“สังหารหรือไม่”
อูถงยิ้มชั่วร้าย ราวกับแมวที่กำลังหยอกเหยื่อ
จริงๆ แล้วเขามองทะลุหมดแล้ว! อวี่ซือเฟิ่งสีหน้าหนักใจ เขามองออกนานแล้วว่าจงหมิ่นเหยียนไม่ได้สวามิภักดิ์ด้วยใจจริง เขารู้หมดทุกอย่าง กลับแสร้งทำเป็นไม่รู้ เห็นชัดว่ากำลังเย้าหยอก
หมิ่นเหยียน! เจ้าควรจะดูออก! อย่าถูกเขาหยอกเล่นอีก! หากทุกคนยามนี้ร่วมแรงร่วมใจกัน ยังมีโอกาสอีกครึ่งหนึ่ง…หากว่าถูกเขาใช้วาจาล่อหลอกเช่นนี้ ผลลัพธ์ย่อมไม่กล้าคิด!
เขาหันไปมองจงหมิ่นเหยียน สีหน้าเขาซีดขาว ไม่รู้กำลังคิดอันใด พลันราวกับตัดสินใจ หันไปทางเฉินหมิ่นเจวี๋ย เฉินหมิ่นเจวี๋ยตกใจถอยหลังไปหลายก้าว ร้องว่า “เจ้าหก! นี่! เจ้าหก เจ้าบ้าไปแล้ว?! จงหมิ่นเหยียน! เจ้าคิดอะไรอยู่?!”
วาจาไม่ทันจบก็ได้ยินเสียงดังขึ้นเสียงหนึ่ง จงหมิ่นเหยียนกระชับกระบี่ไว้ในมือ สองตาดำมืดจ้องมองตนเองเขม็ง หน้าตาเต็มไปกลิ่นอายสังหาร เฉินหมิ่นเจวี๋ยตกใจจนกล่าวอะไรไม่ออก มองเขาด้วยสายตาคาดไม่ถึงราวกับมองคนแปลกหน้า
ในใจอวี่ซือเฟิ่งร้อนใจยิ่ง กล่าวน้ำเสียงดุดันว่า “หมิ่นเหยียน! อย่าถูกเขาหลอก! เขา…”
วาจากล่าวไม่จบ รู้สึกเพียงแค่พลังรุนแรงไร้เสียงไร้กระแสหนึ่งโจมตีมา ก่อนหน้าเขาไม่ทันได้รู้สึกสักนิด พลันรู้สึกว่าหน้าอกและแผ่นหลังในจุดสำคัญราวกับถูกอาวุธคมแทงทะลุ เจ็บปวดอย่างที่สุด สีหน้าเขาแปรเปลี่ยนก่อนจะกระอักโลหิตออกมา โงนเงนไปหลายก้าวแล้วล้มลงคุกเข่ากับพื้น
อูถงที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงหน้า กางห้านิ้วชี้มาทางเขา ก็ไม่รู้เขาใช้วิธีการจู่โจมแบบใด
“เสียงเจ้าดังน่ารำคาญ เงียบหน่อย”
เขาหดนิ้วมือเก็บเท้าคางต่อ ยิ้มกล่าวว่า “หมิ่นเหยียน ศิษย์น้องที่รักกับศิษย์พี่วู่วามไม่รู้ความ ผู้ใดสำคัญ? ไร้ที่ไปกับอยู่เสพสุขวาสนาที่นี่ ไหนสบายกว่ากัน ข้าไม่ชอบการรอคอย รีบให้คำตอบข้ามา”
อวี่ซือเฟิ่งสีหน้าแปรเปลี่ยน มุมปากกระตุก คิดจะเตือนจงหมิ่นเหยียนว่าอย่าโดนหลอก แต่ร่างกายได้รับบาดเจ็บหนักก่อนหน้าทำให้ไม่อาจเปล่งวาจาออกมาแม้แต่ครึ่งเดียว เสวียนจีคุกเข่าน้ำตานองข้างกายเขา คว้าแขนเสื้อเขาไว้แน่น เสียงสั่นกล่าวว่า “เจ้า…เจ้าอย่าขยับ…ทำไม…เรื่องราวทำไปกลายเป็นเช่นนี้ไปได้…”
