บทที่ 308 - เตรียมพร้อม (1)

The Second Coming of Gluttony

บทที่ 308 – เตรียมพร้อม (1)

‘ก็คิดไว้แล้วล่ะนะ’

การที่ต้องถูกขังเอาไว้ในห้องขังโดยไร้แสงอาทิตย์ มันคงไม่แปลกที่เธอจะหาทุกวิธีทางในการออกไปข้างนอก

แต่โฮชิโนะ อุราระเป็นอาชญากรติดประกาศจับที่มีคดีร้ายแรง การจะปล่อยให้เธอเป็นอิสระมันไม่ใช่เรื่องง่าย

คนที่จะตัดสินใจเรื่องนี้ได้คงจะมีแค่ราชินีแห่งอีวา ผู้ดูแลจัดการของราชวงศ์ หรือตัวแทนพันธมิตรของราชวงศ์อีวา

‘นี่คงเป็นสิ่งที่ทำให้อดัม กาเลฟต้องชะงักแผนการสินะ’

เขาคงอยากจะยืมการช่วยเหลือจากอีวาเกลีน โรสเพื่อปล่อยให้โฮชิโนะ อุราระเป็นอิสระ แต่ติดที่ว่าฝ่ายตรงข้ามปฏิเสธคำขอของเขาอยู่ตลอด

แต่ว่าซอลจีฮูต่างออกไป ในหมู่ชาวโลกในอีวา เขาคือบุคคลที่เป็นหมายเลขหนึ่ง ทั้งผู้ดูแลจัดการของราชวงศ์และราชินีต่างก็เชื่อใจเขา

หากซอลจีฮูขอให้ปล่อยโฮชิโนะ อุราระให้เป็นอิสระ มันก็มีโอกาสสูงที่พวกเขาจะพิจารณาเรื่องนี้อย่างตั้งใจ

แต่แน่นอนว่าสถานการณ์ที่ดีที่สุดก็คือการที่โฮชิโนะ คายความจริงออกมาก่อนที่เขาจะดำเนินเรื่องเหล่านั้น

นี่คือเหตุผลที่เขาพาคิมฮันนาห์มาด้วย ในเมื่อเธอสามารถจะรีดข้อมูลที่ต้องการมาจากจองซูได้ เขาก็คิดว่าคราวนี้เธอก็น่าจะทำได้เหมือนกัน

“คิมฮันนาห์”

เขาได้ส่งสัญญาณทางสายตาให้กับเธอ แต่คิมฮันนาห์กลับทำสีหน้าลำบากใจขึ้นมาอย่างน่าประหลาด

ตามปกติของเธอแล้ว เขาคิดว่าจะได้ยินคำอย่าง ‘ค่ะ ตัวแทน’ แต่ในตอนนี้เธอกลับหรี่ตาเม้มปากขึ้น

“มีอะไรงั้นหรอ?”

พอซอลจีฮูถามออกมา คิมฮันนาห์ก็ถอนหายใจเบาๆ

“คงจะยากค่ะ”

ซอลจีฮูผงะไป เขาไม่เคยเห็นคิมฮันนาห์หมดความมั่นใจมาก่อนเลย

“เราอยู่ในจุดที่เสียเปรียบ เรามีแต่จะเสีย นอกไปจากนี้-”

คิมฮันนาห์ส่ายหัวและพูดต่อ

“โฮชิโนะ อุราระเป็นหนึ่งในคนบ้า แม้กระทั่งก่อนทำการสังหารหมู่ตามอำเภอใจ เธอก็ยังมีชื่อเสียงอยู่แล้ว”

“จะ จริงหรอ?”

“ค่ะ คุณเคยได้ยินเรื่องหกคนบ้าใช่ไหมล่ะ? ปีศาจหน้าเงิน นักบุญสังหาร จอมเชือดแห่งฮารามาร์ค เหยี่ยวสงคราม แล้วก็หายนะระเบิดเวลา ในหมู่คนเหล่านี้ โฮชิโนะ อุราระเป็นคนที่มีชื่อเสียงยิ่งกว่า แคลร์ แอ็กเนส นั่นเพราะว่าสวิตของเธอคนนี้เปิดอยู่ตลอดเวลา”

ซอลจีฮูอยากจะถามว่าคนบ้าอีกคนหนึ่งหายไปไหน แต่แล้วก็ห้ามตัวเองไว้

“เพราะงั้นทางเลือกเดียวของเราคือขอให้ราชวงศ์ช่วยงั้นหรอ?”

