บทที่ 307 – วกไปวนมา (2)
ดูเหมือนการมาหาเด็กสาวผ้าโพกหัวจะเป็นตัวเลือกที่ถูกต้อง
อดัม กาเลฟคงจะรู้ถึงความพิเศษของเธอ และมาขอให้เธอช่วย แบบนี้เรื่องราวก็ง่ายขึ้นแล้ว ซอลจีฮูแค่ต้องขอความร่วมมือกับเธอ และให้เด็กสาวเป็นคนนำทางเข้าสู่พื้นที่ที่เรียกว่าพื้นที่บิดเบี้ยวนั่น
น้ำพุที่นำไปสู่อาณาจักรภูติต้องเป็นที่นั่นแน่
“ผมมีคำขอ”
ซอลจีฮูได้พูดแทรกขึ้น
หลังจากนั้นไม่นาน…
“งั้นสิ่งที่คุณกำลังบอกก็คือ…”
หลังจากได้ฟังเรื่องการมาเยือนอีวาของสหพันธรัฐด้วยความสนใจแล้ว ดวงตาของเด็กสาวก็เป็นประกายขึ้น
“เป้าหมายของพี่ชายคือการช่วยอาณาจักรภูติ”
“ถูกแล้ว”
“จริงด้วย หากพี่ชายปลูกต้นไม้โลกขึ้นมาใหม่ได้ก่อนสงครามเริ่มขึ้นมันก็จะยอดเยี่ยมมากเลย…”
เด็กสาวได้เผยสีหน้าใฝ่ฝันออกมาราวกับเธอได้ยินเรื่องที่น่าทึ่ง
“นี่คือเหตุผลที่ผมต้องขอให้คุณช่วย”
เด็กสาวตรงหน้าเขาคือกุญแจสำคัญในการเข้าไปในอาณาจักรภูติ หากว่าเธอปฏิเสธ การจะช่วยอาณาจักรภูติมันก็จะกลายเป็นความฝันที่เป็นไปไม่ได้ และดังนั้นแล้วซอลจีฮูจึงค่อยๆขอออกมา…
“ได้ค่ะ”
“หืม?”
“ฉันจะช่วยพี่เอง”
เด็กสาวตอบกลับเบาๆ แต่มีความกระตือรือร้น
“คะ คุณจะช่วยจริงๆหรอ?”
“ค่ะ!”
“แต่ว่าทำไม…”
ซอลจีฮูอดถามออกมาไม่ได้ เขาเตรียมบทพูดอันยาวเหยียดไว้โน้มน้ามเธอแล้ว อย่างน้อยที่สุดเขาคิดว่าเธอคงจะขออะไรตอบแทน
“อืม ถ้าพี่ถามว่าทำไมล่ะก็ จริงๆแล้วมันมีอยู่สามเหตุผล…”
เด็กสาวได้ชูสามนิ้วขึ้นมาก่อนจะหุบนิ้วนางลงไป
“อย่างแรกพี่กำลังทำเรื่องดีอยู่ การช่วยพี่ก็จะเท่ากับฉันสร้างบุญให้ตัวเอง เพราะงั้นนี่ก็เป็นข้อดี”
หลังจากตอบกลับมาเหมือนหมอผีแล้ว เธอก็หุบนิ้วกลางต่อ
“อย่างที่สองพี่เคยช่วยชีวิตฉันกับพี่ฉันเอาไว้ในงานจัดเลี้ยง เป็นผู้มีพระคุณของฉัน และสุดท้าย…”
เธอได้หุบนิ้วชี้ลงด้วยรอยยิ้มหวาน
“ฉันใจดี”
จากนั้นเธอใช้นิ้วจิ้มแก้มตัวเองอีกครั้ง และยิ้มเขิน
ซอลจีฮูได้กลายเป็นพูดไม่ออกอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็รีบยิ้มตอบกลับไป
‘น่ายินดีจริงๆ’
ซอลจีฮูได้ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งใจที่ได้ยินว่าเด็กสาวจะยอมช่วยเขา ต่อจากนั้นเขาก็หันไปมองชายร่างใหญ่ที่ยืนพิงกำแพงอยู่เงียบๆ ซอลจีฮูคิดว่าเขาจะพูดขัดอย่างน้อยสักครั้ง แต่อีกฝ่ายก็ยังเงียบอยู่
“ไม่เป็นไรใช่ไหมพี่ชาย?”
