24 ช่องว่างระหว่างพลังฝีมือ

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล

Sign in Buddha’s palm 24 ช่องว่างระหว่างพลังฝีมือ

 

 

“ข้ากำลังจะตายหรือนี่?”

 

ที่ด้านหน้าของหอคอยสะกดมาร พระรูปนี้รู้สึกได้ถึงพลังชีวิตของเขากำลังถูกสูบออกไปจากร่างอย่างรวดเร็วด้วยน้ำมือของมารเฒ่า

 

ภิกษุรูปนี้ชื่อว่า เจินชี่ ถึงแม้ว่าเขาจะอยู่ในรุ่นเดียวกับซูฉิน แต่เขาก็ได้เข้ามาในวัดก่อนตั้งแต่สามสิบปีที่แล้ว

 

“ช่างน่าเศร้าที่ข้าไม่สามารถปกป้องพวกศิษย์น้องเอาไว้ได้…”

 

เจินชี่อ่อนแอลงเรื่อยๆ หันมองศิษย์น้องที่สลบกันอยู่ด้วยความสลดใจ

 

เขารู้ดี ยามเมื่อมารเฒ่ากลืนโลหิตสูบพลังชีวิตเขาจนหมด เป้าหมายต่อไปย่อมเป็นเหล่าศิษย์น้องของเขา

 

“ข้าจะมาตายแบบนี้ไม่ได้!”

 

“อย่างน้อยก็ต้องแจ้งให้ท่านเจ้าอาวาสทราบ ไม่ก็เหล่าหัวหน้าตำหนัก…”

 

เจินชี่ดิ้นรนเต็มกำลังเพื่อคงสติของตนเอาไว้แล้วพยายามเงยหน้าขึ้นหาวิธี

 

ในตอนนั้นเองเจินชี่ก็เห็นฉากที่จะไม่มีวันลบเลือนไปจากความทรงจำ

 

เขาเห็นร่างเพรียวบาง มาเป็นเงาเลือนราง เดินมุ่งสู่หอคอยสะกดมาร

 

ในตอนแรกร่างเงาที่เลือนรางนี้ยังอยู่ไกลออกไปเป็นพันเมตร แต่ทุกก้าวย่างที่เดินนั้นข้ามผ่านอากาศมาเป็นร้อยเมตรด้วยการก้าวขาแต่ละครั้ง จนมาถึงหน้าหอคอยสะกดมารในที่สุด

 

“มีใครบางคนกำลังมา?”

 

สติของเจินชี่พร่าเลือน ทุกอย่างเริ่มกลายเป็นความมืดมิด

 

จังหวะสุดท้ายก่อนที่สติของเขาจะดับวูบ เจินชี่ได้ยินเสียงที่น่ากลัวของมารเฒ่ากลืนโลหิต มันทั้งตกใจและโกรธเกรี้ยว “บัดซบ แกเป็นใคร?!”

 

 

ด้านหน้าหอคอยสะกดมาร

 

ซูฉินหันมองไปที่เจินชี่ที่หมดสติไปเป็นที่เรียบร้อยหลังจากดิ้นรนอย่างเต็มที่ จากนั้นจึงหันมองไปยังมารเฒ่ากลืนโลหิตที่มีท่าทีระแวดระวัง

 

“แกเป็นใคร?”

 

“วัดเส้าหลินมีปรมาจารย์ระดับนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?”

 

มารเฒ่ากลืนโลหิตดูจริงจังขึ้นมา

 

เป็นเพราะเพียงแค่การสะบัดมือของผู้มาใหม่ พลังมารของมันก็พลันกระจัดกระจายหายไป นี่แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของผู้มาใหม่ว่าน่ากลัวเพียงใด

 

แน่นอนว่าก่อนที่มารเฒ่ากลืนโลหิตจะเข้ามาในหอคอยสะกดมาร เขาได้ตรวจสอบผู้เยี่ยมยุทธในสามระดับบนของวัดเส้าหลินทั้งหมดแล้ว

 

ย่อมไม่มีบุคคลเช่นซูฉินอยู่ในการตรวจสอบ

 

“เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้หรอก”

 

ซูฉินถอนหายใจเบาๆ “ในเมื่อหนีออกจากหอคอยมาได้แล้ว ทำไมไม่รีบหนีออกไปจากวัดเส้าหลินเสียเล่า กลับมาก่อเรื่องเช่นนี้เพื่ออะไร?”

