บทที่ 306 – วกไปวนมา (1)
สรุปแล้วก็คืออีวาเกลีน โรสกับอดัม กาเลฟต่างก็มีเป้าหมายเดียวกัน แต่ว่ากระบวนการในการไปถึงเป้าหมายของพวกเขาต่างกันจนเกิดความขัดแย้งขึ้นทำให้พวกเราร่วมมือกันต่อไปไม่ได้ และต้องแยกทางกัน
หลังจากตอนนั้นอดัม กาเลฟก็ยังคงหาคนร่วมมือต่อไป แต่อีวาเกลีน โรสดูจะปฏิเสธมัน และในตอนนี้อีวาเกลีน โรสได้ตายไป และอดัม กาเลฟก็ได้หายตัวไป
เพราะแบบนี้ทำให้ ‘เป้าหมายสูงสุด’ ของพวกเขาถูกฝังกลบไป แต่มันก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีเบาะแสอะไร
นักบวชหญิงแห่งอินวิเดียที่อดัม กาเลฟติดต่อ และเด็กสาวที่ถูกพูดถึงในจดหมายฉบับสุดท้าย คิมฮันนาห์รู้ตัวคนหลัง
ชัดเจนว่าเธอก็คือเด็กสาวผ้าโผกหัวสีขาวที่ซอลจีฮูเจอในงานจัดเลี้ยง ดังนั้นแล้วซอลจีฮูจึงได้ออกคำสั่งค้นหาเธอทันที ในเมื่อเป็นแค่การค้นหาใครสักคน ด้วยเครือข่ายข่าวสารของวัลฮาลาจึงทำได้อย่างง่ายดาย
หลังจากผ่านไปได้สี่วันธงไชยก็นำข่าวสารมา
นับตั้งแต่ที่พวกเขาออกไปจากอีวา พี่ชายกับน้องสาวได้เดินทางไปอยู่หลายเมือง จากอีวาไปคาลิโก้ จากคาลิโก้ไปกราเซีย จากกราเซียไปนัวร์ จากนัวร์ไปโอดอร์
เมืองที่เจอตัวพวกเขาครั้งสุดท้ายก็คือเมืองทางตะวันตกเฉียงใต้โอดอร์
คาดคะเนไว้ว่าพวกเขาอาศัยอยู่ในโรงแรมที่มีชื่อว่าดวงจันทร์ยามหลับฝัน เนื่องจากสมาคมนักฆ่าก็มีสาขาอยู่ในโอดอร์ทำให้ซอลจีฮูส่งสารผ่านสมาคมนักฆ่าไปให้สองพี่น้องว่าอยากจะพบกัน
เนื่องจากทั้งคู่ดูจะเป็นคนพเนจรที่ไม่ได้อยู่ที่ไหนเป็นเวลานาน ซอลจีฮูก็อยากจะเรียกพวกเขามาอีวาหรือไม่ก็ให้พวกเขารออยู่ที่โอดอร์ เพราะสุดท้ายแล้วหากซอลจีฮูเดินทางไปถึงที่นั่น แต่ทั้งคู่กลับไปจากเมืองแล้วมันคงจะเป็นการเสียเวลาเปล่า
สมาคมนักฆ่าดูเหมือนจะติดต่อกับทั้งคู่ได้สำเร็จ แต่ยังไงก็ตามคำตอบของพวกเขาที่ได้มาอย่างยากลำบากคือ ‘ไม่’
ซอลจีฮูที่กำลังร้อนใจได้ขอให้สมาคมนักฆ่าถามย้ำอีกครั้งหนึ่ง โดยบอกให้พวกเขาพูดถึงเรื่องที่พวกเขาเจอกับซอลจีฮูในงานจัดเลี้ยงก็ได้ แต่ยังไงก็ตามสมาคมนักฆ่าก็ยังคงได้รับคำตอบเดิมกลับมา