เมื่อเด็กสาวหันกลับไปหาชายร่างใหญ่ เขาก็เงยหน้าขึ้น และเปิดปากพูดออกมา
“ต่อให้พี่บอกว่าไม่ เธอก็จะไปอยู่ดีนี่”
“ค่ะ”
“เอาเถอะ… มันไม่สำคัญหรอก เราก็ได้วางแผนกันว่าจะลองสักครั้งอยู่แล้ว ที่ต่างก็แค่เวลาเท่านั้นเอง”
สีหน้าซอลจีฮูสดใสมากขึ้น ยังไงก็ตามชายร่างใหญ่ยังพูดไม่จบ
“แต่ว่าพี่ขอเพิ่มเงื่อนไขอีกหน่อย”
“พี่”
“ฟังให้จบก่อน ในเมื่อเขามีคำขอเดียวกันกับนักเวทย์ พี่ก็คิดคิดจะให้เงื่อนไขเดียวกัน”
“ก็ได้ค่ะ เอาเลย”
ซอลจีฮูพยักหน้าออกมา นี่ก็ดีกับเขาเหมือนกัน
ชายร่างใหญ่ได้หันหน้ามาหาเขา
“ผมจะพูดตรงๆนะ ผมมีอยู่สองเงื่อนไข”
“ครับ”
“อย่างแรกดูจากเป้าหมายของคุณแล้ว เดาว่าคุณก็คงพาสมาชิกทีมที่น่ากลัวมาด้วย”
ถูกแล้ว ชายร่างใหญ่ดูเหมือนจะอยากได้ทีมที่ทรงพลังพอเนื่องจากว่าการเดินทางครั้งนี้เรียกว่าปฏิบัติการณ์ได้เลย
“แน่นอนครับ ผมวางแผนที่จะตั้งทีมปฏิบัติการณ์ที่แกร่งที่สุดเท่าที่ทำได้ ต่อให้จะต้องขอความช่วยเหลือจากภายนอกก็ตาม”
“ผมเชื่อว่าคุณจะรักษาคำพูด ถ้างั้นข้อที่สอง..”
ชายร่างใหญ่ได้เงียบอยู่นานทั้งๆที่เขาบอกว่าจะพูดตรงๆ หลังจากที่จ้องซอลจีฮูอยู่นาน เขาก็พูดขึ้นเบาๆ
“…ช่วยคุ้มครองเราด้วย”
ซอลจีฮูได้เบิกตากว้างขึ้นทันที
“ผมได้ยินเรื่องความสำเร็จของคุณมาแล้ว คุณได้กลายเป็นองค์กรพันธมิตรกับราชวงศ์อีวาสินะ”
ชายร่างใหญ่ยังพูดต่ออีกว่า
“ผมกำลังจะถามว่าคุณสามารถจะปกป้องผมกับน้องสาวด้วยพลังของคุณ โดยไม่ถามอะไรเลยได้ไหม?”
ซอลจีฮูอยากจะถามว่าเขากำลังหมายถึงเรื่องอะไร แต่ว่าเมื่อได้ยินคำว่า ‘โดยไม่ถามอะไรเลย’ ซอลจีฮูก็กลืนคำนี้ลงไป
“คุณถูกติดประกาศจับหรอครับ…?”
“ไม่ เราไม่ใช่อาชญากร”
ซอลจีฮูแค่ถามให้มั่นใจ และชายร่างใหญ่ได้ปฏิเสธออกมา
“ถ้างั้นอย่างน้อยช่วยบอกได้ไหมครับว่าศัตรูของพวกคุณคือใคร?”
