ภาค 3 ธาตุแท้ของวีรบุรุษ บทที่ 255 พยายามเพื่ออนาคตสุดกำลัง

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

ชั่วขณะหนึ่งสายตาของทุกคนต่างมองมาทางเยี่ยนจ้าวเกอ

สีหน้าท่าทางเยี่ยนจ้าวเกอสงบนิ่ง กล่าวด้วยความจริงจัง “ข้าจะตั้งมหาค่ายกลแดนมารของที่นี่ขึ้นใหม่”

ครั้นพูดเช่นนั้นออกไป เขาเห็นฝูงชนได้แต่มองหน้ากันเลิ่กลั่ก

ในแววตาสือเถี่ยเองเผยแววประหลาดใจออกมาเล็กน้อยเช่นกัน ทว่าก็สงบนิ่งลงอย่างรวดเร็ว ก่อนจะกล่าวถาม “เมื่อครู่เจ้าบอกว่ามีอันตราย อันตรายนั่นหมายถึงอะไร? จะให้ข้าช่วย ต้องการให้ข้าทำสิ่งใดหรือ?”

เยี่ยนจ้าวเกอเอ่ยตอบฉับไว “สร้างมหาค่ายกลแดนมารของที่นี่อีกครั้ง ใช้ประโยชน์จากค่ายกลนำพา ลากไอมารที่ถูกส่งไปยังเกาะนภาใต้ก่อนหน้า กลับมาที่นี่อีกครา”

สือเถี่ยได้ยินดังนั้นก็ไม่ได้พูดแทรก มองดูเยี่ยนจ้าวเกออย่างสงบนิ่ง รอชายหนุ่มพูดต่อไป

“ทำเช่นนี้ แก้ไขวิกฤตทางเกาะนภาใต้นั้นก่อน จากนั้นค่อยจัดการตรงหน้าพวกเราอีกที” เยี่ยนจ้าวเกอกล่าวต่อ “ให้ข้าเป็นผู้ควบคุม ขณะเดียวกันก็จำเป็นต้องให้ยอดฝีมือระดับท่านอาจารย์ลุงใหญ่ลงมือ ใช้เจตจำนงหมัดของท่าน ผนึกกั้นการเปิดออกของประตูนพยมโลกที่นี่ไว้อีกครั้ง”

“ความเสี่ยงอันตรายอยู่ที่ไม่สามารถทำลายศูนย์กลางมหาค่ายกลแดนมารล่วงหน้าได้ ประตูนพยมโลกจะเปิดออกอย่างแท้จริงชั่วเสี้ยววินาที และถ้าหากไม่ปิดผนึกทันที กระนั้นนพยมโลกก็เป็นไปได้ที่จะมาถึงจริงๆ”

เยี่ยนจ้าวเกอกล่าว “หากเป็นเช่นนั้น พวกเราก็เท่ากับว่าอยู่ระหว่างเลวร้ายกับเลวร้ายยิ่งกว่า หากเลือกประการแรก พวกเราต้องหลั่งเลือดรบที่นี่ สกัดกั้นมารร้ายนพยมโลกที่รุกรานแปดพิภพไว้ ยื้อเวลาให้ยอดฝีมือคนอื่นๆ จากสำนักเรามาเสริมกำลัง”

สือเถี่ยมองเยี่ยนจ้าวเกอลึกล้ำแวบหนึ่ง “หัวใจสำคัญไม่ได้อยู่ที่ข้า มหาปรมาจารย์ขั้นรูปญาณคนไหนๆ ก็ล้วนทำได้ หากแต่หัวใจสำคัญนั้นอยู่ที่เจ้า”

ชายหนุ่มพยักหน้า เอื้อนเอ่ยสงบเงียบ “ข้ามั่นใจอยู่เจ็ดส่วน”

“เจ็ดส่วน?” สือเถี่ยกล่าวซ้ำอีกรอบ แล้วจึงเอ่ย “มีเจ็ดส่วนจริง เช่นนั้นก็เพียงพอแล้ว พวกเราลงมือ!”

