บทที่ 309 – เตรียมตัว (2)
“ดาวแห่งความโลภมาหาเรางั้นหรอ?”
ซอลจีฮูได้ถามย้ำอย่างตกใจ
“คะ ค่ะ เขามาโดยไม่ได้นัดไว้ล่วงหน้า… ตอนนี้ดิฉันได้พาเขาไปอยู่ที่ห้องรับรองแล้ว”
คิมฮันนาห์ก็ตกใจไม่แพ้กันจนทำให้เธอพูดติดอ่างเล็กน้อย
ผู้บริหารแห่งความโลภ ชายผู้ที่ยืนอยู่ในจุดสูงสุดของสมาคมนักเวทย์คนนี้ได้มาเยือนที่วัลฮาลาเป็นการส่วนตัว
“ทำไมผู้บริหารถึงมาหาฉันล่ะ…”
“ฉันก็ไม่ทราบค่ะ แต่ดูเหมือนว่าเราจะมารอในอีวาอยู่สักพักแล้ว”
“นานแค่ไหน?”
“ประมาณสิบวันได้ค่ะ”
ซอลจีฮูถึงกับพูดไม่ออกด้วยความตกตะลึง
“เราควรให้เขาเข้ามาเร็วกว่านี้นะ”
“คุณได้เดินทางไปที่โอดอร์เมื่อไม่กี่วันก่อน ทำให้อาจจะคลาดกันระหว่างทางได้”
“โอ้ นั่นมัน”
“ยังไงก็ตาม ดิฉันประหลาดใจจริงๆ หากว่าเขาส่งคนมาส่งข่าวสักหน่อย ดิฉันก็ยังเตรียมตัวรับมือได้ทัน…”
“ฉันคงต้องไปเจอเขาเดี๋ยวนี้แหละ”
“ฉันจะไปด้วยค่ะ”
ซอลจีฮูรีบเดินออกไป
***
ภายในห้องรับรองมีชายหนุ่มกับหญิงสาวกำลังนั่งกันอยู่บนโซฟา
ชายร่างผอมสูงกำลังนั่งจิบชาพร้อมอ่านหนังสือไปด้วยอยู่ ดูจากชุดคลุมหนาของนักเวทย์ที่เขาใส่แล้ว เขาคนนี้จะต้องเป็นดาวแห่งความโลภอย่างแน่นอน ในทางกลับกันหญิงสาวน่ารักที่สวมใส่ชุดสีอ่อนก็กำลังมองไปรอบๆห้องรับรองด้วยความสงสัย
ระหว่างที่เธอกวาดตามองนี้เอง สายตาเธอก็หันไปเห็นซอลจีฮูที่เพิ่งเปิดประตูเข้ามา
เธอเป็นหญิงสาวที่มีผมสีน้ำตาลอ่อนหยักศก และมีใบหน้าที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวา
ซอลจีฮูก็อ้าปากค้างออกมาในทันทีที่เห็นเธอ
“อ๊ะ!”
หญิงสาวก็ยังอ้าปากค้างในเวลาเดียวกันด้วย
“นายคือ…!”
เมื่อเธอลุกขึ้นยืนชี้นิ้วมาที่เขา รอยยิ้มงดงามบนใบหน้าเธอก็จางหายไป
“…คนที่ทิ้งทีมไปท้าทายภารกิจระดับเป็นไปไม่ได้คนเดียว และเอาคูปองร้านค้า VIP ไปคนเดียว”
เมื่อได้ยินคำทักทายอัน ‘น่ารัก’ ซอลจีฮูก็เผลอหลุดขำออกมาเบาๆ เป็นการทักทายที่สมกับเป็นโอเดลเล็ต เดลฟีนจริงๆ
“โอ้ย!”
ยังไงก็ตามไม่นานนักเธอก็กลับลงไปนั่งลูบหัว เมื่อถูกกำปั้นเขกหัว
“โอ้ยย! ตีฉันทำไมกัน!?”
“คุณไปชี้นิ้วใส่คนอื่นแบบนั้นไม่ได้นะ!”