“มากกว่าคนหรือสองคน”
“ชื่อองค์กรล่ะครับ?”
“พวกเราไม่รู้”
ชายร่างใหญ่ตอบกลับมาอย่างดุร้าย
“ผมรู้ว่ามันฟังดูแปลกๆ แต่เราไม่รู้ว่าใครมันทำ พวกเราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพวกมันต้องการอะไรจากเรา ที่เรารู้ก็คือมีคนในโลกใบนี้ไม่ชอบเรา และกำลังสร้างความลำบากให้เรา ผมบอกคุณได้เท่านี้”
สีหน้าซอลจีฮูกลายเป็นแข็งทื่อไป นั่นก็เพราะมันไม่ได้ฟังดูแปลก สุดท้ายแล้วเขาก็เคยมีประสบการณ์คล้ายๆกันนี้ในตอนอยู่ฮารามาร์ค
‘พอมาคิดดูแล้ว’
ทันใดนั้นเขาก็นึกไปถึงด่านที่ 3 ของงานจัดเลี้ยง ในตอนนั้นไอร่า เทพแห่งความพิโรธได้เรียกชายร่างใหญ่ว่า ‘ดาวพิฆาตสวรรค์’ และบอกว่าชายร่างใหญ่เป็นศัตรูที่ต้องถูกฆ่า
และในตอนนั้นซอลจีฮูก็ปฏิเสธ
แม้ว่านี่ควรจะเป็นสิ่งที่เขาต้องสนใจ แต่ว่าเขาก็อยากจะจดจ่อกับงานตรงหน้าก่อน ไว้ค่อยจับตาเขานับจากนี้ก็ไม่ใช่ความคิดที่แย่อะไร
“เข้าใจแล้ว”
หลังจากคิดกับตัวเองแล้ว ซอลจีฮูก็พูดออกมา
“ไว้ค่อยเล่ารายละเอียดก็ได้ แต่ผมสัญญาว่าตราบใดที่เราร่วมงานกันอยู่ วัลฮาลาจะปกป้องคุณกับน้องสาวของคุณ”
“…เยี่ยม”
ชายร่างใหญ่ได้ยืดตัวตรงออกมาจากกำแพง พอมองดูแล้วเขาสูงจนเกือบแตะเพดานได้เลย
“วลาด ฮาเลฟ”
“?”
“ฉันอาน่า ฮาเลฟ”
เด็กสาวก็ยังเสริมขึ้นพร้อมโบกมือออกมา จากนั้นซอลจีฮูก็เข้าใจว่าพวกเขากำลังแนะนำตัวเองอยู่
“ผมซอลจีฮู”
เด็กสาว ไม่สิ อาน่า ฮาเลฟได้ปรบมือราวกับแสดงความยินดีกับข้อตกลงนี้
ซอลจีฮูก็ยังลูบอกขึ้น ในที่สุดเขาก็มาไกลถึงขนาดนี้แล้ว จะเหลือก็แต่ว่า…
“แล้วที่นั่นคือที่ไหนหรอครับ?”
เสียงปรบมือได้หยุดลงอย่างกระทันหัน ดวงตาที่กำลังยิ้มอยู่ของอาน่า ฮาเลฟได้เบิกกว้า
ทันใดนั้นซอลจีฮูก็รู้สึกแย่ขึ้นมา
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน…”
และความรู้สึกแย่ก็ได้กลายเป็นจริง ซอลจีฮูแทบจะห้ามตัวเองไม่ให้สำลักได้เลย
“คุณไม่รู้หรอ?”
“ไม่ค่ะ ฉันคิดว่าพี่รู้ซะอีกนะ”
เด็กสาวได้ส่ายหัวพูดออกมา
“ฉันไม่รู้เลยว่าอยู่ที่ไหน ดูเหมือนท่านอดัม กาเลฟก็ไม่รู้เหมือนกัน”
‘อะไรนะ?’