“ดิฉันเชื่อว่านั่นเป็นวิธีที่ง่ายและใช้เวลาน้อยที่สุด”

ซอลจีฮูได้เหลือบมองหญิงสาวที่นอนอยู่กับพื้นด้วยสายตาไม่พอใจ

‘…คงไม่มีทางเลือกล่ะมั้ง’

ในท้ายที่สุดเขาก็หันหน้าจากไป

***

“ยอมรับไม่ได้!”

คำสั่งเย็นชาได้ดังออกมา

ซอลจีฮูได้มองตรงออกไปด้วยความตกใจ เขาได้มาขอเข้าพบราชินีเพื่อขอให้ปล่อยตัวโฮชิโนะ อุราระ แต่กลับถูกปฏิเสธออกมาอย่างหนักแน่น

“โฮชิโนะ อุราระเป็นอาชญากรที่สร้างความผิดร้ายแรงกับอีวา เธอฆ่าทั้งชาวพาราไดซ์และชาวโลกจนถูกมองว่าเป็นตัวอันตราย แล้วคุณเอาเรื่องนี้ขึ้นมาพูดได้อย่างไร ในเมื่อเราไม่มีทางรู้ได้เลยว่าเธอจะคลั่งขึ้นอีกเมื่อไหร่!?”

เธอได้พูดต่อ

“ฉันเข้าใจเหตุผลของคุณนะ แต่ฉันคือราชินีของอีวา ฉันจะต้องให้ความสำคัญกับคนของฉันเป็นอย่างแรกสุด เพราะงั้นฉันอนุญาติไม่ได้”

เธอกระทั่งให้เหตุผลอันน่าเชื่อถือออกมา

ซอลจีฮูจ้องมองชาล็อต อาเรียที่กำลังนั่งอยู่บนบัลลังก์ด้วยความโกรธเกรี้ยว จากนั้นก็แอบหันหน้าไปมองผู้ดูแลจัดการของราชวงศ์ ซอกกูนีร์ก็ดูจะผงะไปเช่นเดียวกับซอลจีฮู สีหน้าเขาเหมือนกับจะพูดว่า ‘ที่ท่านทานอะไรผิดไปหรือเปล่า องค์ราชินี?’

ตามปกติแล้วราชินีก็ควรจะตอบว่า ‘อืม~ ได้สิจีฮู~ ตามสบายเลย~’

แต่ในวันนี้เธอกลับต่างไปจากปกติ เหมือนเธอขมขื่นกับอะไรอยู่

“ทะ ท่านราชินี นี่เป็นคำขอของตัวแทนซอลนะครับ เขาจะต้องมีเหตุผลที่ดีอย่างแน่นอน บางทีเรื่องนี้อาจจะควร…”

ซอกกูนีร์ได้รีบโค้งคำนับออกมา

ตามปกติชาล็อต อาเรียจะสนับสนุนซอลจีฮู แต่ตอนนี้ดูเหมือนบทบาทจะสลับกันไปแล้ว

“อืม… แน่นอนว่าการที่ตัวแทนซอลพูดเรื่องนี้เองจำเป็นต้องเอามาคิดด้วย…”

ชาล็อต อาเรียได้หลับตาลง และตั้งใจแสร้งทำเป็นคิด ต่อจากนั้นเธอก็ถอนหายใจก่อนจะพูดขึ้นราวกับช่วยไม่ได้

“หากคุณยังยืนกราน ฉันก็จะคิดดูใหม่ แต่อย่างที่รู้กันว่าโฮชิโนะ อุราระคือตัวอันตรายมาก แค่คิดว่ามีอาชญากรเดินอยู่ภายในอีวาก็ทำให้ฉันไม่สบายใจแล้ว”

“ครับ”

“แต่ว่าคุณก็มีเหตุผลเช่นกัน นี่ไม่ใช่เวลาที่จะต้องเถียง ดูเหมือนเราต้องประนีประนอม”

“ประนีประนอม?”

ชาล็อต อาเรียพยักหน้าด้วยท่าทางยิ่งใหญ่

“จากสถานการณ์เร่งด่วน ฉันสามารถอนุญาติให้ปล่อยตัว โฮชิโนะ อุราระได้ แต่ว่าคุณจะต้องทำหน้าที่ให้ฉันสบายใจขึ้น”

“ท่านหมายความว่ายังไงกัน…?”