“ไม่นะ! ฉันก็แค่มีความสุขที่ได้เจอเขาเท่านั้นเอง”
“ไม่ใช่ว่าคุณติดตามผมภายใต้เงื่อนไขที่จะทำตัวรอบคอบหรอ?”
“ฮึ่ม”
โอเดลเล็ต เดลฟีนได้หน้าบึ้งหันหลบไปด้านข้าง
ชายหนุ่มได้เช็ดหมัดของเขาก่อนจะหยักหน้าให้ซอลจีฮู
“ผมต้องขออภัยด้วย ถึงผมจะไม่ใช่คนที่สอนเรื่องมารยาทกับเด็กคนนี้ แต่ผมก็ต้องขออภัยแทนเธอด้วย”
“ไม่เป็นไรครับ ผมก็ดีใจที่ได้เห็นเธอเป็นตัวของตัวเอง”
ซอลจีฮูที่ตอบกลับด้วยรอยยิ้ม ได้เดินมาอยู่ข้างหน้าชายหนุ่ม
“ผมซอลจีฮู ตัวแทนของวัลฮาลา ผมได้ยินว่าคุณรอเจอผมอยู่นานแล้ว”
“ผมฟิลิปส์ มูเลอร์ ตัวแทนของสมาคมนักเวทย์ ผมก็รอคุณอยู่นานแล้วจริงๆนั่นแหละ”
ชายทั้งสองคนที่ต่างก็มีชื่อเสียงโด่งดังในพาราไดซ์กำลังจับมือกันอยู่
“โอ้ว!”
โอเดลเล็ต เดลฟีนที่เห็นทั้งคู่จับมือกันก็อุทานออกมาเบาๆ
“เอาเถอะนะครับ เป็นความผิดผมเองที่จู่ๆก็เข้ามาโดยไม่นัดไว้ก่อน แถมผมก็ยังคิดไม่เลยด้วยว่าเขาจะคลาดกันแบบนี้ โดยเฉพาะคุณถึงขนาดไปที่โอดอร์ซึ่งเป็นที่ที่ผมอยู่ด้วย”
“ผมก็ตกใจเหมือนกัน หากว่าคุณทิ้งข้อความเอาไว้ เราก็น่าจะเจอกันได้เร็วกว่านี้”
“จริงๆแล้วผมมาถึงอีวาเพื่อเจอคุณก่อนหน้านั้นอีก”
ซอลจีฮูแต่ได้สับสนขึ้นมา
“แต่หลังจากมาถึงผมก็ถึงรู้ว่าคุณได้เดินทางไปเขตพื้นที่เป็นกลางแล้ว ในตอนนั้นมันไม่มีทางจะเจอคุณได้เลย เพราะงั้นผมก็ได้แต่กลับไปโอดอร์”
“แล้วตอนนั้น…”
“จากนั้นผมก็คิดไว้ว่าจะไปเจอคุณในตอนจบเขตพื้นที่เป็นกลาง แต่แล้วเราก็คลาดกันอีกครั้ง”
ฟิลิปส์ มูเลอร์ยิ้มบางออกมา
“พอถึงขนาดนี้แล้วก็มีความคิดมากมายเข้ามาในหัวผม บางทีอาจจะมีสิ่งมีชีวิตอันสูงส่งที่อ่านเส้นทางแห่งดวงดาวกำลังตั้งใจขัดขวางการเจอกันของเราอยู่”
ตัวตนอันสูงส่งพยายามขัดขวางการเจอกันของพวกเขา… บางทีอาจจะเพราะฟิลิปส์ มูเลอร์เป็นนักเวทย์ทำให้เขาพูดอะไรแบบนี้
แต่ส่วนหนึ่งของซอลจีฮูก็สงสัยเช่นกันว่าทำไมคนระดับนี้ถึงได้อยากจะเจอเขามากนัก
“คุณทำให้ผมสงสัยมาจริงๆว่าทำไมคุณถึงอยากจะเจอผม”