ลมหายใจซอลจีฮูได้ขาดห้วงไป จนถึงตอนนี้เขาคิดว่าอดัม กาเลฟได้หายเข้าไปในที่แห่งนั้น แต่จากที่อาน่าบอกเขาดูเหมือนจะไม่ใช่แบบนั้น
ถ้าแบบนี้แล้วมันก็ต้องมีอีกเหตุผลที่นักเวทย์คนนั้นหายตัวไปงั้นสิ
“เขามาหาเราก็จริง แล้วเราก็ยอมรับคำขอเขาจริงๆ แต่ว่าเรายังไม่เคยร่วมงานกันมาก่อนเลย พวกเราไม่อาจจะนั่งเฉยๆรอเขาได้ในเมื่อเรายังไม่รู้เลยว่าเขาอยู่ที่ไหน แล้วตอนนี้เราก็ไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ที่ดีด้วย…”
อาน่า ฮาเลฟได้ชะงักไป
“ที่สำคัญกว่านั้น อดัม กาเฟลก็รักษาข้อตกลงเอาไว้ไม่ได้”
วลาด ฮาเลฟเสริมขึ้น
“การสนับสนุนจากราชวงศ์อีวากับองค์กรอีวาเกลีนที่เขาพูดถึงไม่เคยมาถึงเราเลย เพราะงั้นมันก็ไม่มีเหตุผลให้เราเสี่ยงอันตรายทำตามข้อตกลง”
ซอลจีฮูตกใจขึ้นมา
นี่คือเหตุผลที่เขาอ้อนวอนขอให้อีวาเกลีน โรสช่วยเหลือจากในจดหมายงั้นสินะ?
“ถ้างั้น…”
ซอลจีฮูได้พยายามอย่างมากที่จะควบคุมแขนขาที่กำลังสั่น ความรู้สึกหงุดหงิดอันน่าเหลือเชื่อกำลังพุ่งขึ้นมา
ทั้งๆที่อยู่ใกล้แค่เอื้อม…!
‘เดี๋ยวก่อนนะ’
ทันใดนั้นคำถามก็เขามาในหัวของเขา
หากว่าอดัม กาเลฟไม่รู้จักที่แห่งนั้น ถ้างั้นทำไมเขาถึงคิดว่ามีพื้นที่บิดเบี้ยวอยู่ล่ะ?
“จริงด้วย เขาไม่ได้ให้คำตอบที่ชัดเจน แต่ว่าเขาก็เคยพูดเรื่องสำคัญอยู่”
อาน่า ฮาเลฟได้พูดต่อ
“ฉันเคยบอกพี่ไปแล้วใช่ไหมว่าพี่ฉันกับฉันเคยถูกเขาช่วยเอาไว้ในระหว่างอยู่ที่อีวา”
ซอลจีฮูพยักหน้าอย่างสับสน
“ฉันไม่มั่นใจว่าพี่จะรู้หรือเปล่าเพราะมันเกิดขึ้นนานแล้ว แต่ว่าเมื่อก่อนเคยมีเหตุการณ์ใหญ่เกิดขึ้นอยู่ในอีวา”
ซอลจีฮูหรี่ตาลง ทันใดนั้นเนื้อหาในจดหมายก็ย้อนกลับเข้ามา
“มันได้เกิดขึ้นอย่างกระทันหัน จู่ๆนักธนูระดับ 6 ก็ได้เริ่มการสังหารหมู่ขึ้นอย่างไม่แยแสในอีวา ไม่มีการแบ่งแยกใดๆระหว่างชาวพาราไดซ์หรือชาวโลก”
[บอกไว้ก่อนเลยนะ ตอนนี้ฉันก็ยังคงตรวจสอบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตอยู่]
“ฉันอยู่ระหว่างเหตุการณ์นั้น และเธอก็ถูกอะไรบางอย่างสิงเอาไว้ ฉันได้ขอให้วิญญาณราคะช่วยเอามันออกไปจากเธอ จริงๆแล้วมันก็ค่อนข้างจะง่าย”
[ฉันได้เจอกับเด็กสาวนักบวชจากวิหารอินวิเดียที่ช่วยไขปัญหาในเหตุการณ์ครั้งนั้น]
“ท่านอดัม กาเลฟมาหาฉันหลังเหตุการณ์นั้น เพราะงั้นเขาคงจะเริ่มสังเกตถึงความสามารถฉันตั้งแต่ตอนนั้น เขาบอกว่าเขาเจอบางอย่างที่จะช่วยสนับสนุนแผนของเขาในระหว่างที่ตรวจสอบเหตุการณ์นั้นอยู่”