“ง่ายมาก คุณจะต้องมาหาฉันที่วังทุกๆวันเพื่อรายงานถึงความประพฤติของโฮชิโนะ อุราระ”

ชาล็อต อาเรียได้เน้นย้ำว่าห้ามขาดแม้แต่วันเดียวอีกด้วย

ซอลจีฮูเอียงหัวออกมา มันไม่ได้เข้าใจไม่ได้ แต่แค่ฟังดูแปลกๆ ดังนั้นเขาจึงโยนเหยื่อออกไปก่อน

“ผมเข้าใจแล้ว แต่ในเมื่อองค์ราชินีกำลังยุ่งอยู่กับการค้นคว้าของคุณโรเซร่า ผมคงจะต้องรายงานกับผู้ดูแลจัดการราชวงศ์แทนได้ไหม?”

“ไม่! ไม่ได้เด็ดขาด!”

แม้ว่ามันจะฟังดูสมเหตุสมผล แต่ชาล็อต อาเรียไม่ยอมถอยเลยสักนิด

“คุณต้องรายงานกับฉัน เท่านั้น!”

“…”

ซอลจีฮูได้จ้องมองไปที่ชาล็อต อาเรีย ผู้ดูแลจัดการราชวงศ์ก็ทำเช่นเดียวกัน

ภายใต้สายตาของทั้งคู่นี้ได้ทำให้ชาล็อต อาเรียได้เริ่มหลบสายตาไป

“มะ ไม่ใช่นะ ฉัน…”

จากนั้นเธอก็พึมพำเสียงเบาด้วยท่าทีเขินอายตามปกติของเธอ

“ฉันหมายถึง… นั่นไง… ช่วงนี้เขาไม่ค่อยมาหาฉันเลย… แถมพอไปหาที่วัลฮาลาเขาก็ไม่อยู่ด้วย…”

หรือก็คือที่เธอทำท่าทีขึงขังนั่นก็เพื่อโอกาสในการดึงให้ซอลจีฮูมาหาเธอ

“ฟู่ว…”

ผู้ดูแลจัดการราชวงศ์ได้ถอนหายใจยาวออกมาพร้อมมองดูราชินีที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ เขาพูดไม่ออกแล้ว นี่เธอเอาความต้องการส่วนตัวมาใช้กับการปกครองได้ยังไงกัน

“พะ พวกนายทั้งคู่ก็ได้ทำตามต้องการ…”

ยังไงก็ตามซอกกูนีร์ได้กลืนคำพูดลงไปเมื่อได้เห็นความสามารถในการผสานความจริงกับเท็จนี้

หลังจากเงียบอยู่นานซอกกูนีร์ก็หันหน้าไปถามซอลจีฮู

“นี่เป็นวิธีเดียวจริงหรอครับ?”

“ครับ”

ซอลจีฮูเม้มริมฝีปากเล็กน้อย

“อีกทางเลือกหนึ่งคือการทรมานเค้นข้อมูลจากเธอ แต่ก็ไม่มีใครรู้ว่ามันจะได้ผลหรือเปล่า ปัญหาใหญ่สุดคือเรื่องของเวลา ทุกๆวินาทีต่างก็มีค่า…”

สีหน้าผู้จัดการดูแลราชวงศ์ได้มัวหมองไปเมื่อได้ยินคำขออย่างจริงใจนี้ ถึงแม้ว่าตามปกติแล้วการปล่อยตัวอาชญากรประกาศจับจะเป็นไปไม่ได้ แต่ก็มีกรณีที่ทำได้อยู่เช่นกัน

อย่างเช่นเพื่อให้ภาพใหญ่ที่ซอลจีฮูกำลังวาดไว้สำเร็จ

[หลังจากสร้างเสถียรภาพกับอีวาแล้ว ผมคิดว่าจะพัฒนาความสัมพันธ์ของมนุษยชาติกับสหพันธรัฐ]

ช่วงนี้ซอลจีฮูกำลังพยายามทำตามสัญญาที่สองอย่างเต็มกำลัง ถึงจะไม่ได้ช่วยเขา แต่ซอกกูนีร์ก็ไม่อาจจะขัดขวางไว้ได้

ซอกกูนีร์ได้หลับตาลง และนึกย้อนไปถึงการเจอกันครั้งแรกของพวกเขา ต่อจากนั้นเขาก็คิดถึงสภาพในปัจจุบันของอีวา

หลังจากนั้น…

“…ช่วยไม่ได้นะครับ”

หลังจากเงียบอยู่นานซอกกูนีร์ก็หยักหน้าเบาๆ

***

การปล่อยตัวโฮชิโนะ อุราระถูกตัดสินแล้ว

การตัดสินใจปล่อยตัวอาชญากรประกาศจับเป็นอิสระคือเรื่องใหญ่ภายในอีวา มันไม่น่าแปลกใจเลยที่จะเกิดความวุ่นวายขึ้นภายในคุก

เพราะเพียงแค่คนๆหนึ่ง

“เร็วเข้า! เร็วเข้าสิ!”