เยี่ยนจ้าวเกอมองไปทางฝูงชนด้านข้าง “ท่านผู้อาวุโสทุกท่านโปรดยึดตามแผนที่ข้าได้กล่าว พวกเราตั้งค่ายกลขึ้นใหม่ให้เร็วที่สุด บัดนี้เวลากระชั้นอย่างยิ่งยวด”

มหาปรมาจารย์กว่างเฉิงกลุ่มหนึ่งสบตากัน ก่อนจะมองเยี่ยนจ้าวเกอ แล้วมองสือเถี่ย แล้วทอดถอนใจขานรับปากอย่างไม่อินังขังขอบ

ถึงแม้จะหวาดระแวงและเป็นกังวลอยู่ในใจสักเพียงใด ทว่าตอนนี้เวลาคับขันนัก พวกเขาไม่มีเวลาจะลังเลแล้ว

เพราะหากเสียเวลาอีกเพียงน้อยนิด นพยมโลกก็จะมาถึงบนพื้นดินอุดมสมบูรณ์เป็นหมื่นลี้ของเกาะนภาใต้ที่ไร้การเตรียมป้องกันแม้แต่น้อย

ไม่นานนัก ตามเสียงตะโกนทุ้มต่ำของเยี่ยนจ้าวเกอ “เริ่ม!” ลวดลายค่ายกลสีดำหลากสายก็ปรากฏเห็นอยู่บนผืนดินกว้างในชั่วพริบตา

อาคมนับไม่ถ้วนเวียนวน แสงสีดำพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า แปรสภาพเป็นไอหมอกสีดำเป็นกลุ่มก้อน บดบังท้องฟ้าอาทิตย์

สายฟ้าแลบสีแดงโลหิตในหมอกดำกระหน่ำฟาดลงไม่หยุด เศร้ารันทดเขย่าขวัญ ส่วนลวดลายค่ายกลสีดำเปล่งแสงสุกสกาวมืดครึ้ม ให้ความรู้สึกประเภทคร่ำเครอะสุดจะทนแก่ผู้คน

พลังปราณน่าพรั่นใจปรากฏจำนวนมากอีกครั้ง ไม่ให้ความรู้สึกชั่วร้ายแก่ผู้คน แต่กลับทำให้จิตใจผู้คนว้าวุ่น ยากสงบจิตสงบใจ

พลังอันแปลกประหลาด คล้ายกับปลุกความปรารถนา ความคิดชั่วร้ายและความยึดติดที่ซ่อนอยู่ลึกที่สุดในก้นบึ้งจิตใจของทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ตลอดเวลา อีกทั้งสุมมันให้ทวีคูณไม่หยุดยั้ง

บริเวณใจกลางค่ายกลแสงดำ เจดีย์สูงสีทององค์หนึ่งยกสูงขึ้นจากพื้นดิน ขณะแสงทองปรากฏมากมาย ราวกับมีชีวิตเป็นของก็ไม่ปาน ก่อตัวยกสูงไม่หยุดยั้ง

ภายใต้การฉุดดึงของแสงรุ่งโรจน์ ลวดลายค่ายกลสีดำแต่ละสายขวักไขว่ไปมาอยู่ในอากาศ ราวกับสายโซ่สีดำหลากสาย พันเกี่ยวบนเจดีย์สูงสีทอง จากนั้นประหนึ่งได้รับพลังมหาศาล สายโซ่ทุกเส้นตึงแน่นทั้งหมด ตึงเปรี๊ยะจนตรงแหน่ว

ยอดเจดีย์สูงสีทองปล่อยลำแสงสีแดงโลหิตออกมา ค่อยๆ ควบแน่นปรากฏกลายเป็นรูปร่างประตูบานหนึ่ง

ประตูแสงสีแดงบานนี้กระเพื่อมเฉกเช่นคลื่นน้ำ แสงสุกสว่างค่อยๆ สาดส่องไปบนพื้นผิวด้านหน้าเจดีย์สูงสีทอง สะท้อนรูปเงาประตูอีกบานออกมา

ไอหมอกสีดำภายในบริเวณขอบเขตปกคลุมมหาค่ายแดนมาร พลันเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ จนภายหลังปรากฏเห็นข้นคลั่ก ราวกับดินเลน