ชัดเจนมากว่าชายร่างใหญ่น่ากลัวที่ดูเหมือนจะเป็นผู้ดูแลของเด็กสาวผ้าโพกหัวได้ปฏิเสธอย่างหนักแน่น พวกเขาคิดไม่ออกเลยว่าทำไมคู่พี่น้องถึงปฏิเสธการเจอกันนี้
ในท้ายที่สุดซอลจีฮูก็ตัดสินใจเดินทางไปที่โอดอร์ด้วยตัวเอง เขาไม่อยากจะฝืนใจคนที่ไม่อยากเจอเขา แต่ว่าเขาก็ทำไม่ได้ก็เพราะความเร่งด่วนของสถานการณ์
ซอลจีฮูได้ไปถึงที่โอดอร์ก่อนรุ่งเช้า โชคดีที่ทั้งคู่ยังคงไม่ได้ออกไปจากเมือง การเช่ารถม้าที่เร็วที่สุดของราชวงศ์เดินทางมาตลอดทั้งวันมันคุ้มค่าจริงๆ
โรงแรมดวงจันทร์ยามหลับฝันเป็นโรงแรมขนาดเล็กที่อยู่ใกล้กับประตูทางใต้ของโอดอร์ ซอลจีฮูได้รีบมุ่งหน้าขึ้นไปที่ชั้น 2 ในทันที
‘ห้องที่สองจากซ้ายมือสินะ?’
เมื่อเดินขึ้นบันไดมาซอลจีฮูก็รู้สึกแปลกๆขึ้น ถึงเขาจะรีบมาที่นี่ แต่ว่าเขาก็ดูจะไม่เป็นที่ต้อนรับนัก ไม่เพียงแค่เขาถือวิสาสะเข้ามาเท่านั้น แต่นี่ก็ยังเป็นกลางดึกอีกด้วย
‘บางทีฉันควรรอเจอพวกเขาตอนเช้าดีกว่านะ’
เพราะแบบนี้เขาคงจะไม่เจอกับคำว่า ‘คุณคิดว่านี่มันกี่โมงแล้ว?’ แต่แน่นอนว่าเขาก็ไม่อาจจะเลี่ยงคำอย่าง ‘ไม่ใช่เราบอกไปว่าไม่อยากเจอคุณหรอกหรอ?’
แต่ทันทีที่ขึ้นมาถึงฉันสองความกังวลของเขาก็ได้กลายเป็นความสงสัย
มันเงียบสนิท โถงทางเดินอันว่างเปล่ามีแสงจางๆส่องออกมาจากสุดความมืด มันมาจากช่องว่างของประตูของห้องที่สองทางซ้ายมา
‘พวกเขาตื่นอยู่?’
ซอลจีฮูเดินก้าวออกไปเงียบๆ เขาได้แนบหูเข้ากับประตูอย่างอ่อนโยน แต่ก็ไม่มีเสียงอะไรดังออกมาเลย ขณะที่เขากำลังลังเลที่จะเคาะประตูนี้เอง..
-เข้ามาสิค่ะ
น้ำเสียงเงียบเหงาได้ดังเข้าหูเขา
ซอลจีฮูได้สะดุ้งตกใจออกมา เขากระทั่งได้ยินเสียงหัวเราะจากด้านในอีกด้วย
-เข้ามาได้เลยค่ะ อ่อ แขกคนอื่นๆน่าจะหลับกันหมดแล้ว เพราะงั้นช่วยเปิดปิดประตูเบาๆด้วยนะคะ
‘เธอรู้?’
ไม่ใช่ว่าทั้งคู่เป็นนักรบกับนักบวชหรอกหรอ?