“ก็ไม่ได้มีอะไรมากหรอกครับ”
ฟิลิปส์ มูเลอร์ตอบกลับเบาๆ
“นับตั้งแต่สงครามที่หุบเขา ผมก็อยากจะเจอคุณเป็นการส่วนตัวแล้ว ผมยิ่งมั่นใจมากขึ้นอีกหลังได้ยินข่าวเรื่องค่ำคืนในอีวา แล้วก็…”
ฟิลิปส์ มูเลอร์ได้ขยับแว่นของเขา
“หลังจากได้เห็นการกระทำล่าสุดของผมยิ่งทำให้ผมมีหลายสิ่งที่อยากจะรู้เลย”
ซอลจีฮูเอียงหัวออกมา
เขาไม่ได้คิดว่าการกระทำในช่วงนี้ของเขามีอะไรที่พิเศษเลย
“เมื่อไม่นานมานี้ผมได้ยินมาว่าสมาชิกระดับสูงของสหพันธรัฐได้มาเยือนอีวา”
“ครับ”
“แล้วหลังจากการมาของพวกเขา คุณก็เริ่มเคลื่อนไหวบางอย่างขึ้น”
ซอลจีฮูได้ค่อยๆจ้องมองชายหนุ่มสวมแว่นที่กำลังเปล่งออร่านักวิชาการอยู่ตรงหน้า
หากว่าเป็นสมาชิกวัลฮาลาก็คงเป็นธรรมดาที่พวกเขาจะรู้ แต่หากเป็นคนภายนอกมันยากมาก
“ผมคิดว่ามันอาจจะเพราะปรสิต แต่ผมก็อยากจะได้ยินมันจากคุณอยู่ดี พอจะบอกผมได้ไหม?”
“ก็ไม่ใช่ว่าไม่ได้หรอกครับ แต่มัน… ยาวแล้วก็ซับซ้อนอยู่หน่อย”
“นั่นยิ่งดีเลยครับ”
ดวงตาฟิลิปส์ มูเลอร์เป็นประกายขึ้นพร้อมเท้าคางมองหน้าเขา
“ผมชอบปัญหายากๆมากกว่าเรื่องง่ายๆ”
“ถ้างั้นก็ดีเลยครับ”
ซอลจีฮูกระแอ่มออกมาก่อนเริ่มอธิบาย
เขาได้เริ่มจากการมาเยือนของสหพันธรัฐไปจนถึงเหตุผลที่เขาต้องปล่อยโฮชิโนะ อุราระเป็นอิสระ และพาเธอกลับมาที่นี่
ฟิลิปส์ มูเลอร์ที่ฟังอยู่เงียบๆได้พูดขึ้นเมื่อได้ยินซอลจีฮูอธิบายถึงปรากฏการณ์ประหลาดที่โฮชิโนะ อุราระรู้สึกในตอนนั้น
“โลกแห่งดวงดาว”
“อะไรนะครับ?”
“สติคุณจะพร่ามัว และภาพที่เห็นจะเป็นมุมตรงตลอดไม่ว่าจะมองจากมุมไหน คำอธิบายเหล่านี้ตรงกับโลกแห่งดวงดาวอย่างพอดี”
ซอลจีฮูสับสนขึ้นมา
ไม่ใช่แค่คาซุกิเท่านั้น แต่แม้กระทั่งฟิลิปส์ มูเลอร์ก็ยังคาดเดาถึงสิ่งที่เขาได้ยินได้ทันที
“ยกตัวอย่างแบบนี้นะครับ สมมติว่าโอเดลเล็ต เดลฟีนตรงนี้ทำพลาดในระหว่างเทเลพอร์ต หากว่าเกิดอุบัติเหตุทำให้ตัวเธอไปซ้อนทับอยู่กับก้อนหินบนยอดเขาจะเกิดอะไรขึ้น?”
“…จะเกิดการรวมกันหรอครับ?”