ไอมารเริ่มก่อตัวเป็นแดนมารอันน่าประหวั่น คลุมครอบทั้งสี่ด้านแล้ว

นอกเขตไอมาร ผู้อาวุโสสูงสุดเกาะทรายของสำนักเขากว่างเฉิงและบรรดายอดฝีมือคนอื่นๆ ต่างก็เพ่งมองแดนมารอันน่าพรั่นใจที่ปกคลุมเขตพื้นที่กว้างใหญ่นั่นด้วยความทุกข์ใจ

พวกเขาได้รับประกาศแจ้งจากสือเถี่ยแล้ว รับรู้ว่ามหาค่ายกลแดนมารในขณะนี้เป็นการสร้างขึ้นใหม่ภายใต้การควบคุมของตน

ทว่าการกระทำประเภทเล่นกับไฟเช่นนี้ ยังคงทำให้ทุกๆ คนรู้สึกร้อนอกร้อนใจ

หากแต่เทียบกันแล้ว นี่ก็เป็นผลลัพธ์ที่ดีกว่าอยู่บ้าง ดียิ่งกว่านพยมโลกมาเยือนเกาะนภาใต้ทั้งที่ไม่ได้เตรียมป้องกันมากยิ่งนัก

เพียงแต่ว่า หากเยี่ยนจ้าวเกอและสือเถี่ยพลั้งพลาด นพยมโลกก็จะมาเยือนเขตยุทธ์เมฆาที่แห่งนี้ เวลานั้นทุกผู้ทุกคนต่างก็ต้องเป็นแนวหน้าแรก ขว้างกั้นมารร้ายเข้าล่วงล้ำแต่แรกเริ่ม

ก่อนหน้านี้ ในตอนที่ยังไม่ได้จู่โจมทำลายมหาค่ายกลแดนมารคราแรก ได้รับรู้ว่าตระกูลหวังยุทธ์เมฆาจะเกิดเหตุวุ่นวาย จอมยุทธ์สำนักเขากว่างเฉิงเร่งรีบมาถึงในทันทีเพื่อที่จะป้องกันไว้ก่อน จึงได้เริ่มจัดการพาชาวบ้านคนธรรมดาทั่วไปและจอมยุทธ์ระดับขั้นต่ำที่อยู่เขตยุทธ์เมฆาและใกล้เคียงถอยออกไป

ตอนนี้จึงไม่ถึงขั้นที่ฉุกละหุก สามารถปล่อยตัวสู้รบอยู่ที่เขตยุทธ์เมฆาได้เต็มที่

สาเหตุที่เกาะทรายแบกรับอันตรายไว้ ซึ่งหลีกเลี่ยงไม่ให้เกาะนภาใต้ถูกจู่โจมฉับพลัน นี่คือเหตุผลสำคัญ

เกาะทรายเคลื่อนไหวกะทันหัน ซึ่งข่าวคราวก็ส่งทอดแก่สำนักเขากว่างเฉิงแห่งเกาะนภากลาง และทางฝั่งเกาะนภาใต้ด้วยความเร็วสูงสุดเช่นกัน

ตำแหน่งของประตูนพยมโลกอาจจะแปรเปลี่ยน เกาะอื่นๆ เฉกเช่นเกาะนภาเหนือก็ต้องรับทราบ ป้องกันเหตุการณ์ไม่คาดคิด

ผู้อาวุโสสูงสุดเกาะทรายจดจ้องไกลออกไป มหาค่ายกลแดนมารได้กลืนดินแดนบรรพชนตระกูลหวังจมหายสิ้นแล้ว เขารำพึงรำพันกับตนเองว่า “เยี่ยนจ้าวเกอ จะต้องทำให้สำเร็จนะ…”

เขตศูนย์กลางภายในมหาค่ายกลแดนมาร หมอกดำไม่พบเห็น สิ่งที่แทนที่คือพื้นที่ผืนหนึ่งที่แสงสีแดงแปลกประหลาดปกคลุม

ในพื้นที่นี้ เจดีย์สูงสีทองตั้งตระหง่าน เงาสะท้อนประตูแสงสีแดงบนพื้นกระจ่างชัดขึ้นเรื่อยๆ

รอยแยกระหว่างบานประตูทั้งสองบนพื้น แกว่งไกวบิดเบี้ยวไม่หยุด ทำให้พื้นดินก็บิดเบี้ยวรุนแรงเช่นกัน

