำก่อนจะนึกขึ้นได้ ดาวพิฆาตสวรรค์กับหญิงสาวผ้าโพกหัวสีขาว มาถึงตอนนี้เขาลืมทั้งคู่ไปแล้ว

“เดี๋ยวก่อนนะ ทั้งสองคนเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้?”

“ทั้งคู่คือผู้ช่วยที่ถูกพูดถึงในจดหมาย”

“มั่นใจนะ?”

“ค่ะ ฉันมั่นใจ”

คิมฮันนาห์พูดอย่างหนักแน่น

“ฉันสงสัยตั้งแต่ที่คุณขอให้ฉันหาพวกเขาในฮารามาร์คแล้ว ดังนั้นฉันจึงหาข้อมูลได้มาว่าพวกเขาทั้งคู่เคยติดต่อกับนักเวทย์ตั้งแต่ตอนนั้นเลย”

คิมฮันนาห์ได้พูดย้ำออกมา

“ฉันก็ไม่ได้รู้รายละเอียด แต่มั่นใจได้เลยว่าเธอคือคนที่อดัม กาเลฟติดต่อด้วยในอินวิเดีย ฉันได้ยืนยันเรื่องนี้ตั้งแต่อยู่ในซินยองแล้ว และยิ่งไปกว่านั้นเวลาที่พวกเขาพบกัน และเวลาที่จดหมายฉบับที่ถูกส่งมาก็ตรงกันพอดี”

คิมฮันนาห์ได้อธิบายยาวจนจบพร้อมเสริมว่าเธอได้ไปยืนยันเรื่องนี้จากสมาคมนักฆ่าอีกด้วย

“ถ้างั้น…”

ซอลจีฮูได้พูดอย่างสับสน

“เราจะต้องหาทั้งคู่”

“ฉันก็คิดไว้แล้วว่าคุณจะพูดแบบนั้น เพราะงั้นฉันได้จัดการให้แล้ว”

คิมฮันนาห์ได้ขยิบตาพร้อมยิ้มหวานออกมา