อวี่ซือเฟิ่งตะลึงมองใบหน้าซีดขาวนาง เขาไม่รู้จะปลอบใจนางอย่างไร เพราะตัวเขาเองก็ไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจเลยจริงๆ
กล้ามเนื้อบนใบหน้าจงหมิ่นเหยียนกระตุกเบาๆ พลันหลับตานิ่ง ก่อนจะคำรามดังออกมาพร้อมวาดกระบี่ในมือเป็นวงออกไป เป็นวงโค้งงดงามสายหนึ่ง
เฉินหมิ่นเจวี๋ยรู้ตัวพลันยกมือบังหน้าอกและกุมศีรษะ จริงๆ แล้วเขาเองก็รู้การเคลื่อนไหวเช่นนี้ว่าหมายความว่าอย่างไร ทันที่ที่สาดไอกระบี่ออกมา ปะทะตนเองเข้าก็ย่อมแหลกสลายทันที เขาได้แต่ไม่อยากเชื่อและไม่กล้าเชื่อว่าเรื่องราวจะมาถึงขั้นนี้ได้
เห็นๆ ว่าพวกเขามาช่วยไม่ใช่หรือ
แขนพลันเจ็บปลาบ ราวกับถูกของเย็นเยียบสักอย่างวาดผ่านเบาๆ นอกจากนี้ก็ไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดอันใดแม้แต่น้อย เฉินหมิ่นเจวี๋ยเบิกตาโพลง ก้มหน้ามอง มือขวาตั้งแต่ข้อศอกเขาถูกตัดขาด
เลือดสดพุ่งราวน้ำพุ พริบตาก็รดเสื้อผ้าเขาแดงฉาน เขาสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดอย่างตกใจ ความเจ็บปวดทะลักขึ้นมาในวินาทีถัดไป เจ็บปวดราวกับลึกถึงกระดูก แทรกถึงจิตวิญญาณ เขารู้สึกเพียงแค่หน้าอกตนเองราวกับถูกกระบี่จงหมิ่นเหยียนฟันขาดจากภายในถึงภายนอก เจ็บจนเขาส่งเสียงร้องโหยหวน คุกเข่าลงกับพื้นทันที
จงหมิ่นเหยียนราวกับเด็กน้อยทำผิด วินาทีที่ภัยมาถึงตัวบังเกิดความสงบน่าประหลาดที่ทำให้คาดไม่ถึง เขาจ้องมองเลือดนองบนพื้นนิ่งอึ้ง ปล่อยนิ้วมือออก กระบี่ร่วงลงพื้นดังเคร้ง
เขาพึมพำกล่าวว่า “ข้า…ข้า ไม่มีทางถอยแล้ว…”
ด้านหลังมีเสียงหัวเราะและปรบมือดังมา คิ้วเขากระตุก ร่างกายราวกับแข็งค้าง ยืนนิ่งอยู่กับที่ไม่ไหวติง
อูถงหัวเราะกล่าวว่า “เจ้ายังคงใจอ่อน! แต่เอาเถอะ ข้าชอบคนเช่นเจ้า!”
จงหมิ่นเหยียนหลับตาลง ราวกับไม่ได้ยินเสียงเจ็บปวดอย่างที่สุดราวดวงใจถูกฉีกทึ้งของมองเฉินหมิ่นเจวี๋ย เขาพลันหันกลับไปกัดฟันคุกเข่ากล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “ขอบคุณรองเจ้าสำนักที่ชม!”
อูถงโบกมือ “ยังไม่พาเพื่อนเจ้าไปจากที่นี่อีก?”
