ตอนที่ 249 คำขู่ของหุบเขาหงส์ร่วง

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

หลังจากออกจากหมู่บ้านจันทราแล้ว ฉินอวี้โม่พร้อมด้วยเสี่ยวเหยียนก็เดินทางมุ่งลงใต้กันในทันที

แม้ว่าจุดหมายปลายทางของนางคือลู่ต้า ฐานที่มั่นของกลุ่มเสื้อคลุมทมิฬ แต่การจะเดินทางจากหมู่บ้านจันทราไปที่นั่นจะต้องใช้เส้นทางอ้อมโดยต้องมุ่งลงไปทางใต้ก่อนเป็นอันดับแรก

จุดหมายแรกของพวกนางก็คือเมืองลั่วหยางซึ่งอยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้านจันทรา

“พี่อวี้โม่ ข้ารู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีเหมือนกับว่ากำลังจะมีเรื่องร้าย ๆ เกิดขึ้น”

เสี่ยวเหยียนที่อยู่ข้าง ๆ ฉินอวี้โม่รู้สึกใจคอไม่ค่อยดีนัก นางกล่าวขึ้นมาอย่างเป็นกังวล

หลังจากที่ทั้งสองออกจากหมู่บ้านจันทรามา ความรู้สึกไม่สบายใจก็เริ่มเกาะกุมหัวใจของนางจนมันเริ่มหนักอึ้ง สาวน้อยรู้สึกว่ากำลังจะเกิดเรื่องไม่ดีบางอย่างขึ้น

แต่น่าเสียดายที่นางไม่สามารถรับรู้ได้เลยว่ามีอะไรเกิดขึ้น

ณ ตอนนี้พวกนางเดินทางออกมาจากหมู่บ้านจันทราได้สามวันและอยู่ระหว่างการเดินตัดผ่านป่าแห่งหนึ่ง ด้านหน้าของพวกนางไม่ไกลนักจะเป็นอาณาเขตของเมืองลั่วหยาง

ตลอดการเดินทาง พวกนางอยู่บนหลังของเจ้าเสืออัคคี ความเร็วในการเดินทางของมันถือว่าค่อนข้างน่าประทับใจ

บริเวณที่พวกนางอยู่ในตอนนี้ถือได้ว่าเงียบสงบเป็นอย่างยิ่ง ตลอดทางพวกนางไม่เคยพบเจอผู้ใด

หลังจากได้ยินที่เสี่ยวเหยียนพูด ฉินอวี้โม่ก็ตกใจไม่น้อย

หรือว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับหมู่บ้านจันทรา ?

ทว่าก่อนจะออกมา นางได้มอบอสูรมายามากมายเพื่อให้ชาวบ้านได้ทำพันธสัญญา หากคิดกันตามเหตุและผลก็ไม่น่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับหมู่บ้านได้ง่าย ๆ

“พี่อวี้โม่ ทำไมเราไม่ลองกลับไปหมู่บ้านจันทราเพื่อดูอีกสักครั้งล่ะ ? ข้ารู้สึกเหมือนกับว่ามีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นที่นั่น”

เสี่ยวเหยียนที่รู้สึกกระวนกระวายใจอย่างมากเอ่ยปากแนะให้ฉินอวี้โม่กลับไปดูหมู่บ้านอีกสักครั้ง

เมื่อเห็นคิ้วน้อย ๆ ที่ขมวดย่นอยู่บนใบหน้าที่ดูกังวลของเสี่ยวเหยียน ฉินอวี้โม่ก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้า

ในตอนนี้พวกนางยังอยู่ห่างจากหมู่บ้านจันทราไม่มาก ในเมื่อเสี่ยวเหยียนเป็นกังวลถึงเพียงนั้น การจะกลับไปดูเพื่อให้เกิดความสบายใจก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร

ยิ่งกว่านั้น ฉินอวี้โม่เองก็คิดอยู่ตลอดว่าเหมือนตัวนางจะลืมอะไรไปสักอย่าง แต่ไม่ว่าจะนึกอย่างไรก็นึกไม่ออกเสียที

อย่างไรก็ตาม ยังไม่ทันจะได้เดินทางกลับ ฉินอวี้โม่ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของคนหลายคนกำลังมุ่งตรงมาที่พวกนางอย่างรวดเร็ว

“ฮ่า ๆ ๆ พวกเจ้าทั้งสองคนคงจะเป็นฉินอวี้โม่และเสี่ยวเหยียนสินะ”

เสียงเสียงหนึ่งดังขึ้นมา จากนั้นกลุ่มคนที่เป็นบุรุษล้วนจำนวนเจ็ดถึงแปดคนก็ปรากฏตัวขึ้นใกล้ ๆ ฉินอวี้โม่และเสี่ยวเหยียน

บุรุษเหล่านี้สวมชุดสีน้ำเงิน แม้ว่ารอยยิ้มบนใบหน้าจะดูอ่อนโยน ทว่ากลับไม่ทำให้รู้สึกถึงความเป็นมิตร มันเหมือนกับรอยยิ้มของผู้ที่คิดว่าตนเองสูงส่งกว่าอีกฝ่ายมากกว่า

“พวกเจ้าคือ… ?”