ซอลจีฮูได้จ้องประตูก่อนจะค่อยๆเปิดเข้าไป สิ่งแรกที่เขาเห็นเลยก็คือเด็กสาวร่างท้วมที่มีเส้นผมสีขาวอาบย้อมไปด้วยแสงจันทร์ เธอกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวเก่าโดยมองออกไปทางหน้าต่างที่สะท้อนแสงจันทร์เข้ามา
เมื่อซอลจีฮูเข้ามาแล้ว เธอก็ค่อยๆหันหน้ามาหาเขา เธอได้ยิ้มอ่อนหวานด้วยรอยยิ้มอันงดงามด้วยสีหน้าซุกซฯซึ่งขัดกับดวงตาว่างเปล่าไร้ประกายของเธอ
“สวัสดีค่ะ”
ในที่สุดซอลจีฮูก็เห็นผ้าโผกหัวสีขาวที่อยู่บนหัวเธอ
“ไม่เจอกันนานเลยนะคะ”
“อ่อ ครับ ยินดีที่ได้เจอกันอีกนะครับ”
ซอลจีฮูที่คิดอะไรไม่ออกโดยไม่รู้ตัวได้สลัดความมึนงงอกมา และค่อยๆพูดขึ้น
“ต้องขออภัยด้วย คุณปฏิเสธไปแล้ว แต่ว่าผมก็ยังมาที่นี่อยู่…”
“ไม่ค่ะ ฉันต่างหากที่ควรจะขอโทษ”
เด็กสาวส่ายหัวออกมาอย่างสงบ
“ฉันได้ยินเรื่องนี้หลังจากพี่ชายปฏิเสธไปแล้ว การพบกันแค่ครั้งเดียวเหมือนเป็นเรื่องใหญ่ซะได้…”
เธอได้บ่นพร้อมหน้าบึ้งเหลือบไปด้านข้าง
เมื่อซอลจีฮูหันตามไปมอง เขาก็เห็นชายร่างใหญ่ที่สูงกว่าเขาซะอีก ชายคนนี้กำลังยืนกอดอกพิงกำแพง และมองซอลจีฮูด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ถึงแม้ว่าเขาจะแค่จ้องอยู่ แต่ด้วยสีหน้าอันน่ากลัวก็ทำให้ซอลจีฮูรู้สึกกดดันแล้ว
ซอลจีฮูที่ทำอะไรไม่ถูกได้แต่พยักหน้าอย่างสุภาพ จากนั้นชายร่างใหญ่ก็ก้มหัวเงียบๆโดยไม่ได้แสดงออกชัดเจนว่าเป็นการทักทายหรือเปล่า
เด็กสาวได้มองสลับไปมาระหว่างสองคนด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะค่อยๆลุกขึ้นจากเก้าอี้
“ต้องขออภัยด้วย จากที่คุณช่วยเราเอาไว้ในงานจัดเลี้ยง เราก็ควรจะไปพบคุณ”
“ไม่หรอก ไม่เลย ผมยินดีมากที่คุณยังพูดแบบนี้ทั้งๆที่ผมมาโดยไม่ได้รับเชิญ”
“ฟุฟุ ไม่ต้องห่วงค่ะ ฉันเป็นคนที่ต้องทดแทนบุญคุณอยู่แล้ว”
หญิงสาวได้ดึงเก้าอี้อออกมาสองตัว และเสนอให้ชายทั้งสองคนนั่ง
ถึงแม้ว่าซอลจีฮูจะนั่งลงไปแล้ว แต่ชายร่างใหญ่กลับไม่ได้นั่งเลย เขาไม่ได้ขยับตัวออกจากกำแพงด้วยซ้ำไป
“ไม่ต้องสนพี่หรอกค่ะ เวลาพี่มีอะไรให้คิดพี่ชอบมีนิสัยแบบนี้แหละ”
ซอลจีฮูได้มองเก้าอี้ว่างอยู่ หากว่าเป็นแบบนั้นเขาก็ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเธอถึงได้ดึงเก้าอี้ออกมาสองตัว
ขณะที่เขากำลังคิดด้วยความสงสัยนี้เอง เด็กสาวได้ถามขึ้น
“พี่สาวคนสวยจะไม่นั่งหรอ?”
“?”