“และนั่นก็คือ-”
“คือว่า เราไม่มีทางรู้ได้เลย”
อาน่าได้พูดออกมาพร้อมม้วนปลายผมสีขาวของเธอ
“แต่ว่าในเมื่อเขาพูดถึงเหตุการณ์นั้น เขาจะไม่ตรวจสอบคนร้ายเลยหรอ? อย่างที่รู้กันเธอเป็นผู้หญิงที่ถูกขังเอาไว้ในคุกอีวา”
ซอลจีฮูตาเป็นประกายขึ้น เขาจะต้องคิดเรื่องนี้ให้มากยิ่งขึ้น แต่ว่าเขาก็เริ่มเข้าใจบรรทัดสุดท้ายของจดหมายฉบับที่สามของอดัม กาเลฟแล้ว
[พวกเราต้องการให้เธอช่วย]
ปริศนาชิ้นสุดท้ายที่หายไปถูกเจอแล้ว
และดังนั้นซอลจีฮูก็ต้องวนกลับไปที่อีวา แน่นอนว่าคราวนี้เขากลับมาพร้อมกับคู่พี่น้องฮาเลฟด้วย
หลังจากฝากให้มาแชล จิโอเนียดูแลทั้งคู่แล้ว เขาก็ได้ไปหาคิมฮันนาห์ และมุ่งหน้าไปที่คุกอีวา เมื่อได้เห็นอาคารที่ทรุดโทรม เขาก็เต็มไปด้วยความรู้สึกขมขื่นที่ไม่อาจจะบรรยาย บางทีกลุ่มดาวนักบุญไซดัสอาจจะไม่ได้นำทางเขามาหาจองซูก็ได้ บางทีอาจจะเป็นคนร้ายของเหตุการณ์สังหารหมู่ ‘โฮชิโนะ อุราระ’ ก็ได้
ยังไงก็ตามซอลจีฮูก็สะบัดหัวออกมา ต่อให้จะเป็นแบบนั้น แต่อาน่า ฮาเลฟก็เป็นคนที่เขาต้องการด้วย การเดินทางครั้งนี้ไม่ได้สูญเปล่า
ซอลจีฮูที่หวังว่าคราวนี้มันจะจบลงได้เปิดประตูเข้าไป ผู้คุมได้แสดงสีหน้าสงสัยทันทีที่เห็นซอลจีฮูมาที่นี่อีกครั้ง แต่ว่าก็ไม่ได้หยุดอะไรเขาไว้ ผู้คุมเพียงแต่เปิดประตูโลหะและเตือนให้เขาระวัง
คิมฮันนาห์รู้ทางที่นี่อยู่แล้ว ชัดเจนด้วยว่าระหว่างการมาที่นี่ครั้งก่อนเธอก็ยังเคยคุยกับโฮชิโนะ อุราระด้วยความสงสัยอีกด้วย
“ที่นี่แหละ”
พวกเขาได้มาถึงห้องขังที่ไม่ได้ต่างไปจากห้องที่จองซูถูกขังเอาไว้เลย ที่ต่างก็มีแค่ที่นี่ไม่มีน้ำเสียกับเศษขยะเท่านั้นเอง
“…”
ภายในห้องขังนั้นเงียบสนิท หลังจากมองผ่านตาแมวเข้าไปในประตูเหล็กแล้ว ซอลจีฮูก็ขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย
เขาเห็นใครบางคนกำลังนั่งอยู่ในมุมของห้องขัง เป็นแผ่นหลังของหญิงสาวผิดขาวซีดที่ตัดผมบ็อบ เธอมีร่างกายที่เล็กกว่าที่เขาคาดไว้ และเธอก็กำลังจ้องมองกำแพงอยู่อย่างเหม่อลอย
แต่มีสิ่งหนึ่งเลยที่ซอลจีฮูไม่เข้าใจ นั่นก็คือเธอเปลือยอยู่ ทั้งๆที่นักโทษทุกคนควรจะได้รับชุดนักโทษ
ซอลจีฮูไอแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็เคาะประตูเล็ก จากการที่พวกเขาอยู่ในที่ปิดทำให้เสียงเคาะดังก้องออกมา
“คุณโฮชิโนะ อุราระ?”