“ไม่ ทั้งคู่จะระเบิด”
โอเดลเล็ต เดลฟีนที่ได้ยินแบบนี้อย่างกระทันหันได้ขมวดคิ้วขึ้น
“นั่นก็เพราะมันขัดกับกฎมวลสารของโลก นั่นมันหมายความว่าโลกไม่ยอมให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น”
โอเดลเล็ต เดลฟีนได้รีบท้วงออกมาว่าทำไมถึงเอาเธอมาเป็นตัวอย่าง แต่ฟิลิปส์ มูเลอร์ก็ยังอธิบายต่อโดยไม่สนใจ
“แน่นอนว่าพื้นที่กับวัตถุไม่อาจจะใช้เหตุผลเดียวกันมาเทียบกันได้ ยังไงก็ตามความจริงที่สิ่งต่างๆจะถูกทำลายเมื่อเกิดการซ้อนทับกันขึ้นก็ยังไม่เปลี่ยนแปลงไป พวกเราเรียกพื้นที่ที่มีการซ้อนทับของโลกกันแบบนี้ว่าโลกแห่งดวงดาว”
ฟิลิปส์ มูเลอร์ได้อธิบายออกมาด้วยประโยคที่กระชับ และเงียบง่ายโดยคำนึงว่าผู้ฟังไม่มีความรู้ในด้านนี้ เพราะแบบนี้ซอลจีฮูก็พอจะเข้าใจสิ่งที่เขาพูดอยู่ได้เล็กน้อย
“ดังนั้นนี่คือวิธีที่กาเลฟคิดขึ้นสินะ ค้นหาช่องว่างระหว่างพื้นที่การซ้อนทับกันเพื่อข้ามไปอีกโลกหนึ่ง มันฟังดูเป็นไปได้ แต่ว่า…”
ฟิลิปส์ มูเลอร์ได้พึมพำกับตัวเองพร้อมลูบคาง
“แนวคิดนี้ดี แต่ว่าการหาช่องว่างแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย เว้นก็แต่คุณจะสามารถมองเห็นทั้งสองโลกที่ซ้อนทับได้พร้อมๆกัน แต่ถึงแบบนั้นมันก็ยังยากมากอยู่ดี”
“เรื่องนี้ผมมีวิธีแล้วครับ”
“หืม?”
“ผมบอกคุณไปแล้ว เรื่องของพี่น้องฮาเลฟไงครับ”
“อ่อ! เดี๋ยวก่อนนะ”
ดวงตาภายใต้แว่นสายตาหรี่เล็กลง
“บางทีเด็กสาวคนนั้น…”
“เธอบอกว่าเธอครอบครองเนตรวิญญาณอยู่ครับ”
ฟิลิปส์ มูเลอร์อุทานขึ้นเบาๆ
มันเป็นเสียงอุทานเบาๆ แต่ดูจากโอเดลเล็ต เดลฟีนที่ตกใจแล้ว มันคงหาได้ยากที่เขาจะอุทานแบบนี้
“…อย่างที่คิดเลย”
ริมฝีปากฟิลิปส์ มูเลอร์โค้งขึ้นเล็กน้อย เขากำลังพยักหน้าด้วยสีหน้าพึงพอใจ
“เริ่มต้นจากเขตพื้นที่เป็นกลาง คุณได้จัดการปัญหาน่ารำคาญทั้งหมดได้เป็นอย่างดี ไม่แปลกเลยที่กู่ลาจะจับตาดูคุณ”
“?”
“เปล่าครับ ไม่มีอะไรหรอก”
ฟิลิปส์ มูเลอร์โบกมือออกมา
“สรุปก็คือคุณกำลังพยายามจะข้ามไปอาณาจักรภูติเพื่อชุบชีวิตต้นไม้โลกเพื่อเตรียมตัวรับมือกับการรุกรานของปรสิตสินะครับ”
“ถูกครับ”
“เยี่ยม เยี่ยมจริงๆ! สมกับที่มีชื่อเล่นว่า ‘นักแก้ปัญหา'”
ซอลจีฮูรู้สึกตัวลอยขึ้นเมื่อได้ยินคำชมจากดาวแห่งความโล�
สมาชิกองค์กรของเขาเองไม่ค่อยเห็นด้วยกับความพยายามของเขา บางคนก็สงสัยว่าเขามีแนวโน้มที่จะพาผู้หญิงเข้ามาในองค์กรเพิ่มเฉยๆเท่านั้น ยังไงก็ตามนักเวทย์ตรงหน้ากลับให้การยอมรับ
“ในเมื่อคุณทำมาถึงขนาดนี้แล้ว- ไม่สิ เดี๋ยวก่อนนะ ผมอยากจะขอให้คุณฟังสามคำขอของผม”
“คำขอ?”