โฮชิโนะ อุราร่าได้แกว่งเท้าด้วยความตื่นเต้นหลังจากที่เห็นซอกกูนีร์ยืนอยู่ตรงหน้าประตูโลหะ เขาเข้าใจความตื่นเต้นของเธอดี นั่นเพราะเธออาจจะไม่ได้คาดหวังอะไรมากนัก

ยิ่งเมื่อซอกกูนีร์สอดกุญแจลงที่รูกุญแจ ดวงตาของโฮชิโนะ อุราระได้เป็นประกายจนถึงขีดสุด

“ฮ่าฮ่าฮ่า! ในที่สุดฉันก็จะได้หลุดออกไปจากคุกบ้านี่สักที!”

เธอได้ระเบิดหัวเราะออกมาด้วยประกายตาอันบ้าคลั่ง

“ว่ะฮ่าฮ่าฮ่า! เมื่อไหร่ที่ออกไปได้นะ- เจ้าหัวล้าน! นายคนแรกเลย!”

ซอกกูนีร์ได้ผงะดึงกุญแจออกมา

“ไม่! เดี๋ยวก่อนสิ! ฉันแค่ล้อเล่น! ฉันสาบาน! ฉันเป็นคนดีมีคุณธรรมนะ! ฉันจะเป็นนักบุญ!”

เมื่อเขาได้ใส่กุญแจกลับเข้าไป…

“โฮ่โฮ่โฮ่! ล้อเล่นกับผีสิ! ไอ้สารเลว! กล้ามากนะที่ขังฉันไว้ที่นี่ กล้ามาก! ฮ่าฮ่าฮ่า ถึงเวลาสำหรับการแก้แค้นแล้ว! มาเริ่มเทศกาลนองเลือดกันดีกว่า!”

เมื่อเขาดึงกุญแจออกมา

“ฉันขอโทษ! ฉันขอโทษ! ปล่อยฉันออกไปเถอะนะ! ฉันจะอุทิศทั้งร่างกายและวิญญาณเพื่อีวา! องค์ราชินีจงเจริญ! จงเจริญ! จงเจริญ!”

เมื่อใส่กลับเข้ามา…

“ตาย! ตาย! ฉันจะให้พวกแกได้ลิ้มรสความทุกข์! ฮิฮิฮิฮิ!”

ดึงออกมา…

“คำนับ! คำนับ!”

“…”

ซอกกูนีร์ได้หันกลับมามองซอลจีฮูโดยไร้คำพูด

“เปิดสิ”

โชฮงที่ทนไม่ไหวได้บ่นพึมพำออกมา

“ดูจำนวนแรงค์เกอร์ระดับสูงที่นี่สิ การจับตัวเธอไว้ไม่ใช่ปัญหาหรอก”

“…ผมเชื่อพวกคุณ”

ในท้ายที่สุดซอกกูนีร์ก็สอดกุญแจเข้าไป และบิดมัน แกร๊ก! เสียงล็อคถูกเปิดได้ดังออกมา เมื่อประตูโลหะถูกเปิดขึ้นช้าๆ ทั้งร่างของโฮชิโนะ อุราระก็เผยให้เห็น

“…แค่ใส่เสื้อมันจะทำให้เธอตายงั้นหรอ?”

โอราฮีได้พูดขึ้นพร้อมแหว่งดาบไปมา แต่ว่าโฮชิโนะ อุราระก็ไม่ได้สนใจเลย มีแต่ริมฝีปากของเธอเท่านั้นที่ยิ้มเล็กน้อย

จากนั้นจู่ๆเธอก็กางแขนขึ้นเหมือนนักมายากลอยู่กลางเวที

“ย๊ากกกกก!”