บอกก่อนเลยคือซอลจีฮูมาที่โอดอร์เพียงลำพัง เมื่อเขามองเด็กสาวเหมือนกับถามว่าเธอกำลังพูดเรื่องอะไร เธอก็อุทานออกมาอย่างยินดี
“ว้าว พี่สาวสวยมากเลย! สีผมพี่ยังเหมือนกับฉันอีกด้วย”
เด็กสาวกำลังมองมาที่เขา แต่ไม่ใช่หน้าเขา เธอกำลังมองลงมาที่คอของเขา
เมื่อความคิดนี้เข้ามาในหัวซอลจีฮู ควันสีดำก็ลอยออกมาจากจี้ และกลายเป็นรูปร่างขึ้นทันที
“โฟลน?”
[ฉันรู้แล้ว]
จู่ๆโฟลนก็ปรากฏตัวขึ้น ชายร่างใหญ่ก็พยายามจะเคลื่อนไหวในเวลาเดียวกัน แต่เด็กสาวก็ได้ยกมือส่งสัญญาณหยุดชายร่างใหญ่เอาไว้
“ไม่เป็นไรค่ะพี่”
“…”
“ฉันก็กลัวเหมือนกัน แต่พี่สาวดูไม่ใช่คนไม่ดี พี่สาวแค่มีความแค้นฝังลึกเท่านั้นเอง”
สีหน้าซอลจีฮูได้ซีดลงไป เด็กสาวดูสงบนิ่งจนเกินไป มันไม่ใช่ปฏิกิริยาตามปกติเลยสักนิด
พอมาคิดดูแล้วมันก็แปลกตั้งแต่แรกเลย ทั้งคู่ต่างก็ตื่นในเวลานี้ และเหมือนกับกำลังรอเขาอยู่ด้วย มันเหมือนพวกเขารู้ว่าซอลจีฮูจะมาในคืนนี้
[ระวัง]
โฟลนได้เตือนออกมาอย่างกระทันหันพร้อมกอดซอลจีฮูเอาไว้เหมือนกับจะคุ้มกันเขา
[เธอถูกสิงอยู่]
“…หืม?”
[เด็กสาวคนนั้น เธอถูกสิง]
‘ถูกสิง?’
ซอลจีฮูเบิกตากว้างขึ้น
“ไม่ๆ ฉันไม่ได้ถูกสิงนะคะ”
เด็กสาวได้โบกมือปฏิเสธช้าๆ
“นั่นเพราะทั้งความคิดและร่างกายต่างก็เป็นฉันที่ควบคุมอยู่”
[เธอไม่ได้ถูกสิงงั้นหรอ? ฉันไม่เชื่อหรอก ฉันเห็นมันอย่างชัดเจน]
โฟลนตะโกนออกมาด้วยสีหน้าไม่พอใจ
[ถ้ามันบังคับเธอ ฉันจะกำจัดมันให้เอง]
“ขอบคุณนะคะ แต่ว่า-”
[ฉันรู้! ส่วนหนึ่งของมันได้ยึดครองร่างของเธอ ทำไมเธอถึงได้ยอมมอบทั้งร่างกายกับจิตใจให้วิญญาณราคะนั่น]
“โฟลน!”
ซอลจีฮูได้เตือนออกมาเมื่อรู้สึกว่าโฟลนพูดล้ำเส้นเกินไป ถึงแม้ว่าเขาจะไม่มั่นใจว่าทั้งคู่คุยเรื่องอะไรกัน แต่เขาเชื่อว่าทุกคนก็มีความลับของตัวเอง เหมือนอย่างยี่ซอลอากับฟีโซรา
“ฉันก็อยากจะถามพี่เหมือนกัน”
ยังไงก็ตามเด็กสาวดูไม่ได้คิดอะไรเลยสักนิด เธอดูจะตกใจมากกว่าซะอีก
“ทำไมพี่สาววิญญาณถึงอยู่กับพี่ชายล่ะ?”