“อย่างแรกผมอยากจะขอให้คุณพาผมไปที่นั่นด้วย ผมรู้ว่าคุณเป็นคนที่เตรียมการทุกอย่าง แต่หากคุณไม่ว่าอะไร ผมก็อยากจะขอตามไปด้วย”
ซอลจีฮูกระทั่งสงสัยหูตัวเอง
ผู้บริหารอยากจะร่วมปฏิบัติการณ์ที่เขาเป็นคนนำทีม?
“โดยส่วนตัวแล้วผมมีความสนใจในโลกแห่งดวงดาว แล้วก็อาณาจักรภูติด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ผมยังมั่นใจว่าผมจะช่วยคุณได้แน่”
นี่มันเป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว เขาเป็นถึงชาวโลกที่ยืนอยู่ในจุดสูงสุดของเวทมนต์ เพียงแค่ว่าคำขอนี้มันกระทันหันจนเขาเชื่อแทบไม่ลง
“จริงหรอครับ? คุณจะมากับเราจริงๆหรอ?”
“ผมไม่ใช่คนชอบพูดเล่นอยู่แล้วครับ ยังไงผมอยากจะได้ยินคำตอบว่าได้ได้ไหมครับ?”
ซอลจีฮูรีบพยักหน้าออกมา
“อย่างที่สอง…”
ทันใดนั้นฟิลิปส์ มูเลอร์ก็วางมือลงบนหัวของโอเดลเล็ต เดลฟีนเงียบๆ
“เฮ้!”
“…คุณช่วยหาสถานที่ให้เด็กคนนี้ได้ไหม?”
ทันใดนั้นโอเดลเล็ต เดลฟีนก็ชูสองนิ้วออกมาราวกับรู้อยู่แล้ว
“ผมอยากแต่งตั้งให้โอเดลเล็ต เดลฟีนทำหน้าที่เป็นหัวหน้าสาขาในอีวา จะที่ไหนก็ได้ครับ ผมอยากจะขอให้คุณช่วยแบ่งที่ดินที่คุณเหลืออยู่ให้เธอ”
“อะไรนะคะ?”
ในตอนนี้เองคิมฮันนาห์ที่ฟังอยู่เงียบๆมาตลอดได้พูดแทรกขึ้นมา
“แน่นอนค่ะ! ได้อย่างแน่นอน!”
“ดีเลยครับ แม้ว่าการตัดสินใจสุดท้ายจะเป็นของตัวแทนก็ตาม”
ฟิลิปส์ มูเลอร์ได้ตอบกลับไป แต่ว่าสายตาของเขาก็ยังคงจ้องอยู่ที่ตัวแทนของวัลฮาลา
ทันใดนั้นซอลจีฮูก็รู้สึกว่าคิมฮันนาห์กำลังสะกิดหลังของเขาอยู่ เขาไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงมีท่าทีแบบนี้ แต่เขาก็คิดว่าการมีสาขาของสมาคมนักเวทย์อยู่ในเมืองเป็นเรื่องดีกับอีวา
‘แต่ทำไมเธอสะกิดแรงแบบนั้นล่ะ?’