เมื่อได้ยินเสียงเขา ไหล่ของเธอสั่นขึ้นอย่างชัดเจน
“เราคุยกันหน่อยได้ไหม?”
หญิงสาวได้ลุกขึ้นโดยที่ตัวแกว่งไปมา
“เสียงนี้-”
น้ำเสียงแหบแห้งเล็กน้อยได้ดังออกมา ขณะที่เธอยังคงมองกำแพง และซอลจีฮูกำลังจะเรียกเธออีกครั้งนี้เอง-
ปัง! จู่ๆประตูโลหะก็สั่นอย่างรุนแรง
คิมฮันนาห์สูดหายใจยาว และถอยกลับไป ส่วนซอลจีฮูก็ยังถอยออกมาด้วยความตกใจ
ตาแมวได้ถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่นก่อนที่เขาจะรู้ตัว โฮชิโนะ อุราระได้ขยับตัวจากมุมห้องขังมาที่ประตูด้วยความเร็วน่าเหลือเชื่อ แถมเป็นการถอยหลังพุ่งมาอีกด้วย
“เสียงนี้~~”
เสียงฮัมยาวดังออกมา
“มันไม่ใช่เสียงผู้คุมล่ะ~~”
จากนั้นหญิงสาวก็ค่อยๆหันกลับมา ดวงตากลมโตของเธอได้หันมามองที่ซอลจีฮู สายตาเธอเต็มไปด้วยความสงสัยและความหวังจนไม่อาจบรรยายได้
“อ๊า- โอ้! จริงด้วย! เป็นชายที่ฉันไม่เคยเห็นมาก่อน!”
หญิงสาวได้กระโดดเหมือนกบเข้ามาส่องที่รู จากนั้นเธอก็แลบลิ้นเผยรอยยิ้มทื่อๆออกมาเหมือนกับผู้ลี้ภัยที่กระหายอาหารและน้ำมานาน
“พี่ชายๆ~ พาฉันออกไปหน่อยได้ไหม?”
“…”
“ปล่อยฉันออกไปหน่อย หืม?”
โฮชิโนะ อุราระ ชื่อเธอบ่งชี้อย่างชัดเจนว่าเธอเป็นคนญี่ปุ่น แต่เธอกลับมีสำเนียงแปลกๆอยู่ในคำพูด
“ถ้าพี่ชายปล่อยฉันออกไปนะ ฉันยอมทำทุกอย่างเลย~ อะไรก็ได้น้า~”
เธอได้ขยิบตา และแลบลิ้นเลียริมฝีปากจนเหมือนเธอกำลังพยายามยั่วยวนเต็มที่ ซอลจีฮูกระแอ่มออกมา
“มีเรื่องที่ผมอยากจะถาม”
“โฮ่ ถ้าตอบจะปล่อยฉันไหม?”
“คุณรู้จักน้ำพุ (spring)ไหม?”