จงหมิ่นเหยียนหันกลับไปเหม่อมองทุกคนในโถง รั่วอวี้สีหน้าซีดขาว อวี่ซือเฟิ่งราวกับไม่รู้จักเขา เสวียนจี…ในใจเขาปวดปลาบ เสวียนจีถือแขนที่ขาดของเฉินหมิ่นเจวี๋ยไว้ น้ำตาทะลักออกมา
“พวกเจ้า…ไสหัวไป!” เขาเสียงแหบพร่า
เสวียนจีอึ้ง วางแขนที่ขาดของเฉินหมิ่นเจวี๋ยลง ลุกขึ้นจ้องมองเขา ในแววตานางเป็นจงหมิ่นเหยียนที่แปลกหน้าไม่เคยรู้จัก เย็นเยียบและเย็นชา ราวกับไร้ความรู้สึก ดำมืดมองไม่เห็นแสงสว่างแม้เพียงนิด
ร่างกายนางสั่นระริก แววตาเย็นเยียบดุจน้ำแข็งกวาดตามองร่างเขา ก่อนหันไปทางอูถง
“เจ้ารนหาที่…” นางพึมพำกล่าว ฝ่ามือพลันมีแสงสีเงินค่อยๆ ขยายวงออกไป กระบี่เปิงอวี้นางที่เมื่อครู่ถูกเฉินหมิ่นเจวี๋ยแย่งไปสังหารอูถง แต่กลับถูกอูถงแย่งไปได้ ยามนี้ราวกับรับรู้ได้ถึงเจ้าของ กระบี่เปิงอวี้ในมืออูถงสั่นระริกเด้งขึ้นทันที เปล่งเสียงคำรามราวมังกรคำรามร้องดัง
อูถงมองกระบี่เปิงอวี้ในมืออย่างตกใจ รู้สึกเพียงแค่อยู่ๆ มันก็ร้อนขึ้นมาจนถือไม่อยู่ ต้องปล่อยมือทิ้ง กระบี่วาดโค้งแสงสีเงินกลางอากาศก่อนจะตกลงสู่มือเสวียนจีอย่างนุ่มนวล พลันแสงส่องประกายวาบ
ใช่แล้ว เด็กผู้หญิงนี่! ทำไมเขาลืมไป สถานะพิเศษของนาง…อูถงอาศัยจังหวะที่นางยังไม่ทันออกกระบวนท่าผุดลุกจากเก้าอี้ มือซ้ายวาดกลางอากาศเล็กน้อย เสวียนจีรู้สึกเพียงแค่อดยกมือซ้ายตนเองตามไม่ได้ แหวนวงนั้นในนิ้วกลางของเขาบินพุ่งออกไป
“เจ้า…” นางยังกล่าวไม่จบ เห็นเพียงมือขวาเขาสะบัด ตนเองพลันรู้สึกได้ถึงพละกำลังรุนแรง เหมือนว่ายืนอยู่ในช่องแคบระหว่างเขาสองลูก ลมพัดหอบจนลืมตาไม่ขึ้น ถูกพัดลอยออกจากจุดที่ยืนอยู่
ในใจนางรู้ว่าไม่ได้การแล้ว หันไปมองเฉินหมิ่นเจวี๋ยสลบอยู่ด้านหลัง ยกมือคิดคว้าเขาไว้ ผู้ใดจะรู้ว่าถึงกับคว้าไม่อยู่ นิ้วมือวาดผ่านเสื้อผ้าเขาไป พริบตาถูกลมประหลาดนั่นพัดออกจากโถงกลาง
อวี่ซือเฟิ่งตกใจวิ่งไล่ตามไปทันที ได้ยินเสียงอูถงด้านหลังส่งเสียงตะโกนดังว่า “คนผู้นี้อยู่รอดย่อมเป็นภัยภายหลัง อย่าให้เขาหนีไปได้! สังหารเขา!” ในใจเขารู้ทันทีว่าอีกฝ่ายคิดสังหาร วันนี้เกรงแต่ว่าตนเองคงยากหนีรอด ข้างหูได้ยินเสียงด้านหลังมีคนไล่ตามมา หันกลับไปมอง ดังคาด เป็นจงหมิ่นเหยียนกับรั่วอวี้
ก่อนหน้าเขาคิดว่าไปว่าพวกเขาแกล้งสวามิภักดิ์ หลอกเอาจิตญาณหลิงหลงกับเฉินหมิ่นเจวี๋ยกลับมา ไหนเลยจะรู้ว่าอยู่ๆ พวกเขาสองคนถึงกับเอาจริง ตนเองถูกอูถงตีตลบ ในใจตกใจเพียงใดไม่อาจกล่าวออกมาได้ เขาได้รับบาดเจ็บภายใน หากจงหมิ่นเหยียนกับรั่วอวี้ทั้งสองลงมือจริง โอกาสรอดของตนเองก็คงเท่ากับศูนย์
“หมิ่นเหยียน! รั่วอวี้!” เขาวิ่งไปเรียกชื่อเขาสองคนไป ไม่เข้าใจว่าเรื่องราวมาถึงขั้นนี้ได้อย่างไร เห็นว่าใกล้จะถึงประตูแล้ว ไล่ตามเสวียนจีจะทันแล้ว นางถูกอูถงใช้ลมประหลาดพัดออกมากระแทกกำแพงอย่างแรง สีหน้าซีดขาว ไม่อาจขยับ พอเห็นอวี่ซือเฟิ่ง ดวงตานางไหววูบ กำลังคิดจะกล่าว กลับกล่าวไม่ออก มองไปด้านหลังเห็นพวกจงหมิ่นเหยียนไล่มา สีหน้าเขาทั้งสองเต็มไปด้วยไอสังหาร เห็นชัดว่าไม่ได้ล้อเล่น แต่เอาจริง
“ซือ…ซือเฟิ่ง…” นางฝืนร้องเรียกขึ้นเสียงหนึ่ง น้ำตาพลันไหลออกมา เสียงสั่นเครือกล่าวว่า “พวกเขา…พวกเขาต้องถูกเวทมนตร์อูถงแน่เลย…ทำอย่างไรดี…?”