เมื่อเห็นคนเหล่านั้น ฉินอวี้โม่ก็เกิดลางสังหรณ์ที่ไม่ดีขึ้นมา

คนที่รู้จักชื่อทั้งตัวนางและเสี่ยวเหยียนในดินแดนแห่งนี้ควรจะมีอยู่หยิบมือและส่วนมากก็เป็นชาวบ้านจันทราทั้งสิ้น การที่คนเหล่านี้รู้จักชื่อของพวกนางนั่นก็แสดงว่าต้องมีอะไรเกิดขึ้นกับหมู่บ้านแน่!

สีหน้าของฉินอวี้โม่แปรเปลี่ยนไปอย่างใหญ่หลวง รังสีสังหารอันเข้มข้นค่อย ๆ กระจายออกมาจากร่างของนาง

เมื่อรับรู้ได้ถึงจิตสังหารที่รุนแรงจากร่างของอีกฝ่าย กลุ่มชายหลายคนที่เพิ่งปรากฏตัวขึ้นก็ตกใจจนชะงักงันไป ใบหน้าอันภาคภูมิที่ใช้มองฉินอวี้โม่ก่อนหน้านี้ซีดลงไปถนัดตา

“ฮ่า ๆ ๆ  พวกเรามาจากหุบเขาหงส์ร่วง ข้ามาหาเจ้าก็เพื่อจะมอบของสิ่งนี้ให้”

ชายผู้นั้นสูดลมหายใจเข้าลึก ยิ้มอ่อน ๆ ออกมาก่อนจะนำของบางอย่างออกมาจากแหวนมิติแล้วโยนไปทางฉินอวี้โม่และเสี่ยวเหยียน

ฉินอวี้โม่คว้าของสิ่งนั้นไว้

“นี่คือป้ายประจำตัวของหัวหน้าหมู่บ้าน !”

เสี่ยวเหยียนที่เห็นสิ่งของในมือของฉินอวี้โม่ก็อุทานออกมาด้วยอาการตกใจ ใบหน้าของนางดูเหมือนกับคนเสียขวัญอย่างหนัก

เมื่อได้ยินที่เสี่ยวเหยียนพูด สีหน้าของฉินอวี้โม่ก็เปลี่ยนไปเช่นกัน

ทันใดนั้นเอง เสี่ยวเหยียนก็รู้สึกถึงกระแสลมที่ผ่านร่างไปก่อนจะเห็นพี่สาวที่เคยอยู่ข้าง ๆ ไปปรากฏตัวตรงหน้าบุรุษกลุ่มนั้นราวกับผีสาง

“บอกมาว่าพวกเจ้าทำอะไรลงไป ?!”

ร่างของฉินอวี้โม่ปลดปล่อยกลิ่นอายสังหารออกมาอย่างรุนแรงยิ่งกว่าเดิม น้ำเสียงฟังดูเย็นชาจนแทบจะแช่แข็งหัวใจของอีกฝ่าย

“ฉินอวี้โม่ อย่าสามหาว มิฉะนั้นคนของผู้บ้านจันทราจะไม่มีจุดจบที่ดีแน่!”

แม้จะตวาดอีกฝ่ายกลับไป ทว่าสีหน้าของคนที่เป็นผู้นำกลุ่มก็เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน แววตาที่จ้องมองฉินอวี้โม่เต็มไปด้วยอาการตื่นตระหนก

เขาไม่คิดเลยว่าฉินอวี้โม่จะแข็งแกร่งและน่ากลัวถึงเพียงนี้ แค่จะยืนอยู่ใกล้ ๆ และทนต่อสภาวะพลังอันรุนแรงของนางก็ยากมากแล้ว

“หุบปาก! รีบบอกข้ามาว่ามันเกิดอะไรขึ้น ไม่เช่นนั้นวันนี้พวกเจ้าก็ต้องตายอยู่ที่นี่ !”