[ฉันไม่ได้สิงเขาเหมือนวิญญาณราคะนั่น มีสื่อกลางต่างหากที่ฉันใช้เป็นบ้านอยู่]
“แต่ถึงแบบนั้น ความแค้นของพี่สาวก็น่ากลัวเกินไป มันมากจนถึงขนาดทำให้วิญญาณราคในตัวฉันต้องกลั้นหัวใจสั่นกลัวเลย ขออภัยด้วยที่ฉันต้องพูดแบบนี้ แต่ว่าพี่สาวจะต้องเป็นวิญญาณประเภทวิญญาณอาฆาตอย่างแน่นอน”
[เธอพยายามจะพูดอะไร?]
เด็กสาวได้ยิ้มตอบกลับคำพูดของโฟลน
“ฉันไม่รู้ค่ะ มันก็แค่การที่วิญญาณอาฆาตอยู่ใกล้ตัวมนุษย์มันไม่ใช่เรื่องดีเลย แต่นั่นก็คือในกรณีปกติเท่านั้น”
เมื่อได้ยินแบบนี้โฟลนก็ผงะไป
“แต่ว่า- ฉันมั่นใจว่าต้องมีเหตุผลดีๆอยู่ ยังไงแล้วเรื่องราวพวกนั้นก็มีแค่พวกพี่สองคนที่รู้”
[…]
“กับฉันก็เป็นเช่นเดียวกัน”
โฟลนได้เงียบลงไปเมื่อเจอการโต้กลับของเด็กสาว
[…ฉันไม่รู้สึกถึงความแค้นใดๆจากวิญญาณราคะที่มีต่อเธอเลย]
หลังจากเงียบอยู่สักพัก เสียงคำราแผ่วเบาก็ดังออกมา
[ฉันรู้สึกก็แต่ความต้องการอันน่าขยะแขยง นี่คือเหตุผลที่ทำให้ฉันโกรธ]
“ไม่ใช่ว่าไม่มีความแค้นหรอกค่ะ มันก็แค่ลดน้อยลงเท่านั้นเอง”
เด็กสาวได้ยิ้มหวานออกมา จากนั้นก็เสริมขึ้น
“แน่นอนว่าฉันจะไม่พูดว่าฉันทำเป็นคนทำให้เกิดความแค้น บางทีคนที่ฉันรู้จักอาจจะเป็นคนทำก็ได้ บางทีคนๆนั้นอาจจะเป็นบรรพบุรุษของฉัน แล้วบังเอิญโชคร้ายที่ฉันต้องมารับความแค้นนี้แทน สุดท้ายแล้วผีที่เกิดจากความแค้นก็ไม่แยกตัวบุคคลหรอก”
[อึก]
โฟลนได้ถูกบังคับให้ต้องเงียบไปทันที เธอดูเหมือนจะพูดไม่ออกแล้ว
เมื่อเห็นแบบนี้เด็กสาวก็ละสายตามาจากโฟลน และหันกลับมาหาซอลจีฮู
“ผะ ผี”
“มันไม่ใช่เรื่องแปลกหรอกค่ะ”
เด็กสาวได้พูดออกมาอย่างสง่างาม
“มันน่าจะเป็นในตอนฉันอายุได้สิบขวบ… จู่ๆฉันก็ตื่นขึ้นมากลางดึก เห็นบางอย่างแปลกๆอยู่บนเพดาน ฉันไม่เคยเห็นอะไรแบบนั้นมาก่อนเลย”
ดวงตาของเด็กสาวได้กลายเป็นพร่ามัวราวกับเธอกำลังฝันอยู่
“มันกระโจนลงมากดร่างฉันเอาไว้… ฉันกลัวมากจนต้องร้องไห้ออกมา พ่อแม่ของฉันได้รีบวิ่งเข้ามาทันที”
“…”
“นี่คือครั้งแรกที่ฉันได้เจอวิญญาณราคะ มันเป็นเรื่องน่าตกใจมากสำหรับตัวฉันที่ยังเด็ก มันมากจนทำให้ฉันยังจำมันได้อย่างชัดเจนจนถึงทุกวันนี้”
“มันเป็นในตอนที่คุณถูกสิงหรอครับ?”