หลังจากนั้นเธอก็กระโจนออกมาจากห้องขังทันที แต่แล้วก็ถูกสมาชิกวัลฮาลาที่ยืนอยู่จับเอาไว้ เธอไม่อาจจะรับมือกับมาแชล จิโอเนีย คาซุกิ และโอราฮีได้ในเวลาเดียวกัน

“เอื้ออ”

โฮชิโนะ อุราระที่ถูกเหวี่ยงลงพื้นร้องออกมา

“โหดร้าย~ ถูกจับในทันทีที่ออกมาซะแล้วสิ~”

“หยุดเล่นได้แล้ว”

โชฮงที่ได้มองลงไปด้วยสายตาเย็นชา

โฮชิโนะ อุราระได้เชิดคางขึ้นด้วยสีหน้าหวาดกลัว

“คาวาอี้~”

“อืมม พล่ามต่อไปนะ มาดูกันว่าพอฝันหมดปากแล้วเธอจะยังพูดต่อไปได้อีกไหม”

“อุปส์ โทษที”

เธอได้ก้มหัวลงทันที

“ฉันจะอยู่นิ่งๆ ปล่อยฉันไปเถอะน้า~ ฉันไม่หนีแล้ว ฉันสัญญา~”

เธอได้ดิ้นอ้อนวอนไปมาอยู่กับพื้น

เมื่อซอลจีฮูส่งสัญญาณมือเท้าที่กดเธอเอาไว้อยู่ก็เริ่มคลายลง

“ขอบคุณค่า ขอบคุณค่า!”

โฮชิโนะได้กระโดดขึ้น จากนั้นก็ยืดตัวออกมา มันดูเหมือนเธอจะเป็นนักธนูระดับสูงที่มีร่างกายยืดหยุ่นมาก

“โอ้ยยย! เพราะเป็นข้างนอกห้องขังสินะ? สภาพอากาศแตกต่างกันจริงๆ”

“…ให้ตายสิ เธอมันโชคดีนะ”

ซอกกูนีร์คำรามออกมาเหมือนโมโหที่เห็นอาชญากรมาบิดตัวอย่างสบายอารมณ์

“หากว่าไม่ใช่เราอยู่ในสถานการณ์ด่วนล่ะก็นะ หากว่าไม่ใช่เพราะตัวแทนซอล! เธอคงจะต้องเน่าตายในคุกแน่!”

“อะไรน้า!?”

“เธอให้ความร่วมมือกับวัลฮาลาอย่างสุดความสามารถจะดีกว่านะ เธอจะต้องระวังการกระทำเอาไว้ด้วย หากฉันได้ยินว่าเธอทำความผิดอีกล่ะก็ ฉันจะลากผมเธอเข้าคุกอีกครั้งเอง!”

เมื่อถูกคุกคามแบบนี้ โฮชิโนะ อุราระก็หยุดนิ่งไป เธอได้เหลือบมองซอกกูนีร์ จากนั้นก็ยิ้มออกมา

“คุณคนดี คุณจะลากอะไรฉันนะ? ทำได้ด้วยงั้นหรอ?”

“อะไรนะ?”

โฮชิโนะ อุราระยิ้มพร้อมแตะหัวตัวเอง

ซอกกูนีร์ได้ลูบหัวตาม และรู้สึกได้ถึงหัวที่เรียบเนียน

โฮชิโนะ อุราระยิ้มออกมา

“ไม่มีอะไรให้ดึงสินะ”

ซอกกูนีร์นิ่งอึ้งไป จากนั้นเขาก็โกรธขึ้น

“เธอ-!”

“คุณผู้ดูแล! อย่าให้เธอปั่นหัวคุณ”

ขณะที่คิมฮันนาห์พูดให้ซอกกูนีร์ใจเย็นลง ซอลจีฮูก็รีบพาตัวโฮชิโนะออกไปจากคุก

“หืม-”

เมื่อได้เจอแสงอาทิตย์เป็นครั้งแรกหลังผ่านไปนาน เธอก็ถึงกลับต้องหลับตาแน่น

“อ่าา~ กลิ่นอายแห่งอิสระถาม~”

เธอได้แลบลิ้นออกมาราวกับจะลิ้มรสอากาศบริสุทธิ์ หลังจากมองไปรอบๆด้วยสายตาพร่ามัวแล้ว เธอก็เห็นแม่บ้านคนหนึ่งกำลังเดินอยู่ และยิ้มออกมา

“คาวาอี้~”

แม่บ้านได้ผงะไป

“ฉันเป็นคนญี่ปุ่นค่า~”

“อะ อะไรหรอคะ?”

“รู้จักนิโกะ นิโกะ นี่ ไหม~”

“จู่ๆคุณทำไมคะเนี้ย!?”

แม่บ้านที่ตกใจกลัวได้รีบวิ่งหนีออกไป

“พี่สาว? ไปไหนกันเล่า~”

โฮชิโนะ อุราระได้หัวเราะ และปรบมือออกมา

“…เธอเป็นโรคประสาทหรือเปล่า?”