ฉินอวี้โม่สาดวาจาเย็นชาพลางปลดปล่อยสภาวะพลังออกมาอย่างไม่ปกปิด จิตสังหารอันแรงกล้ายังคงเกาะกุมร่างของอีกฝ่าย

แม้ว่านางจะรู้จักกับคนในหมู่บ้านจันทราได้ไม่นาน แต่ความประทับใจที่มีต่อพวกเขาก็ถือว่ายากจะลืมเลือน ถ้าหุบเขาหงส์ร่วงกล้าทำอะไรพวกเขา นางจะไม่ลังเลเลยที่จะทำให้พวกหุบเขาหงส์ร่วงรู้ว่าเลือดต้องล้างด้วยเลือด

เมื่อได้ยินคำพูดของฉินอวี้โม่ บุรุษเหล่านั้นก็สะดุ้งโหยงพลางก้าวถอยหลังไปด้วยความหวาดกลัวตามสัญชาตญาณ

แรงกดดันจากพลังของฉินอวี้โม่รุนแรงเกินไป พวกเขาเองก็มิใช่ยอดฝีมือที่แข็งแกร่งมากมายอะไร ในตอนนี้แม้แต่การก้าวขาพวกเขาก็ยังทำได้อย่างยากลำบาก

แรงกดดันที่รุนแรงถึงเพียงนี้ เกิดมาพวกเขาก็เพิ่งจะเคยพบเคยเห็น แม้แต่ตอนที่ยืนอยู่ต่อหน้าของผู้นำหุบเขา พวกเขาก็ยังไม่กดดันมากถึงเพียงนี้เลย

“ฉินอวี้โม่ อย่าคิดทำอะไรโง่ ๆ ถ้าเจ้ากล้าแตะต้องพวกเรา ชาวหมู่บ้านจันทราทั้งหมดจะต้องตาย!”

บุรุษที่เป็นผู้นำกัดฟันกล่าววาจาข่มขู่ฉินอวี้โม่

“เหอะ หากฆ่าพวกเจ้าทั้งหมดทิ้งเสียที่นี่ กว่าหุบเขาหงส์ร่วงจะรู้เรื่องนี้ ข้าก็คงจัดการพวกมันจนสิ้นซากไปแล้ว”

ฉินอวี้โม่ไม่สนใจคำขู่ หากว่านางไม่ได้ข้อมูลจากพวกเขาก็สู้ฆ่าทิ้งไปเสียดีกว่าปล่อยให้กลับไปแจ้งข่าวที่ขุมกำลัง

ทันทีที่เสียงของฉินอวี้โม่เงียบลง หลินหยาก็ปรากฏตัวออกมายืนอยู่ข้างกายนางพลางปลดปล่อยพลังอันรุนแรงกดดันคนกลุ่มนั้นอย่างไม่รอช้า

เมื่อรู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่น่าเกรงขามของมังกรอัสนี ใบหน้าของคนกลุ่มนั้นก็ซีดเผือด แข้งขาอ่อนแรงจนแทบยืนไม่อยู่

เดิมทีคิดว่างานส่งข่าวครั้งนี้คงเป็นงานที่ง่ายดาย แต่ไม่คิดเลยว่ากลับต้องมาเผชิญหน้ากับพญามัจจุราชเช่นนี้

ดูเหมือนว่าถ้าวันนี้ไม่พูดก็คงได้กลายเป็นผีเฝ้าที่นี่อย่างแน่นอน

“รีบบอกนางไปเถิดหัวหน้า ไม่เช่นนั้นนางต้องฆ่าพวกเราหมดแน่!”

ชายคนหนึ่งมองฉินอวี้โม่ด้วยแววตาตื่นตระหนกก่อนจะหันไปกล่าวกับผู้นำกลุ่มอย่างเสียขวัญ

ชายผู้ที่ถูกเรียกว่าหัวหน้าที่กำลังยืนหน้าซีดรีบพยักหน้าทันที

“เมื่อสามวันก่อน คุณชายรองจูฉีมาที่หุบเขาของเรา ข้าไม่ทราบว่าพวกเขากล่าวอะไรกับท่านผู้นำแต่หลังจากนั้นท่านผู้นำก็สั่งการให้โจมตีหมู่บ้านจันทราทันที”

สีหน้าของฉินอวี้โม่เปลี่ยนไปอีกครั้ง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเหตุใดนางถึงรู้สึกเหมือนกับว่านางลืมบางอย่างไป ที่แท้ก็เป็นบุรุษน่าฆ่าให้ตายนามจูฉีนั่นเอง นางคิดอยู่แล้วว่าสักวันคนผู้นี้จะต้องนำเรื่องมาให้นางอีกแน่

ไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายจะไร้ยางอายถึงขั้นกล้าจับชาวบ้านเป็นตัวประกัน

การที่เจอนางบริเวณนั้นคงทำให้อีกฝ่ายคิดว่านางมาจากหมู่บ้านจันทรา ถึงได้กล้าตัดสินใจเช่นนั้น

ตอนนี้มือของฉินอวี้โม่กำแน่น จิตสังหารพวยพุ่งออกมาอย่างไร้ขีดจำกัด

ที่นางยอมปล่อยอีกฝ่ายไปเพราะไม่อยากมีปัญหาตามมา คิดไม่ถึงว่าจูฉีผู้นี้ยังกล้ากลับมาสร้างเรื่องให้นาง เช่นนี้แล้วหากนางจะตัดปัญหาด้วยวิธีรุนแรงก็อย่ามาตำหนินางก็แล้วกัน

มันไม่ใช่เพราะว่านางไม่กลัวหรืออยากเผชิญหน้ากับขุมกำลังพญายม แต่นางไม่สามารถปล่อยคนที่คิดร้ายกับคนใกล้ตัวไว้ได้จริง ๆ

“ตอนนี้ชาวบ้านเป็นอย่างไรบ้าง ?”

น้ำเสียงของฉินอวี้โม่ยังคงเย็นยะเยือก สิ่งที่นางเป็นกังวลที่สุดก็คือความปลอดภัยของชาวบ้าน ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับชาวบ้าน เห็นทีหุบเขาหงส์ร่วงคงจะได้นองเลือด

“พวกเขาปลอดภัยดี ตอนนี้คงถูกนำตัวไปที่หุบเขาแล้ว มีบางคนบาดเจ็บเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น ไม่มึผู้ใดถึงตาย”

เมื่อสัมผัสได้ถึงเจตจำนงแห่งการสังหารของฉินอวี้โม่ พวกเขาก็ไม่กล้าจะปกปิดอะไรอีกต่อไป ตอนนี้ที่ทำได้คือตอบแต่ความจริงออกไปเท่านั้น

“ไสหัวไป! บอกผู้นำของพวกเจ้ารวมถึงจูฉีด้วยว่า ข้าจะไปที่หุบเขาหงส์ร่วง ให้พวกเขารอข้าได้เลย!”

ฉินอวี้โม่กล่าววาจาเย็นชา ในเมื่อได้ข้อมูลที่ต้องการแล้วนางก็ไม่คิดจะฆ่าคนเหล่านี้อีก

เมื่อเสียงของฉินอวี้โม่เงียบลง คนกลุ่มนั้นก็หันหลังวิ่งหนีทันที พวกเขาหายไปจากสายตาของนางอย่างรวดเร็ว

“ท่านพี่จะปล่อยพวกเขาไปเช่นนี้จริง ๆ หรือ ?”

ใบหน้าของเสี่ยวเหยียนเต็มไปด้วยความกังวล ฉินอวี้โม่ปล่อยอีกฝ่ายกลับไปอย่างง่ายดายจนนางอดสงสัยไม่ได้

“ถึงจะสังหารคนพวกนั้นไปก็เปล่าประโยชน์ เจ้าไม่ต้องกลัวหรอกว่าพวกมันจะกลับไปแจ้งข่าว เพราะการที่จะส่งคนพวกนี้มาแสดงว่าทางหุบเขาหงส์ร่วงคงเตรียมกับดักไว้รอพวกเราอยู่แล้ว จะปล่อยหรือฆ่าผลก็ไม่ต่างกัน แต่การที่พวกมันกล้าส่งคนมาขู่ข้าถือว่ารนหาที่ตาย”

จนถึงตอนนี้น้ำเสียงของฉินอวี้โม่ก็ยังคงฟังดูเย็นชาจนน่ากลัว

ในเมื่อจูฉีกล้าทำถึงขั้นนี้ก็ต้องเตรียมใจไว้เช่นกัน ส่วนหุบเขาหงส์ร่วง ในเมื่อเลือกเข้าข้างจูฉีและหันคมดาบเข้าหาคนของนาง นางก็ไม่คิดจะปล่อยไปเฉย ๆ

“พี่อวี้โม่ ในเมื่อรู้ว่าพวกเขาเตรียมพร้อมไว้หมดแล้ว แล้วท่านยังจะไปอีกหรือ ?”