โอเดลเล็ต เดลฟีนเม้มปากแน่นพร้อมมองซอลจีฮู จากนั้นเธอก็พูดออกมาโดยที่พยายามกลั้นขำเอาไว้
“มันก็แค่ฉากหน้าสำหรับเรานั่นแหละ”
ทันใดนั้นซอลจีฮูก็เข้าใจ ในที่สุดเขาก็รู้แล้วว่าทำไมฟิลิปส์ มูเลอร์ถึงได้เอาเรื่องการตั้งสาขาในอีวาขึ้นมาพูด
หากว่าสมาคมนักเวทย์ก่อตั้งสาขาในอีวา สาขานี้ก็จะอยู่ภายใต้ร่มเงาขององค์กรตัวแทนเมืองนี้ พร้อมทั้งยังคงอยู่ในเครือของสมาคมอีกด้วย ดังนั้นแล้ววัลฮาลาก็จะมีเส้นสายโดยตรงกับสมาคมนักเวทย์ที่ตั้งอยู่ในโอดอร์
จากนั้นหากมีเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นในอีวา สมาคมนักเวทย์ก็จะมีเหตุผลมากพอให้เข้ามาแทรกแซง ยกตัวอย่างเช่นหากมีสงครามปะทุขึ้น สมาคมนักเวทย์ก็จะส่งกองกำลังเข้ามาด้วยข้ออ้างของการปกป้องสาขา
‘เพื่อลดความขัดแย้งภายในให้น้อยลงที่สุดสินะ’
ซอลจีฮูกลายเป็นพูดไม่ออกอยู่สักพัก
เขาควรจะวางตัวยังไงดีล่ะ นี่มันเป็นความรู้สึกที่ไม่คุ้นเลย มันเหมือนกับว่าเขาได้รับของขวัญที่ต้องการมานานโดยไม่ได้ขอเลย
‘มาจนถึงตอนนี้ฉันได้ฝ่าอุปสรรคมาด้วยตัวเอง…’
แต่แล้วพวกเขากลับยื่นมือเข้ามาช่วยด้วยตัวเอง เพราะมันเป็นครั้งแรกเลยทำให้เขาอดจะรู้สึกสงสัยขึ้นมาไม่ได้
เมื่อเห็นซอลจีฮูยังเงียบอยู่ ฟิลิปส์ มูเลอร์ก็ขบริมฝีปาก
“เหตุผลที่เราต้องการพื้นที่ของเราก็เพื่อขยายขอบเขตการทำงานของสมาคมโดยคำนึงถึงแผนการในอนาคตของคุณ แน่นอนว่าผมก็ไม่ปฏิเสธว่าเราก็ได้รับผลประโยชน์ด้วยเช่นกัน แต่ผมก็ไม่คิดว่าคุณจะไม่เข้าใจความตั้งใจจริงของผมหรอกนะ”
“…ผมเข้าใจครับ”
ซอลจีฮูพูดออกมาด้วยน้ำเสียงแหบแห้งเล็กน้อย
“มันก็แค่ว่าผมคาดไม่ถึงเล็กน้อย ไม่สิ คาดไม่ถึงเลยสักนิดมากกว่า”
“…คาดไม่ถึง? คุณคิดจะทำทั้งหมดนี่ด้วยตัวเองเลยหรอครับ?”