ซอลจีฮูถามออกมาหลังจากฟังเรื่องราวของเธอเงียบๆ เขากำลังสงสัยอยู่เลยว่าทำไมอดัม กาเลฟถึงได้บอกไว้ว่าเด็กสาวคนนี้เป็นผู้ช่วยที่ยอดเยี่ยม และนี่ดูเหมือนจะเกี่ยวข้องกัน
“ฉันไม่ได้ถูกสิงในทันทีค่ะ”
เด็กสาวส่ายหัวออกมา
“ฉันต่อต้านเท่าที่ทำให้ และครอบครัวของฉันรวมไปถึงพี่ชายก็ช่วยฉันอย่างเต็มที่ ฉันได้พยายามเต็มที่แล้ว ทั้งอ้อนวอนต่อพระเจ้าไปจนถึงจุดธูป แต่ก็ไม่มีวิธีไหนได้ผลเลย”
“…มันคงจะลำบากมาแน่”
ซอลจีฮูฝืนพูดออกมา
“ค่ะ ฉันเริ่มที่จะเกลียดชังคนที่ทำให้วิญญาณตนนี้มาติดอยู่กับฉัน เมื่อไหร่ที่ฉันลืมตา ฉันก็จะร้องไห้ด้วยความโศกเศร้า…”
หญิงสาวได้เผยความสับสนจากในตอนนั้นออกมา
“วิญญาณราคะจะปรากฏตัวขึ้นมาทรมานฉันในทุกๆคน มันน่ากลัวมา วันคืนเหล่านั้นมันโหดร้าย หากว่าพี่ไม่ได้อยู่กับฉันด้วย ฉันก็คงกลายเป็นบ้าไปแล้ว”
ซอลจีฮูได้จ้องมองไปทางกำแพง ชายร่างใหญ่กำลังยืนอยู่ตรงนั้นนิ่งๆเหมือนอย่างตอนแรกที่ซอลจีฮูเข้ามาในห้อง นับตั้งแต่ที่เด็กสาวส่งสัญญาณให้เขา เขาก็ยืนนิ่งตรงนั้นมาโดยตลอด
“แต่ว่าสิ่งที่ทำให้ฉันเจ็บปวดมากที่สุดคือการที่ครอบครัวฉันเริ่มบาดเจ็บ”
“วิญญาณทำร้ายครอบครัวคุณด้วยหรอ?”
“เป็นอุบัติเหตุไม่ว่าจะเรื่องเล็กไปจนถึงเรื่องใหญ่ มันได้เริ่มเกิดขึ้นถี่ขึ้น นี่เป็นแค่เพียงข้อสรุปในเชิงตรรกะเท่านั้น”
หญิงสาวได้ถอนหายใจยาวออกมา
“เพราะงั้นสุดท้ายแล้วฉันก็ยอมแพ้”
“คุณหยุดต่อต้านหรอ?”
“ค่ะ วิญญาณราคะได้กระซิบข่มขู่ฉันอยู่ทุกคืน มันบอกว่าหากฉันยอมรับทุกอย่างก็จะจบลง ครอบครัวฉันก็จะไม่ต้องเจ็บกันอีกต่อไป มันผ่านมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว”
“หลายปี…”
“หลังจากปีที่เจ็ด ฉันก็ทนไม่ได้อีกต่อไป มันลำบากมากจนฉันต้องยอมแพ้และหยุดต่อต้าน พอฉันอายุ 17 ปี ฉันก็หยุดปฏิเสธวิญญาณราคะ และปล่อยให้มันทำตามต้องการ”
เธอได้พูดต่อด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบ
“แต่ว่า…”
จากนั้นจู่ๆเธอก็เริ่มพูดช้าลง
“ฉันควรพูดยังไงดีล่ะ… ฉันได้ยอมรับวิญญาณด้วยความสิ้นหวัง แต่ว่า…”
มุมปากของหญิงสาวค่อยๆโค้งเป็นรอยยิ้มออกมา
“มัน… น่าทึ่งมาก”
คิ้วบางของเธอได้โค้งยิ้มจนเกิดเป็นสีหน้าที่แปลกประหลาด
“มันเป็นประสบการณ์ที่น่าอัศจรรย์ มันมากจนฉันรู้สึกเสียใจที่ไม่ยอมรับมันให้เร็วกว่านี้”
ซอลจีฮูรู้สึกขนลุกขึ้นมาเมื่อได้เผชิญหน้ากับหญิงสาวดวงตาว่างเปล่าตรงหน้า
[ฉันเข้าใจการตัดสินใจของเธอนะ… แต่เธอสบายดีนะ?]