 

ถึงแม้ซูฉินจะไม่เคยคิดว่าตัวเองนั้นถือว่าเป็นพระจริงๆ แต่ข้าวปลาอาหารที่ซูฉินฉันมาตลอดสิบปีที่นี่ทำให้ซูฉินไม่อาจทนเห็นศิษย์ของวัดเส้าหลินต้องถูกสังหารได้

 

ยิ่งไปกว่านั้น เจินชี่ก็มีความสัมพันธ์ที่ดีกับเขาไม่น้อย

 

“การกระทำของมารเฒ่าผู้นี้ ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าต้องให้ความสนใจ” มารเฒ่ากลืนโลหิตหรี่ตา พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา

 

แม้ว่าซูฉินจะดูเป็นภัยร้ายต่อเขา แต่มารเฒ่ากลืนโลหิตพบว่าซูฉินยังดูเด็กอยู่มาก

 

พระหนุ่มขนาดนี้ ต่อให้ฝึกฝนวิทยายุทธมาตั้งแต่ครรภ์มารดา และพรั่งพร้อมไปด้วยทรัพยากรที่ประเคนให้โดยวัดเส้าหลิน มันก็ไม่มีทางที่เขาจะอยู่ในสามระดับบน

 

ดังนั้นเขาจะมาเป็นคู่ต่อสู้กับมารเฒ่าได้อย่างไร?

 

ส่วนเหตุที่พลังมารถูกทำลายลงเพียงการสะบัดมือของซูฉิน มันก็คิดไปเองว่าเป็นเพราะตอนนี้พลังของมันเพิ่มขึ้นสูงมากจึงไม่สามารถควบคุมกำลังภายในได้อย่างสมบูรณ์แบบ

 

“เจ้าน่าจะเป็นอัจฉริยะที่ได้รับการฝึกมาโดยวัดเส้าหลินอย่างเป็นการลับสินะ?”

 

“น่าเสียดายจริงๆ สำหรับมารเฒ่าผู้นี้คนที่ข้าชอบสังหารที่สุดก็คือพวกอัจฉริยะนี่แหละ!!”

 

สายตาของมารเฒ่าดูดุร้ายและพลังภายในของเขาก็พลุ่งพล่านอีกครั้ง

 

ในเมื่อความสัมพันธ์กับวัดเส้าหลินมันแตกหักไปแล้ว ย่อมเป็นเรื่องที่ดีที่จะสังหารอัจฉริยะของวัดเส้าหลินไว้ก่อนล่วงหน้า

 

“พลังปราณของมารเฒ่าผู้นี้ไม่เสถียรสักหน่อยในช่วงนี้ เป็นเหตุให้เจ้ามองหาจุดบกพร่องของข้าได้ แล้วถ้าเป็นคราวนี้ล่ะ เจ้าจะยังโจมตีพลังมารของมารเฒ่าผู้นี้ได้อีกหรือไม่?”

