Sign in Buddha’s palm 25 หยินหยาง

 

 

“เกิดอะไรขึ้นกันหละนี่?”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินเต็มไปด้วยความฉงนสงสัย

 

“นี่มัน…มารเฒ่ากลืนโลหิต?”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินเดินเข้าไปใกล้ร่างของมารเฒ่ากลืนโลหิต สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย

 

ในตอนนี้แม้มารเฒ่ากลืนโลหิตจะปลอมแปลงใบหน้าของตนเอง แต่กลิ่นอายมารที่ปล่อยออกมานั้นรุนแรงจนปิดไม่มิด

 

ในปัจจุบันนี้ตัวตนของผู้เชี่ยวชาญวิทยายุทธสามระดับบนล้วนแล้วแต่หาได้ยากยิ่ง แต่ละคนล้วนมีชื่อเสียงไปทั่วยุทธภพ นับประสาอะไรกับผู้เยี่ยมยุทธฝ่ายอธรรมในสามระดับบน?

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินใช้ความคิดอยู่ชั่วครู่เท่านั้นในการกำหนดรู้ตัวตนของมารเฒ่ากลืนโลหิตจากกลิ่นอายพลังลมปราณ

 

“หอคอยสะกดมาร?”

 

“มารเฒ่ากลืนโลหิต…”

 

เจ้าอาวาสพอจะคาดเดาบางสิ่งได้อย่างคลุมเครือ

 

ในระหว่างห้วงความคิดของท่านเจ้าอาวาส

 

ฟึ่บ!

 

ฟึ่บ!

 

ฟึ่บ!

 

หัวหน้าตำหนักต่างก็ตามมาถึง

 

“ท่านเจ้าอาวาส?”

 

“เกิดอะไรขึ้นที่นี่หรือ?”

 

“ทำไมจึงรู้สึกถึงไอมารของจอมยุทธฝ่ายอธรรมได้กัน?”

 

หัวหน้าตำหนักลานอรหันต์กวาดสายตามองไปรอบแล้วอดไม่ได้ที่จะถามออกมา

 

หัวหน้าตำหนักคนอื่นๆ พลันหันไปมองเจ้าอาวาสทันทีที่จบคำกล่าวนั้น

 

ในความคิดของพวกเขา ในเมื่อเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินมาถึงที่นี่ก่อน ท่านควรจะรู้เรื่องราวมากกว่าพวกเขา

 

“ข้าก็ไม่ได้มาก่อนพวกเจ้ามากเท่าไหร่หรอก”

 

“ยามเมื่อมาถึง ฉากที่เกิดขึ้นก็เป็นแบบนี้เสียแล้ว”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินยิ้มเจื่อนและกล่าวสิ่งที่ตนคาดเดาออกมา

 

 

“อะไรนะ?”

 

“ท่านเจ้าอาวาสหมายความว่าศพนี้คือมารเฒ่ากลืนโลหิต?” หัวหน้าตำหนักลานอรหันต์ประหลาดใจเล็กน้อย

 

“ตามข้อมูลที่รวบรวมไว้โดยวัดเส้าหลินเรา มารเฒ่ากลืนโลหิตเป็นแค่จอมยุทธฝ่ายอธรรมระดับชั้นที่สาม แต่ความแข็งแกร่งของศพนี่ยามเมื่อมีชีวิตอยู่อย่างไรก็ต้องเป็นระดับชั้นที่สอง เผลอๆ เป็นจุดสูงสุดของชั้นที่สองเลยยังได้” หัวหน้าลานธรรมกล่าวช้าๆ

 

เมื่อคำเหล่านี้กล่าวออก

 

เหล่าหัวหน้าตำหนักต่างหน้าเปลี่ยนสี

 

ถ้ามันเป็นอย่างที่หัวหน้าลานธรรมได้บอก แล้วจุดสูงสุดของระดับชั้นที่สองมานอนตายอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร?

 

เหล่าหัวหน้าตำหนักต่างมาตรวจดูบาดแผลของมารเฒ่ากลืนโลหิต และค้นพบว่าอวัยวะภายในฉีกขาดทั้งหมด มารเฒ่าผู้นี้ถูกสังหารโดยการโจมตีที่ร้ายแรงถึงตาย

 

ใครกันที่สามารถฆ่ายอดฝีมือขอบเขตจุดสูงสุดระดับชั้นที่สองได้ในทันทีแบบนี้?