คาซุกิที่มองอยู่เงียบๆพึมพำออกมา

มันเป็นอย่างที่เขาพูดจริงๆ โฮชิโนะ อุราระไม่ได้หยุดนิ่งเลยแม้แต่วินาทีเดียว จนเหมือนกับเธอสมาธิสั้นถึงขีดสุด

แค่อยู่ใกล้เธอก็ทำให้ซอลจีฮูรู้สึกเหมือนจะหมดแรงแล้ว

“อืม~ ฉันตื่นเต้นเกินไปหรือเปล่านะ? เริ่มหิวซะแล้วสิ”

หลังจากวิ่งป่วนอยู่สักพัก โฮชิโนะ อุราระก็หันกลับมาด้วยสายตาเป็นประกาย

“มีใครอยากจะเลี้ยงข้าวฉันไหม?”

เธอได้รีบก้าวยาวๆเข้ามาคว้าแขนซอลจีฮู และยกขึ้น จากนั้นก็ตะโกนออกมา

“ขอบคุณค่า~”

ซอลจีฮูได้สะบัดแขนอย่างใจเย็น

“…นายโอเคนะ?”

โอราฮีมองมาที่เขาด้วยสายตาสงสาร

“ทำไมถามแบบนั้นล่ะ?”

“ก็… สีหน้านายเหมือนบอกว่า ‘พาฉันออกไปจากที่นี่’ เลย”

ซอลจีฮูถอนหายใจ และส่ายหัวออกมา

“…ไปกันเถอะ”

ซอลจีฮูได้เริ่มเดินพร้อมลากโฮชิโนะ อุราระที่เอาแต่บ่นเรื่องท้องว่างไม่หยุด

“เจ็บค่า~!”

***

ความประทับใจที่ซอลจีฮูมีต่อโฮชิโนะ อุราระก็คือ ‘น่ารำคาญ’ หรือไม่ก็ ‘สมาธิสั้น’

ระหว่างกินอาหารเธอก็เอาแต่บ่นพึมพำ หรือไม่ก็ขยับไหล่เต้นไปมาไม่หยุด มันถึงขนาดซอลจีฮูอยากจะลองหาอะไรมาปิดปากมัดเธอให้อยู่นิ่งๆ

“เอ๊อะ-!”

แต่ว่าเธอก็ยังเป็นมนุษย์ที่จะเงียบลงไปเล็กน้อยหลังกินอิ่ม

“อ่า~ ดีจังเลย ได้ออกจากคุก กินอาหารอร่อยๆ นี่สินะความสุข? ฉันควรจะต้องเปลี่ยนตัวเองแล้วสิ”

ซอลจีฮูได้จ้องโฮชิโนะ อุราระที่ยังคงพูดต่อไม่หยุด

จากนั้นบางทีอาจจะเพราะรู้สึกถึงสายตาของเขาทำให้เธอหันกลับมายิ้มให้เขา

“เอ๋~ จ้องอะไรอยู่น่ะ? ไม่ต้องห่วง ฉันรักษาสัญญาอยู่เสมอ”

“ก็ดีครับ”

“แน่นอนอยู่แล้ว ตอนนี้เรามาคุยเรื่องสำคัญดีกว่า พี่ชายกำลังพยายามจะไปที่นั่นใช่ไหม?”

ซอลจีฮูพยักหน้าออกมาเงียบๆ โฮชิโนะ อุราระได้ปรบมือเข้าด้วยกัน

“โอ้! ถ้างั้นเริ่มงานกันเลย ไปด้วยกันเถอะ”

“ด้วยกัน?”

“ใช่แล้ว การกลับไปที่นั่นคือสิ่งที่ฉันอยากทำที่สุดหลังจากออกจากคุกเลยล่ะ การไม่รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับฉันมันกำลังทำให้ฉันจะบ้า”

“เกิดอะไรขึ้นกับคุณ?”

ซอลจีฮูได้ขอคำอธิบายเพิ่ม

โฮชิโนะ อุราระได้เอียงตัวมาด้านหน้าอย่างกระตือรือร้น และขมวดคิ้ว

“หืม… พี่ชาย ลองดูหน้าฉันดีๆสิ”

“?”

“จากด้านหน้า พี่ชายจะเห็นตา จมูก ปากของฉันใช่ไหมล่ะ?”

“ใช่”

“แล้วก็เห็นหูที่อยู่จากด้านข้างใช่ไหม?”

“แน่นอน”

“แต่พี่ชายจะรู้สึกยังไงถ้าพี่ชายเห็นตา จมูก และปากฉันเหมือนกำลังมองฉันอยู่จากตรงหน้าทั้งๆที่มองฉันจากด้านข้างล่ะ?”