“ฤดูกาลน่ะหรอ? หรือว่าหมายถึงโลหะที่มันเด้งได้?” (spring ในภาษาอังกฤษแปลได้หลายความหมายทำให้ตัวละครพูดออกมาทำนองนี้ครับ)
“ไม่ ผมกำลังพูดถึงที่เป็นแหล่งน้ำ น้ำพุน่ะ”
“โอ้ นั่นแหละๆ น้ำพุ ฉันจะตอบคำถาม เพราะงั้นปล่อยฉันได้แล้ว เร็วเข้าสิ!”
เธอค่อนข้างจะสมาธิสั้น ซอลจีฮูได้แต่ต้องส่ายหัวออกมา
“ผมไม่ได้กำลังพูดถึงเรื่องความหมายตามพจนานุกรมครับ”
“หือ?”
เธอเอียงหัวออกมาก่อนจะเหลือบมองไปด้านข้าง
“ถ้างั้นพี่ชายกำลังหมายถึงความหมายในเชิงเปรียบเทียบหรอ? เหมือนอย่างน้ำที่ออกมาจากตัวพี่ชายน่ะหรอ?”
“ผมไม่ได้มาล้อเล่นนะ”
“ขอโทษด้วย พี่ชายคงจะหมายถึงน้ำที่มาจากรูด้านล่างของฉันแน่เลย”
ซอลจีฮูหน้าบึ้งขึ้น โฮชิโนะ อุราระได้ตะคอกและทุบประตู
“พระเจ้า! ฉันไม่เห็นเคยเจอใครบ้าแบบนี้มาก่อนเลย! มาหาฉัน แล้วจู่ๆก็พล่ามเรื่องน้ำพุอะไรก็ไม่รู้ นี่พี่ชายเป็นหนึ่งในคนบ้างั้นหรอ?”
ซอลจีฮูอยากจะพูดคำๆนี้ใส่เธอ แต่เขาก็อดทนพูดต่อไป
“เป็นสถานที่ที่บิดเบี้ยว”
เสียงหัวเราะหยุดลง
“พี่ชายคงจะรู้จักอดัม กาเลฟ”
เมื่อได้ยินแบบนี้สีหน้าโฮชิโนะ อุราระก็เปลี่ยนไป สีหน้าเธอดูเคร่งขรึมขึ้นเล็กน้อย
“…อะไรนะ เขาส่งพี่มางั้นหรอ?”
“ไม่ครับ ในตอนนี้อดัม กาเลฟหายตัวไปแล้ว”
“หายตัวไป? อะไรกัน เขาไม่ได้ทรยศฉันงั้นหรอ? หรือเดี๋ยวก่อนนะ บางทีอาจจะทรยศไปแล้ว”
เธอได้บ่นอยู่กับตัวเอง
“คุณโฮชิโนะ อุราระ คุณรู้ไหมว่าที่นั่นอยู่ที่ไหน?”
“ใช่ ฉันรู้”
ซอลจีฮูกำหมัดแน่น ในที่สุดเขาก็ได้รับคำตอบที่ต้องการแล้ว
“นั่นเพราะฉันเคยไปที่นั่น…”
โฮชิโนะ อุราระกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่จู่ ๆก็เงียบไป
“…เดี๋ยวก่อน ๆ ฉันมีคำถาม การที่พี่ชายมาถามฉันเรื่องนี้…”
เธอได้ส่งสายตาสงสัยออกมา จากนั้นก็ยิ้มและอุทานขึ้น “อ่อ!” รอยยิ้มของเธอดูคล้ายกับเป็นตัวตลก
“…พี่ชาย”
โฮชิโนะ อุราระได้ลดเสียงลงจนเป็นเสียงกระซิบ
“พี่รู้ว่าฉันกำลังจะพูดอะไรใช่ไหม?”
“…”
“โอเค สาม สอง หนึ่ง”
เมื่อเธอนับจบ เธอก็เอนตัวตะโกนออกมา
“ถ้าพี่ชายปล่อยฉัน ฉันจะยอมบอกกก~!”