ในใจอวี่ซือเฟิ่งยากทนรับไหว ไม่รู้จะตอบนางอย่างไร ได้แต่ยืนให้มั่น บังนางเอาไว้ หันไปทางสองคนนั้น เป็นนานจึงได้กล่าวว่า “เหตุใด?”
รั่วอวี้ไม่กล่าวอันใด จงหมิ่นเหยียนกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “นกดีย่อมเลือกไม้ทำรัง ไม่มีเหตุใด ฉู่เหล่ยมีตาไร้แวว ขับข้าออกจากสำนัก ใต้หล้ากว้างใหญ่ ใช่ว่ามีแค่สำนักเส้าหยาง!”
ในใจอวี่ซือเฟิ่งรู้สึกสงสัยอย่างที่สุด วาจามากมายในใจอยากถามพวกเขา แต่สถานการณ์เช่นนี้จะถามได้อย่างไร เขามองจงหมิ่นเหยียนยกกระบี่ในมือขึ้น ไอกระบี่เปล่งพลังเต็มที่ เห็นชัดว่าจะปล่อยพลังกระบี่สังหารตน ยามนั้นเงยหน้าขึ้นกล่าวว่า “อย่างไรก็เป็นสหายสนิทกันมา! หากพวกเจ้าจะฆ่า ก็มาฆ่าข้าคนเดียว อย่าแตะต้องเสวียนจี!”
รั่วอวี้หัวเราะขึ้นเสียงหนึ่ง ขยับริมฝีปากราวกับคิดกล่าวอันใด ผู้ใดจะรู้ว่าวินาทีถัดมาแสงกระบี่วาบเข้ากลางเอวอวี่ซือเฟิ่งราวงูเลื้อย นี่คือกระบวนท่ากระบี่ตำหนักหลีเจ๋อ ออกทางตะวันออกจู่โจมตะวันตก กระบี่เห็นชัดว่าแทงเข้าที่ท้องอวี่ซือเฟิ่ง พริบตากลับแทงไปยังเสวียนจีด้านหลัง
“เจ้า!” อวี่ซือเฟิ่งพลันโมโห หันกลับไปผลักเสวียนจีออกโดยไม่ทันคิด ไหนเลยจะรู้ว่ากระบี่พลันหักกลับมา เขาหลบไม่พ้นแล้ว หน้าอกเย็นวาบ ถูกกระบี่แทงทะลุหน้าอก
ข้างหูได้ยินเสียงร้องตกใจสองเสียง เป็นเสวียนจีกับจงหมิ่นเหยียน เขาเงยหน้าขึ้นมอง รู้สึกเพียงแค่ภาพเบื้องหน้าเลือนลาง มองจงหมิ่นเหยียนที่กัดฟันริมฝีปากแน่น น้ำตาเม็ดโตผุดที่ขอบตา ฝืนทนไม่ให้ไหลออกมา อวี่ซือเฟิ่งขยับริมฝีปากเล็กน้อย กล่าวน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “หมิ่นเหยียน…เสวียนจีนาง…”
ยังกล่าวไม่ทันจบ รั่วอวี้ชักกระบี่คืน เขาส่งเสียงร้องเจ็บปวด เลือดที่หน้าอกไหลทะลักออกไม่หยุด ก่อนจะอ่อนแรงล้มลง ในภาพเลือนราง เบิกตามองไปยังรั่วอวี้ ดวงตาหลังหน้ากากเขาดำสนิท ในนั้นไม่มีอารมณ์ความรู้สึกแม้แต่น้อย ราวกับถ้ำอันมืดมิดที่สุด มองไม่เห็นก้นถ้ำ เขารู้สึกเพียงแค่กำลังกายทั้งหมดไหลออกไปพร้อมกับเลือดสดๆ ที่พุ่งไหลออกมาไม่หยุด ในที่สุดก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป เป็นลมหมดสติไปทันที