เมื่อซอลจีฮูขมวดคิ้วขึ้น คาซุกิที่ฟังอยู่ข้างๆก็ขมวดคิ้วขึ้น

“นี่มันไม่ถูกต้อง”

“ใช่แล้ว มันไม่ถูกต้อง”

โฮชิโนะ อุราระเบิกตากว้างพร้อมตอบกลับมา

“นั่นคือสิ่งที่ฉันรู้สึกตอนเจอที่นั่นล่ะ ภาพมันจะไม่เปลี่ยนแปลงไปไม่ว่าจะมองจากมุมไหน พระเจ้า! ฉันยังไม่อยากจะเชื่อเลย!”

“แล้วคุณเข้าไปที่นั่นแล้ว?”

“แน่นอนสิ! ฉันเดินเข้าไปเพราะสงสัยว่ามันคืออะไรกันแน่ แล้วก็ อืมม… ว่ายังไงดีล่ะ…”

โฮชิโนะ อุราระครำครวญออกมาราวกับมันยากที่จะพูดออกมา

เมื่อเห็นแบบนี้คาซุกิก็เสริมขึ้น

“สติคุณขาดหายไปงั้นหรอ?”

“อ่า ใช่เลย! รู้สึกแบบนั้นแหละ!”

โฮชิโนะ อุราระพูดขึ้นอย่างยินดี

“ฉันกำลังเดินโดยที่รู้สึกไม่เหมือนกับกำลังเดินอยู่ ฉันหายใจโดยที่รู้สึกไม่เหมือนกับกำลังหายใจ แต่ฉันรู้ได้ยังไงกันว่ารู้สึกแบบนั้นน่ะ?”

คาซุกิไม่ได้ตอบกลับไป

“ไม่มีทาง… โลกแห่งดวงดาว… ผมเคยได้ยินเรื่องนี้จากอาจารย์เอียนเท่านั้น…”

“โอ้วววว! ใช่แล้ว โลกก้นอะไรนั่นแหละ! ฉันคิดว่านักเวทย์นั่นก็บอกฉันแบบนี้เหมือนกัน”

โฮชิโนะ อุราระได้จ้องคาซุกิที่่กำลังพูดกับตัวเอง และเธอก็พยักไหล่ออกมา

“ช่างเถอะ ระหว่างหลงทางและเดินอยู่ที่นั่น ฉันก็สับสนไปหมดเลย จนกระทั่งพอได้สติฉันก็อยู่ในอีวาแล้ว”

[นั่นคือเธอถูกสิง]

โฟลนที่กำลังแอบฟังอยู่จากข้างในจี้ได้พึมพำออกมา

“โอ้ ใช่”

ตอนนั้นเองโฮชิโนะ อุราระก็วางช้อนที่ถืออยู่ลง

“ฉันเพิ่งจะจำได้ ที่บอกไปเมื่อกี้ยังไม่พอใช่ไหมล่ะ? มาใกล้ๆสิ”

เธอได้โน้มตัวมาข้างหน้า

“ฉันได้ยินมาจากนักเวทย์ เขาบอกว่ามีเส้นทางบุกฝ่าที่นั่นอยู่ นี่คือข้อมูลที่มีคุณภาพจริงๆ”

“…วิธีอะไร?”

“เขาบอกว่าต้องหานักบวช ก็นะ บางทีคงไม่ใช่นักบวชคนไหนก็ได้ด้วย แต่โชคดีที่ฉันจำหน้านักบวชได้”

ซอลจีฮูหัวเราะออกมาเบาๆ

“อะไรกัน ทำไมถึงหัวเราะล่ะ? ฉันกำลังพูดความจริงอยู่นะ ฉันยังจำมันได้ดี ฉันได้สติกลับมา แล้วก็มีเด็กสาวนักบวชอยู่ตรงหน้า”

ซอลจีฮูได้หันหน้าไป อาน่า ฮาเลฟกับพี่ชายของเธอก็บังเอิญว่ากำลังกินอาหารอยู่อีกฟากหนึ่งของโรงอาหาร

“เด็กสาวแม่มดผมขาว หน้าของเธอเป็นเหมือนกับกระดานว่างเปล่า แต่ก็มีความหื่นกระหายอยู่เล็กน้อยด้วย เข้าใจที่ฉันจะบอกไหม? อ่า เฮ้ๆ สนใจกันหน่อยสิ! กำลังมองไปที่ไหนกัน? ตั้งใจ- หืม?”