 

แรงกดดันในอากาศยิ่งมายิ่งรุนแรงในทุกๆ คำพูดของมารเฒ่า เมื่อพูดจบบรรยากาศโดยรอบก็เต็มไปด้วยพลังมารเสียแล้ว

 

มารเฒ่าใช้วิชามารของยอดปรมาจารย์มารระดับชั้นที่หนึ่งที่ได้มาจากหอคอยสะกดมารชั้นที่เก้า

 

[อาณาเขตมารฟ้า]

 

เคล็ดวิชานี้ผู้ใช้อย่างน้อยต้องอยู่ในสามระดับบนเพื่อที่จะเชื่อมโยงกับปราณโลกได้

 

ภายในอาณาเขตนี้ พลังของมารเฒ่ากลืนโลหิตจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก และศัตรูจะถูกยับยั้งพลัง

 

“เอาหละ หมดเวลาแล้ว”

 

ซูฉินดูเหมือนจะรู้สึกได้ถึงบางอย่างและส่ายหัวออกมาเล็กน้อย

 

เขาจับกลิ่นอายพลังที่กำลังเคลื่อนตัวเข้ามาทางเขา มันน่าจะเป็นของเจ้าอาวาสและพวกหัวหน้าตำหนัก พวกเขาน่าจะค้นพบแล้วว่าเกิดเรื่องจึงมุ่งหน้ามาที่หอคอยสะกดมาร

 

“เวลาหมดลงแล้ว?”

 

มารเฒ่ากลืนโลหิตประหลาดใจแล้วส่งเสียงเยาะเย้ย “ใช่แล้ว เวลาของแกไงที่ใกล้จะหมด”

 

ในช่วงเวลาต่อมา

 

มารเฒ่ายื่นแขนขวาออกไปแล้วค่อยๆ กดลงต่อหน้าซูฉิน

 

แทบจะในทันทีทันใด พลังมารจำนวนมากรวมตัวแล้วพุ่งไปบดขยี้ซูฉินอย่างรุนแรง

 

“นี่คือการระเบิดพลังที่รุนแรงที่สุดของมารเฒ่าผู้นี้ มันทรงพลังมากแม้จะไม่เทียบเท่ายอดปรมาจารย์ก็เถอะ…”

 

มารเฒ่ากลืนโลหิตมองดูชัยชนะที่กำลังจะเกิดขึ้น

 

อย่างไรก็ตาม

 

ฉากที่ได้เห็นในเวลาต่อมาทำให้ลำคอของมารเฒ่าจุกแน่น ใบหน้าเริ่มเปลี่ยนสีไปอย่างมาก

 

มันเห็นว่าพลังมารอันทรงพลังเมื่อเข้าไปใกล้ซูฉินในระยะสามฝ่ามือกลับระเหยหายไปกลับสู่ความว่างเปล่า

 

“เป็นไปไม่ได้!”

 

“เป็นไปไม่ได้!!!”

 

มารเฒ่ากลืนโลหิตหวาดกลัวกับสิ่งที่เกินจะเชื่อตรงหน้า

 

ถึงแม้วิชาบ่มเพาะสายพุทธจะยับยั้งวิชาบ่มเพาะสายมารได้ แต่ไม่ว่ามันจะยับยั้งได้มากเพียงไร ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้ระเหยไปโดยไม่ต้องสัมผัสแบบนี้

 

นี่ไม่ใช่การยับยั้งอีกต่อไป

 

มันคือการบดขยี้

 

กระนั้น

 

ก่อนที่มันจะทันได้ตอบสนอง

 

ซูฉินก้าวเท้าไปข้างหน้า มาปรากฏตัวอยู่เบื้องหน้าของมัน

 

“ไม่ดีแล้ว!”

 

“วิ่ง!”

 

หนังศีรษะของมารเฒ่ากลืนโลหิตชาวาบ

 

ถ้าในตอนนี้มารเฒ่ากลืนโลหิตยังไม่รู้อีกว่าความแข็งแกร่งของซูฉินเหนือชั้นกว่าของตัวมันมาก มันย่อมเป็นตัวโง่งมแล้ว

 

“ชั้นที่หนึ่ง!”

 

“อย่างน้อยก็ต้องเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง!”

 

“วัดเส้าหลินให้กำเนิดยอดปรมาจารย์เยาว์วัยขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน!”