เสวียนจีตัวสั่นไปหมด สองขาอ่อนยวบลงคุกเข่าข้างกายเขา ประคองใบหน้าซีดขาวของเขาไว้อย่างไม่อยากจะเชื่อ
“ซือเฟิ่ง…?” นางพึมพำเรียกชื่อเขา ทุกอย่างต้องไม่ใช่ความจริง เป็นเพียงฝันร้าย…ใช่แล้ว ต้องเป็นแค่ฝันร้ายแน่นอน
ร่างอวี่ซือเฟิ่งค่อยๆ โปร่งแสง ราวกับใกล้สลายไป นางตกใจร้องขึ้น ยกมือไปคว้าไว้ แต่คว้าได้เพียงความว่างเปล่า แสงวาบวับไปในอ้อมกอดนาง เขาหายวับไปแล้วจริงๆ
“อย่านะ!” นางผุดลุกขึ้นยืน จะวิ่งไล่ตามออกไป จะไล่ตามแสงที่หายวับไปนั่น หากร่างนางพลันถูกคนโอบกอดไว้แน่น ลำคอเย็นวาบ มีหยดน้ำหยดลงมาจากด้านบน เสียงจงหมิ่นเหยียนข้างหูเรียกนางเบาๆ “เสวียนจี ข้าไม่มีทางถอยแล้ว…กลับไปพบอาจารย์ก็บอกท่านว่า จงหมิ่นเหยียน…ปฏิบัติภารกิจลุล่วง!”
นางอึ้งไป พลันถูกเขาผลักเต็มแรง เบื้องหน้าขาวโพลน นางร้องเรียกขึ้นเสียงหนึ่ง “ศิษย์พี่หก!” หันกลับไปมองเขา รู้สึกเพียงแค่ใบหน้าเขาค่อยๆ เลือนราง ราวกับถูกแสงเจิดจ้าบดบัง นางได้แต่เพ่งมอง ใบหน้าเขามีน้ำตาไหลเป็นทางกระทบแสงส่องประกาย
แสงสีขาวเบื้องหน้าค่อยๆ สว่างขึ้น ร่างนางพลันเบาหวิว ในที่สุดก็มองไม่เห็นใบหน้าเขาอีก แสงสีขาวค่อยๆ ถอยกลับไป ร่างนางราวกับปะทะกับของแข็งบางอย่างร่วงลงพื้นเบาๆ ข้างหูได้ยินเสียงลมพัดแผ่วเบา นางราวกับอยู่ในฝัน มองไปรอบๆ อย่างงุนงงสับสน ที่แท้กลับถึงแท่นบูชาเทพแล้ว
อวี่ซือเฟิ่งนอนอยู่ข้างนาง ใต้ร่างมีกองเลือดสดแดงฉาน สองมือเสวียนจีสั่นระริกยื่นเข้าไปอังลมหายใจเขา รู้สึกเพียงแค่เขาหายใจอยู่ แม้ว่าจะอ่อนมาก แต่ยังมีชีวิตอยู่
นางน้ำตาไหลพราก หันไปกอดเขาไว้แน่น อะไรที่กล่าวกันว่าของยังเหมือนเดิม แต่คนที่เปลี่ยนไป ยามนี้นางนับว่ารับรู้รสชาติได้อย่างดี เห็นชัดๆ ว่าห้าคนตั้งปณิธานไปช่วยคนออกมา สุดท้ายกลับกลับมาแค่สองคน
ในอกเหมือนมีของแข็งบางอย่างขัดนางไว้ นางค่อยๆ ยื่นมือเข้าไปคว้าออกมามอง เป็นขวดแก้วผลึกใบนั้น จิตญาณหลิงหลงส่องประกายวาบวับหลากสีสัน งดงามราวกับความฝัน ยังดี…อย่างน้อย ก็ช่วยหลิงหลงกลับมาได้
นางน้ำตานองหน้า รู้สึกเพียงแค่เบื้องหน้าค่อยๆ ดับมืดลง จากนั้นก็หมดสติไปในทันที ไม่รู้สึกตัวอีกต่อไปแล้ว