ยิ่งได้ฟังที่ฉินอวี้โม่พูด เสี่ยวเหยียนก็ยิ่งกังวลมากขึ้น หากที่พี่สาวพูดมาเป็นความจริง การบุกไปที่นั่นก็ไม่ต่างจากกระโดดเข้ากองไฟ

“เสี่ยวเหยียน คนในหมู่บ้านจันทราไม่ต่างจากญาติพี่น้องข้า ในเมื่อพวกเขาถูกจับตัวไป ต่อให้ต้องบุกเข้าถ้ำเสือหรือรังมังกร ข้าก็ต้องไปช่วยพวกเขาให้ได้”

ฉินอวี้โม่มองเสี่ยวเหยียนพลางกล่าววาจาที่แน่วแน่

ตอนนี้ในใจนางเห็นชาวบ้านจันทราไม่ต่างจากญาติพี่น้อง ยิ่งกว่านั้นที่ทุกคนต้องเจอเรื่องเช่นนี้ก็เป็นเพราะนาง นางจำเป็นต้องไปสะสางเรื่องทั้งหมดด้วยตัวเอง

“เช่นนั้น ข้าก็จะไปกับท่านด้วย”

เสี่ยวเหยียนพยักหน้าก่อนจะกล่าวอย่างแน่วแน่

“ไม่ได้ ข้าจะไปส่งเจ้าที่เมืองลั่วหยางก่อน เจ้ารอข้าอยู่ที่นั่น ข้าจะไปช่วยชาวบ้านและสะสางทุกอย่างเอง หลังจากที่ทุกอย่างจบลงข้าจะรีบไปหาเจ้า”

ฉินอวี้โม่ส่ายศีรษะปฏิเสธ

พลังของเสี่ยวเหยียนยังอ่อนแอเกินไป การพานางไปด้วยนอกจากจะไม่ช่วยอะไรแล้วยังทำให้ทุกอย่างยุ่งยากขึ้นด้วย หากลงมือคนเดียวนางจะสะดวกมากกว่า

แน่นอนว่าเสี่ยวเหยียนเข้าใจความหมายของฉินอวี้โม่ดี นางทำได้เพียงพยักหน้ารับอย่างจำยอม  อย่างไรก็ตาม นางก็ตั้งมั่นในใจไว้แล้วว่าจะต้องฝึกให้หนักเพื่อในภายภาคหน้าจะได้ไม่เป็นภาระของพี่สาวคนนี้อีก

หลังจากผ่านไปอีกหนึ่งชั่วยาม เมืองลั่วหยางก็ปรากฏต่อหน้าฉินอวี้โม่และเสี่ยวเหยียน

พวกนางรีบมุ่งตรงไปยังโรงเตี๊ยมที่ใหญ่ที่สุดในเมืองก่อนจะขอเช่าห้องพัก

“เจ้าคอยปกป้องเสี่ยวเหยียนไว้ดี ๆ เดี๋ยวข้าจะรีบกลับมา”

ฉินอวี้โม่กล่าวกำชับชายวัยกลางคนซึ่งเป็นร่างมนุษย์ของเสืออัคคีเพื่อให้ปกป้องเสี่ยวเหยียนไว้

“ท่านพี่ให้เสืออัคคีไปกับท่านเถอะ มันจะช่วยท่านได้มาก”

อย่างไรก็ตาม เสี่ยวเหยียนกลับรู้สึกว่าฉินอวี้โม่ควรจะพาเสืออัคคีไปด้วยมากกว่า ถึงอย่างไรความแข็งแกร่งของมันก็ไม่มีผู้ใดมองข้ามได้

“ไม่จำเป็น ให้มันอยู่ปกป้องเจ้า เช่นนั้นข้าจะวางใจได้มากกว่า”

ฉินอวี้โม่ส่ายศรีษะ นอกจากเสืออัคคีแล้วนางยังมีไพ่ตายในมืออีกมากซึ่งต่างจากเสี่ยวเหยียนที่อยู่ตัวคนเดียว

“เช่นนั้นข้าจะรอพี่กลับมา”

เสี่ยวเหยียนพยักหน้าพลางจับมือฉินอวี้โม่ขึ้นมากุมไว้อย่างทะนุถนอม

“ข้าจะรีบกลับมา เจ้าเองก็ดูแลตัวเองด้วย”

ฉินอวี้โม่พยักหน้าก่อนจะรีบออกไปจากโรงเตี๊ยมอย่างรวดเร็ว นางพุ่งตรงไปยังทิศทางที่หุบเขาหงส์ร่วงตั้งอยู่ด้วยความเร็วสูงสุด

.