“…”
ซอลจีฮูไม่ได้ตอบ
“หืม คุณเป็นคนประเภทเดียวกันกับอีวาเกลีน โรสงั้นหรอ? คุณดูไม่ใช่แบบนั้นเลยนะ”
ฟิลิปส์ มูเลอร์ส่ายหัว และพูดต่อ
“ไม่ต้องขอบคุรผมหรอกครับ อย่างที่ผมพูดไป ทุกๆอย่างมันเป็นไปได้ก็เพราะแผนที่คุณสร้าง นอกไปจากนี้ยังมีอีกหนึ่งคำขอที่คุณยากจะยอมรับด้วย”
“คำขอที่สามสินะครับ”
“อืม มีเรื่องที่ผมต้องบอกกับคุณไว้ก่อนเลย มันอาจจะฟังดูคิดลบไปหน่อย แต่ผมเชื่อว่าเราจำเป็นต้องคำนึงถึงสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดเอาไว้ด้วย โดยเฉพาะยิ่งในสถานการณ์ที่มีความเหลื่อมล้ำระหว่างมนุษยชาติกับปรสิตมากขนาดนี้”
“สถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด คุณหมายถึง…”
“ผมไม่ได้จะพูดเรื่องที่เกินจริงหีอกครับ เพราะงั้นอย่าได้เข้าใจผิด แผนของคุณเป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมที่มนุษยชาติจะช่วยสหพันธรัฐได้จริงๆ แต่ว่าผมก็ไม่มั่นใจว่ามันจะใช้กับปรสิตได้ผลมากแค่ไหน”
“…”
“พูดตามตรงผมไม่คิดว่าราชินีปรสิตจะอยู่นิ่งเฉยปล่อยให้เราไปช่วยอาณาจักรภูติได้ เธอคงจะวางแผนอะไรสักอย่างเอาไว้แล้วด้วย และกระทั่งเราชุบชีวิตต้นไม้โลกสำเร็จ เราก็จำเป็นต้องคิดว่าจากนั้นป้อมปราการไทกอลจะยืนหยัดต่อไปได้หรือเปล่าด้วย”
ความตื่นเต้นของซอลจีฮูได้ค่อยๆลดลงไป
“ต่อให้ทุกๆอย่างเป็นไปตามแผนของคุณ แต่ท้ายที่สุดเราก็ไม่รู้เลยว่ามันจะเป็นชัยชนะของเราหรือเปล่า ในตอนนี้มันไม่มีอะไรที่เรามั่นใจได้เลย”
เขาพูดถูก ความเหลื่อมล้ำระหว่างมนุษย์กับปรสิตมันมีมากจนเกินไป ถึงมันจะฟังดูแย่ แต่ก็เป็นความจริงที่ต้องยอมรับ
“แบบนั้นแล้วเราก็ต้องดิ้นรนอย่างสุดกำลังเพื่อซื้อเส้นเพิ่มให้ได้สักหน่อย แต่…”
ฟิลิปส์ มูเลอร์ได้ถามออกมาพร้อมเคาะที่เท้าแขน
“อีวาจะเข้าร่วมสงครามครั้งนี้หรือเปล่า?”
“แน่นอนครับ”
“เยี่ยม สำหรับโอดอร์ก็จะร่วมด้วยในเมื่อผมเป็นคนดูแลที่นั่นอยู่ นอกจากนี้ผมก็จะไปคุยกับดาวแห่งความพิโรธกับอัตตาให้ด้วย”
“อีกสองดวงดาว… คุณคิดว่าพวกเขาจะช่วยไหม?”
“ผมรับประกันอะไรไม่ได้ สนามรบไม่ใช่อาณาเขตของมนุษยชาติ แต่เป็นของสหพันธรัฐ ถึงแบบนั้นแผนที่คุณเตรียมการไว้มันก็คุ้มค่าที่จะลองดูอยู่ดี”
ไม่ว่ายังไงทั้งคู่ก็เป็นอัครสาวกของเทพ ฟิลิปส์ มูเลอร์ได้อธิบายไว้ว่าตราบใดที่พวกเขายังคงมีเป้าหมายเดียวกันกับเทพที่รับใช้อยู่ พวกเขาก็จะเข้าร่วมด้วยหากสถานการณ์ไม่ได้หมดสิ้นความหวัง
เขายังเสริมอีกด้วยว่าพวกเขายังคาดหวังความช่วยเหลือจากอีกสองราชวงศ์ได้อีกด้วย
ซอลจีฮูไม่ได้หวังความช่วยเหลืออะไรอีกแล้ว แต่ว่าฟิลิปส์ มูเลอร์ก็ยังพูดไม่จบ
“ปัญหาคือที่ฮารามาร์ค”
“ผมพอจะโน้มน้ามพวกเขาได้”
“ทางราชวงศ์อาจจะได้ แต่ผมกำลังพูดถึงซิซิเลียอยู่”
สีหน้าฟิลิปส์ มูเลอร์ได้เคร่งขรึมยิ่งขึ้น