โฟลนได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงเศร้า
[มันไม่ง่ายที่จะใช้ชีวิตโดยยอมรับผีเข้ามาในร่าง ร่างกายจะต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่างขึ้น อย่างเช่นเห็นในสิ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อน]
“หากพี่สาวกำลังพูดถึงเนตรวิญญาณก็ถูกค่ะ แต่มันก็ไม่ได้แย่ มันทำให้ชีวิตเต็มไปด้วยเรื่องน่าอัศจรรย์ ฉันได้เห็นวิญญาณราคะมานาตั้งแต่จำความได้แล้ว ดังนั้นมันก็แค่ขยายขอบเขตขึ้นเท่านั้นเอง”
[ไม่อึดอัดเลยหรอ?]
“ตอนแรกฉันก็ตกใจ แต่ฉันชินแล้ว”
เด็กสาวตอบกลับด้วยรอยยิ้มกว้างถึงหู มันเป็นรอยยิ้มที่ไม่เหมือนยิ้มเลย
“สุดท้ายแล้งหลังจากนั้นอุบัติเหตุที่เคยเกิดกับครอบครัวฉันก็ได้หายไป ฉันพอใจมาก”
“…แล้วคุณเข้ามาในพาราไดซ์ได้ยังไง?”
“อุบัติเหตุหายไปแล้วก็จริง แต่ว่าครอบครัวเราต้องใช้เงินจำนวนมากก็เพราะฉัน พวกเราถูกแนะนำให้เข้ามาในพาราไดซ์ก็เพื่อชดใช้หนี้สินก้อนใหญ่ที่เราติดอยู่”
“…”
“ไม่ต้องมองฉันแบบนั้นหรอกค่ะ มันก็เหมือนกับคำพูดที่ว่าชีวิตเต็มไปด้วยเรื่องบังเอิญ”
หญิงสาวพยักไหล่เล็กน้อยอย่างไม่พอใจ แต่เรื่องราวของเธออธิบายได้แค่คำว่าอับโชค
“ทำไมวิญญาณถึงได้…”
“หากพี่กำลังถามว่าทำไมวิญญาณราคะถึงติดอยู่กับฉันล่ะก็ ต่อให้คุยกันจนเช้าก็มีเวลาไม่พอ มันต้องย้อนกลับไปตั้งแต่สมัยของคุณปู่ ไกลมาจนถึงขนาดของประวัติครอบครัวโรมาเนี่ยน”
ก่อนที่หญิงสาวจะเงียบลงไป
“อ๊ะ ฉันพูดมากไปแล้ว ต้องขออภัยด้วย จริงๆแล้วฉันคิดว่ามันแปลกมากในตอนที่พี่ชายเปิดประตูเดินเข้ามา ฉันรู้สึกได้ถึงออร่าของผีซึ่งพี่ไม่เคยมีมาก่อน ฉันคิดว่าพี่ก็เจอกับเหตุการณ์เดียวกับฉันซะอีก”
จากที่เธอรีบเร่งพูดให้จบ มันเหมือนกับเธอจะไม่อยากอธิบายอะไรอีกแล้ว
ในท้ายที่สุดพอนึกขึ้นได้ถึงเป้าหมายของการเดินทางนี้ ซอลจีฮูก็เก็บคำถามอื่นไว้ก่อน และกระแอ่มออกมา
“ถ้าคุณไม่ว่าอะไร ผมก็มีเรื่องอยากจะถาม”
“เชิญค่ะ คำถามอะไรก็ได้”
เด็กสาวตอบกลับทันที เธอดูจะสงสัยเหมือนกันว่าเขามาที่นี่ทำไม
“คุณรู้จักนักเวทย์ที่ชื่ออดัม กาเลฟไหม?”