 

มารเฒ่ากลืนโลหิตรู้สึกโศกเศร้าอย่างไม่มีที่สิ้นสุดในหัวใจ

 

แม้นถ้ามันได้รู้ว่าวัดเส้าหลินนั้นมียอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งอยู่ ต่อให้มีความกล้ากว่านี้เป็นสิบเท่า มันย่อมไม่อาจหาญย่องเข้ามายังวัดเส้าหลินแห่งนี้เป็นแน่

 

“มันสายเกินไปแล้วล่ะ”

 

เมื่อซูฉินเห็นมารเฒ่ากลืนโลหิตคิดจะหลบหนี ก็ยกมือขวา กำมือแน่น แล้วปล่อยออกไปเบาๆ

 

หมัดนี้ในสายตาของมารเฒ่านั้นดูเชื่องช้าราวกับเด็กกำลังเหวี่ยงแขน

 

แต่ไม่รู้ทำไมมารเฒ่ากลืนโลหิตถึงไม่สามารถหลบหมัดนี้ได้

 

ราวกับหมัดนี้กอปรไปด้วยพลังถาโถมอันมหาศาล ทำให้ไม่อาจแม้แต่จะขยับเขยื้อนไปไหนได้

 

ปึงง!

 

สายตาของมารเฒ่ากำลังจ้องมองกำปั้นของซูฉินที่เคลื่อนเข้ามาประทับที่หน้าอกของมันอย่างหมดสิ้นความหวัง

 

ในทันทีที่หมัดกระแทกเข้าที่ร่าง พลังที่น่าสะพรึงได้ทำลายเส้นสายลมปราณทั้งแปดและอวัยวะภายในของมารเฒ่ากลืนโลหิตในฉับพลัน

 

“เจ้า?!”

 

มารเฒ่าพ่นละอองเลือดออกมาเป็นฟูมฝอย ร่างค่อยๆ ร่วงหล่นลงกับพื้น

 

 

 

ผ่านไปไม่นาน

 

ฟึ่บ!

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินก็มาปรากฏตัวที่ด้านนอกหอคอยสะกดมาร

 

“มีไอพลังมารออกมาจากหอคอยสะกดมาร ข้าเกรงว่ามารร้ายด้านในคงจะหนีออกไปแล้ว”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินเป็นกังวลและรีบร้อนมุ่งหน้ามาโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

 

“เป็นเวลากว่าพันปีที่หอคอยสะกดมารยืนยงคงกระพันมาตลอดมันไม่เคยมีปัญหาใด…” ใบหน้าของเจ้าอาวาสกลายเป็นบูดเบี้ยว

 

หากมีสิ่งใดผิดปกติเกิดขึ้นกับหอคอยสะกดมาร แล้วมารร้ายด้านในหนีออกมาได้หมดมันคงเป็นหายนะครั้งใหญ่ที่สุดที่วัดเส้าหลินได้เผชิญ!

 

เหล่ามารร้ายต่างก็ถูกกักขังมาเป็นเวลาหลายปีและความแค้นที่พวกมันมีต่อวัดเส้าหลินก็คงมากมายจนไม่สามารถจะจินตนาการไหว สิ่งแรกที่พวกมันจะทำหลังได้รับการปลดปล่อยย่อมเป็นการทำลายวัดเส้าหลินให้ราบ!

 

แต่อย่างไรก็ตาม

 

เมื่อเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินเดินทางมาถึงหอคอยสะกดมารและเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าเขาถึงกับมึนงง

 

แม้ว่าสงฆ์ทั้งหนึ่งร้อยแปดรูปจะนอนกองอยู่กับพื้น แต่ลมหายใจของพวกเขายังมั่นคงดี เห็นได้ชัดว่ายังมีชีวิตอยู่

 

ในขณะที่ร่างของมารเฒ่ากลืนโลหิตนอนอยู่อย่างโดดเดี่ยวไม่ไกลออกไปนัก พร้อมกับร่องรอยความหวาดผวาฝังลึกที่ยังคงหลงเหลืออยู่บนใบหน้าแม้จะตายไปแล้วก็ตาม