ราวกับมีสิ่งใดกำลังจะทะลวงทะลุขึ้นมาจากใต้ปฐพี ทำให้พื้นดินแตกระแหงเกิดเป็นรอยแยกลึกมโหฬารสายหนึ่ง

รอยแตกเส้นนี้แยกออก ซึ่งคือทางสัญจรเชื่อมยังนพยมโลกในตำนาน

พลังปราณน่าหวาดผวาที่ยั่วยุจิตใจผู้คน บัดนี้พุ่งสูงทะยาน ทำให้จิตใจผู้คนว้าวุ่น

สีหน้าเยี่ยนจ้าวเกอยังคงมุ่งมั่และนแน่วแน่ เขายืนอยู่ด้านล่างเจดีย์สูงสีทอง ส่วนสองมือดันอยู่บนเจดีย์ทอง ขณะเดียวกันก็เหลียวมองประตูนพยมโลกบนพื้นกำลังค่อยๆ เปิดออกอย่างสงบนิ่ง

“สำเร็จครึ่งหนึ่งแล้ว” เยี่ยนจ้าวเกอเอ่ย “ไอมารที่ทะลุไปยังเกานภาใต้ถูกดึงกลับมาใหม่แล้ว”

เมื่อได้ยินวาจาของเยี่ยนจ้าวเกอ ทุกชนก็ผ่อนลมหายใจเล็กน้อย

ถ้าหากประตูนพยมโลกที่นี่เปิดออก ทางเกาะนภาใต้นั้นกลับไม่ได้รับผลกระทบ ถูกเปิดประตูเชื่อมสู่นพยมโลกเช่นกัน กระนั้นความรู้สึกของทุกคนก็คงไม่ใช่แค่คำว่ากลัดกลุ้มและคับแค้นจะสามารถบรรยายได้จริงๆ แล้ว

ความสนใจของทุกคนล้วนจดจ่ออยู่ที่เจดีย์สูงสีทอง

เจดีย์สูงสีทองสั่นไวฉับพลันครู่หนึ่ง

“หืม?” สีหน้าท่าทางเยี่ยนจ้าวเกอไหววูบเล็กน้อย “มีคนคิดจะตัดขาดการกระทำของข้า ลากไอมารกลับไปอีกหน?”

บนประตูแสงสีแดงที่ยอดเจดีย์สีทองบานนั้น ปรากฏเห็นภาพคนอันแปลกพิลึก

ทุกชนเงยหน้าขึ้นมอง ส่งเสียงร้องตื่นตกใจพร้อมกัน “ผู้อาวุโสหลิว?!”

เยี่ยนจ้าวเกอพยายามเชิดหน้าขึ้น เห็นบนแสงประตูสีแดงสะท้อนเงาร่างคนผู้หนึ่งออกมา กลับเป็นผู้เฒ่าผมหงอกขาวคนหนึ่ง

อีกฝ่ายเขาเองก็รู้จัก ปรากฏว่าเป็นผู้อาวุโสสำนักเขากว่างเฉิงท่านหนึ่ง

เห็นเพียงผู้อาวุโสหลิวท่านนั้น บัดนี้สีหน้าอึมครึมและยังระคนความบ้าระห่ำ ในมือกำยันต์หยกสีดำชิ้นหนึ่งไว้ กำลังถ่ายพลังปราณดั้งเดิมเจตจำนงหมัดของเขาเข้าสู่ภายในนั้น!

ดวงหน้าสือเถี่ยสงบนิ่งดุจน้ำ ส่วนแววตาเยี่ยนจ้าวเกอเย็บเยียบ

ตรงหน้าผู้อาวุโสหลิวก็ปรากฏภาพลวงตาสีแดง สามารถแลเห็นกลุ่มคนเยี่ยนจ้าวเกอแจ่มชัด

เขาตะลึงงันเล็กน้อย รู้ว่าฐานะตัวตนของตัวเองเปิดเผยแล้ว อดหัวร่อเยาะหยันไม่ได้ “อภิชาตบุตรที่เยี่ยนตี๋ให้กำเนิด เป็นเจ้าอีกแล้วรึ?!”

————————–