“อ่อ เขาเอง”
หญิงสาวได้กรอกตาก่อนพยักหน้า
“รู้จักค่ะ ในตอนเรายังอยู่อีว่า ฉันกับพี่ถูกเขาช่วยเอาไว้ครั้งหนึ่ง”
“หลังจากนั้นเขาได้มาหาคุณไหม?”
“เคยค่ะ ถึงจะแค่ครั้งเดียวก็ตาม”
“คุณพอบอกได้ไหมว่าเขาพูดอะไรกับคุณ?”
“ได้สิค่ะ มันก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรหรอก เขาก็แค่มาขอให้ช่วย”
หญิงสาวกอดอกพูดต่อไป
“เขาบอกว่าเขาต้องไปสักที่หนึ่ง และต้องการพลังของฉัน”
ไปสักที่ ดวงตาซอลจีฮูเป็นประกายขึ้นเมื่อได้ยินแบบนี้ เขาแทบจะหลุดตะโกนออกมา
“เขาขอให้ฉันเป็นคนนำทางให้เขา”
แต่มันจนกระทั่งเขาได้ยินแบบนี้
“คนนำทาง?”
“แปลกใช่ไหมคะ? เขามาขอให้นักบวชเป็นคนนำทาง”
“พอจะอธิบายหน่อยได้ไหม?”
“อืม- อธิบายยังไงดีล่ะ…”
เด็กสาวเอียงหัวครุ่นคิดออกมา
“ตอนนั้นเขาบอกฉันหลายอย่างมาก… แต่ว่ามันก็ซับซ้อนมากจนฉันไม่เข้าใจเลย แถมยังนานแล้วด้วย… ถ้าฉันบอกเท่าที่จำได้จะว่าอะไรไหม?”
“ได้สิครับ”
“ดีใจจัง ตามที่คนๆนั้นบอก จุดหมายปลายทางของเขามันพิเศษมาก”
“พิเศษ?”
“ใช่แล้ว แม้กระทั่งนักธนูที่มากความสามารถก็ยังหลงทางได้หากเข้าไปที่แห่งนั้น จนท้ายที่สุดก็จะหลงทางไป”
ซอลจีฮูได้จดจ่ออยู่กับคำอธิบายนี้
“เขาบอกว่ามันไม่ใช่แค่คน ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ วิญญาณ หรือต่อให้เป็นเผ่าพันธุ์ใดๆ ก็ตาม ไม่มีใครสามารถจะแยกแยะทิศทางในที่แห่งนั้นได้”
“ทำไมล่ะ?”
“ฉันไม่มั่นใจ เขายังเคยพูดอะไรบางอย่างเกี่ยวกับกฎที่บิดเบี้ยว และส่วนหนึ่งของอีกโลกที่ปรากฏขึ้นเหนือมิดเดิลเวิลด์… แต่ฉันไม่รู้ว่าเขาพูดอะไร”
เด็กสาวเลียริมฝีปากออกมา
“ยังไงก็ตาม เขาบอกว่าคุณจำเป็นต้องมองเห็นสองโลกพร้อมๆกันเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้หลงทางในที่แห่งนั้น มีเพียงแบบนี้เท่านั้นถึงจะไปถึงใจกลางของสถานที่บิดเบี้ยวได้ และยัง-”
หญิงสาวเว้นช่วงพร้อมชี้นิ้วขึ้น…
“เขาบอกว่าฉันมีศักยภาพในการทำแบบนั้น”
นิ้วนั้นได้ชี้มาที่แก้มตัวเอง พร้อมรอยยิ้มแปลกประหลาด