 

ยิ่งไปกว่านั้นหัวหน้าตำหนักต่างก็พบเห็นร่องรอยความหวาดกลัวปรากฏบนใบหน้าของมารเฒ่ากลืนโลหิต

 

เห็นได้ชัดว่ามารเฒ่ากลืนโลหิตอยู่ในสภาพสิ้นหวังอย่างมากก่อนจะตายลง

 

ใครกันที่สามารถทำให้จุดสูงสุดของระดับชั้นที่สองสิ้นหวัง ทำไม่ได้แม้แต่วิ่งหนี…

 

เหล่าหัวหน้าตำหนักต่างรู้สึกหนาวเหน็บ

 

“ถ้าเป็นเรื่องความแข็งแกร่งตามที่เห็นในปัจจุบันของมารเฒ่า สิ่งนี้ข้าคิดว่าข้าพอจะรู้อยู่บ้าง”

 

ในตอนนั้นเองเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินก็เดินออกมาจากหอคอยสะกดมารและกล่าวออกด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น “มารเฒ่ากลืนโลหิตนั้นได้ปลอมแปลงตัวตนเป็นจอมยุทธอธรรมสามระดับล่างแล้วเข้ามาในหอคอยสะกดมาร มันใช้โอกาสครั้งนี้ในการดูดกลืนพลังชีวิตของมารร้ายด้านในจนหมดสิ้นทั้งหอคอย ทำให้พลังของมันพุ่งขึ้นไปอย่างก้าวกระโดด…”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินกล่าวคำไปอย่างเชื่องช้า

 

หัวหน้าตำหนักคนอื่นๆ ต่างผงกหัวเห็นด้วยหลังจากได้ยิน

 

ถ้าเป็นไปตามที่ท่านเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินได้เล่ามา ก็พอจะอธิบายเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้

 

แต่ถึงจะเป็นแบบนั้น…

 

สิ่งที่สำคัญที่สุดก็ยังไม่มีใครทราบเรื่องราว

 

หัวหน้าตำหนักลานอรหันต์ถามขึ้น “ท่านเจ้าอาวาส แล้วทำไมมารเฒ่ากลืนโลหิตถึงมาตายอยู่ตรงนี้”

 

“เรื่องนี้…”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินเงียบไป

 

นี่คือสิ่งที่เขาไม่เข้าใจและอยากรู้มากที่สุดเช่นกัน

 

ด้วยพลังที่แข็งแกร่งของมารเฒ่ากลืนโลหิต แม้แต่ตัวเขาเองอย่างมากก็ทำได้แค่ต่อสู้ยืดเยื้อ ถ้าต้องการจะสังหารมารเฒ่าตนนี้ โดยเฉพาะสังหารในทันทีแบบนี้ มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด

 

“เป็นไปได้ไหมว่ามันจะตกตายด้วยน้ำมือของสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์?”

 

หัวหน้าฝ่ายวินัยสงฆ์คาดเดา

 

ไม่นานมานี้ ตอนที่ผู้สืบทอดของมารพุทธะปรากฏตัวขึ้นในวัดเส้าหลิน ก็เป็นฝีมือของบรรพบุรุษสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ที่ช่วยวัดเส้าหลินเอาไว้ให้รอดพ้นจากภัย

 

ในเวลานั้นทุกคนรวมถึงเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินเองต่างเชื่อว่าวัดเส้าหลินมีบรรพบุรุษระดับสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ซ่อนตัวอยู่ในมุมใดสักมุมของวัด

 

และตอนนี้

 

มารเฒ่ากลืนโลหิตได้นอนทอดร่างอยู่หน้าหอคอยสะกดมารเป็นเหตุการณ์ที่ลึกลับนัก ทำให้หัวหน้าฝ่ายวินัยสงฆ์คาดเดาขึ้นมา

 

ในทั่วทั้งวัดเส้าหลินเกรงว่าจะมีเพียงบรรพบุรุษสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นที่มีความแข็งแกร่งมากเพียงนี้

 

“คงมีแต่ความเป็นไปได้นี้อย่างเดียวเท่านั้น”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินพยักหน้ารับเล็กน้อย

 

“ถึงศิษย์เหล่านี้จะหมดสติไปแต่ยังปลอดภัยดี” จากนั้นเจ้าอาวาสจึงเดินไปที่เจินชี่

 

“แม้เขาจะโดนสูบพลังชีวิตไปหน่อย แต่ก็ไม่ได้เป็นอันตรายอะไรต่อรากฐานการบ่มเพาะ ใช้เวลาฝึกฝนฟื้นฟูสักหลายเดือนหน่อยคงกลับมาเป็นปกติ” เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินตรวจสอบร่างกายของเจินชี่แล้วพยักหน้า

 

“จงตื่น!”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินจรดปลายนิ้วไปที่หน้าผากของเจินชี่แล้วตะโกนด้วยเสียงทุ้มต่ำ

 

ตึง!!!

 

ราวกับเสียงระฆังทองแดงลั่นดังขึ้นในมโนจิตของเจินชี่

 

สติที่ร่วงหล่นสู่ความมืดมิดของเจินชี่พลันพบเจอเข้ากับแสงสว่าง

 

“ท่านเจ้าอาวาส…”

 

เจินชี่ลืมตาขึ้นมาพบกับเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและเหล่าหัวหน้าตำหนักจึงพยายามจะลุกขึ้นทำความเคารพ

 

“อย่าขยับ”

 

“พลังชีวิตของเจ้าถูกสูบออกไปมาก ต้องพักผ่อนให้ดี”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินกดร่างของเจินชี่ให้นอนลง

 

“พวกศิษย์น้องของข้าอาการเป็นอย่างไรบ้าง?” เจินชี่ถามด้วยเสียงต่ำ

 