โฮชิโนะ อุราระได้หันไปมองตามสายตาซอลจีฮู ต่อจากนั้นเธอก็เบิกตากว้างขึ้น

“เอ๋? ใช่แล้ว นักบวชนั่นดูเหมือนเธอเลย ดวงตาอันยั่วยวนแล้วก็-”

“นั่นคือเธอคนนั้น”

“อ่า!?”

โฮชิโนะ อุราระได้เด้งตัวขึ้นอย่างตกใจ

“ว้าว! ใช่แล้ว! เธอคือเด็กสาวจากตอนนั้นสินะ”

“ใช่แล้วค่ะ”

อาน่า ฮาเลฟยิ้มอ่อนๆ และโบกมือมา

“สวัสดีค่า~”

“โย่! สวัสดี”

โฮชิโนะ อุราระได้ตอบกลับอย่างยินดี จากนั้นก็นั่งกลับลงไป

“ชิ น่าจะรีบบอกกันก่อนสิ น่าอายจริงๆ”

“ก็ไม่มีโอกาสบอกนี่ครับ”

“ช่างเถอะนะ พี่ชายนี่เตรียมพร้อมเรียบร้อยแล้วนี่นา โอเค นี่มันดีเลย ถ้าต้องการก็ไปกันตอนนี้ได้เลยนะ เอายังไงดีล่ะ?”

โฮชิโนะ อุราระกำหมัดแน่นพร้อมทั้งส่ายไปมาอย่างตื่นเต้น

ซอลจีฮูก็มีความสุขที่ได้ยินแบบนี้ แต่ก็ส่ายหัวออกมา

“พวกเรามีแผนที่จะไปให้เร็วที่สุด แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้”

“ทำไมล่ะ~?”

“พวกเรายังต้องเตรียมตัวอีก คุณก็ต้องพักฟื้นด้วยไม่ใช่หรอครับ?”

เมื่อได้ยินแบบนี้โฮชิโนะ อุราระก็มองตรงไปด้านหน้าอกย่างเหม่อลอย เธอคงกำลังเช็คหน้าต่างสถานะอยู่

“…ถูกแล้ว ร่างกายของฉันเละเทะหมดเลย แบบนี้ฉันก็เรียกตัวเองว่าระดับ 5 ที่น้อยกว่าระดับ 6 ไม่ได้แล้วสิ”

“ตอนนี้พักก่อนเถอะครับ ยังไงเราก็จะไปให้เร็วที่สุดอยู่แล้ว เพราะงั้นตอนนี้ช่วยพักฟื้นให้หายดีจนกว่าจะถึงตอนนั้นด้วย”

โฮชิโนะ อุราระผิวปากออกมา

“ว้าว~ ดูที่พี่ชายพูดสิ พี่ชายนี่มารยาทดีจังเลยนะ ฉันนี่โชคดีจังเลย~ การได้มาเจอกับชายผู้รอบคอบและมีน้ำใจ”

โฮชิโนะ อุราระได้ส่งสายตาออกมาอย่างอ่อนหวานให้เขา

“ทำยังไงดีล่ะ? ฉันเริ่มชอบพี่ชายแล้วสิ”

เธอได้เอามือแนบแก้มและร้องออกมา

“เอายังไงดีล่ะ? คืนนี้อยากจะนอนกับฉันไหม?”

ซอลจีฮูได้ลุกขึ้นยืนโดยไม่สนใจเธอเลยสักนิด เธอก็ไม่ได้มีท่าทีที่จะหนีไปอีกแล้วด้วย นอกจากนี้ก็ยังมีโชฮงที่คอยจับตาดูไว้อยู่ เขาจึงไม่มีเหตุผลอะไรมาอยู่กับเธออีก

“ไปพักเถอะครับ คุณควรที่จะกลับสู่สภาพเดิมให้ได้ก่อนเราจะออกเดินทาง”

“ค่าาาา!”

โฮชิโนะ อุราระเด้งตัวขึ้น และคำนับออกมา

ซอลจีฮูได้นวดขมับเดินออกไปจากโรงอาหาร

‘เหนื่อยจริงๆเลย…’

แต่ในที่สุดแล้วเขาก็มีเครื่องมือไว้ช่วยตอบโต้แผนการของราชินีปรสิตแล้ว

‘ที่เหลือก็…’

และในช่วงเวลานี้เองหนึ่งในยักษ์ใหญ่แห่งพาราไดซ์ก็ได้มาเยือนวัลฮาลา

เพื่อที่จะพบกับตัวแทนขององค์กรนี้

แขกคนนี้เป็นชาวโลกที่เขาคาดไม่ถึงเลยสักนิด