“อย่าได้กังวลไป”

 

รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของท่านเจ้าอาวาส “บรรพบุรุษสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ได้ลงมือจนทำให้มารเฒ่ากลืนโลหิตตายในทันที ไม่มีศิษย์คนใดได้รับบาดเจ็บ”

 

น้ำเสียงของเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินเปี่ยมไปด้วยความเคารพนบนอบ

 

บรรพบุรุษสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ได้ลงมือไปหลายครา ก่อนหน้าท่านก็ได้ช่วยวัดเส้าหลินไว้จากผู้สืบทอดมารพุทธะ แล้วตอนนี้ยังสังหารมารเฒ่ากลืนโลหิตลง ความกรุณาของท่านเพียงพอจะทำให้วัดเส้าหลินหล่อรูปเคารพและนมัสการท่านเป็นพันๆ ครั้ง

 

“สงฆ์ศักดิ์สิทธิ์?”

 

เจินชี่สมองว่างเปล่าไปชั่วขณะ

 

ในช่วงสุดท้ายที่สติของเขารางเลือน เขาเห็นบางคนที่กำลังเดินเข้ามา

 

แม้ว่าเจินชี่จะเห็นเพียงร่างเงาที่ไม่ชัดเจนในตอนนั้น แต่พิจารณาจากรูปร่างที่ผอมเพรียว ผู้นั้นย่อมไม่ควรที่จะแก่เท่าไรนัก

 

จะเป็นบรรพบุรุษไม่ได้เช่นไร?

 

อย่างไรก็ตามแม้เจินชี่จะมีข้อสงสัย แต่เมื่อเห็นการแสดงออกของเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและเหล่าหัวหน้าตำหนัก เขาทำได้เพียงคิดว่าเขาเข้าใจผิดไปเองเท่านั้น

 

“ขอรับ”

 

“พักผ่อนสักสองสามวัน จากนั้นค่อยไปที่ลานโพธิ์ ไปรับโอสถบำรุงโลหิตมา” เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินบอกกล่าว

 

โอสถบำรุงโลหิตเป็นโอสถพิเศษในการเติมพลังลมปราณและบำรุงเลือด

 

ถ้าเจินชี่ได้รับโอสถบำรุงโลหิตไป มันจะช่วยเร่งความไวในการฟื้นฟูตนเองให้กับเขา

 

“ขอบคุณมากขอรับท่านเจ้าอาวาส”

 

เจินชี่รีบขอบคุณเจ้าอาวาสทันที

 

 

เวลาเดียวกันกับที่เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและหัวหน้าตำหนักกำลังคาดเดาว่าใครคือบรรพบุรุษสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ผู้นั้น ซูฉินก็ได้กลับมาถึงลานจิปาถะเป็นที่เรียบร้อย

 

หลังจากเรื่องทั้งหมดที่ผ่านมา เขาเลือกที่จะหลบออกมาไม่สนใจเรื่องบุญคุณหรือชื่อเสียง

 

สำหรับวัดเส้าหลินแล้ว การลงมือหลายต่อหลายครั้งของซูฉินเป็นการช่วยศิษย์ของวัดเส้าหลินไว้หลายพันคนและป้องกันไม่ให้วัดต้องล่มสลาย

 

แต่สำหรับซูฉิน มันก็แค่การปัดมือไปสุ่มๆ แล้วบังเอิญฆ่าแมลงตายก็เท่านั้นเอง

 

“ชีวิตในแต่ละวันมันควรเป็นเช่นนี้ ข้าสามารถไปลงชื่อเข้าใช้ ฝึกฝนบ่มเพาะความแข็งแกร่ง ใช้ชีวิตอย่างผ่อนคลายและสบายใจ นี่แหละสิ่งที่ข้าต้องการ…”

 

ซูฉินอารมณ์ดียิ่ง

 

จากนั้นไม่กี่ชั่วโมง

 

เมื่อวัดเส้าหลินกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง ซูฉินก็ออกจากลานจิปาถะมายังพื้นที่โล่งๆ แถวเนินเขา

 

ดวงจันทร์ลอยสูงเด่น

 

โปรยแสงนวลเป็นริ้วลงมาคล้ายม่านบางเบา

 

ซูฉินนั่งลงเอาขาไขว้กัน วิชาขัดเกลากายาจันทราไหลวนไปช้าๆ พลังของมันเคลื่อนไปเรื่อยๆ ไม่มีที่สิ้นสุดโถมผสานเข้าสู่ร่างกายและเลือดเนื้อ

 

“จริงแท้แน่นอน…”

 

“เมื่อวิชาบ่มเพาะขัดเกลากายาจันทรารวมเข้ากับกายาวัชระคงกระพัน พลังหยินสุดขั้วกับพลังหยางสุดแกร่ง เกิดผลสุดมหัศจรรย์ต่อการหล่อหลอมกายเนื้อ”

 

ซูฉินลืมตาขึ้น รู้สึกได้อย่างชัดเจนถึงความแข็งแกร่งของร่างกายที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ดวงตามีร่องรอยลึกล้ำปรากฏ