จงหมิ่นเหยียนมองแสงนับหมื่นพันที่เปล่งประกายออกจากร่างเสวียนจีด้วยความตกตะลึง นางหายวับไปกับตา น้ำตาอาบใบหน้าเย็นราวน้ำแข็งไหลรดจากคางลงสู่อก เขาไม่ได้ยกมือปาดออก ราวกับเขากลายเป็นท่อนไม้ไปแล้ว ไม่ขยับเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย
บ่าพลันถูกคนตบ เป็นรั่วอวี้ เขากล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ไปกันเถอะ”
จงหมิ่นเหยียนเงียบงันเป็นนาน ก่อนจะกล่าวเบาๆ ว่า “รั่วอวี้…เจ้า…”
รั่วอวี้หัวเราะเฝื่อนๆ โอบบ่าเขา ลากเข้าเดินไปข้างหน้า เอ่ยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “เจ้าอยู่ที่นี่คนเดียว ใช่ว่าอันตรายไปหน่อยไหม”
จงหมิ่นเหยียนกัดฟันแน่น เสียงเครือกล่าวว่า “เจ้า…แต่…”
รั่วอวี้กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “เขาไม่เป็นไร คนตำหนักหลีเจ๋อ ไม่ตายง่ายเพียงนั้น ข้าหลบจุดสำคัญแล้ว เจ้าอย่าได้กังวล”
จงหมิ่นเหยียนยังอดไม่ได้ น้ำตาหลั่งรินทะลักออกมาอีกรอบ เขาใช้มืดปาดน้ำตาบนใบหน้า ไม่กล่าวอันใด
รั่วอวี้หยุดลงยืนรออยู่ข้างๆ ได้ยินเสียงหอบหายใจและสะอื้นไห้ของเขา นานมาก อยู่ๆ เอ่ยขึ้น “คืนนั้น…ข้าได้ยินหมดแล้ว”
จงหมิ่นเหยียนรีบเงยหน้า รั่วอวี้กล่าวอีกว่า “ขอโทษ ข้าไม่ได้แอบฟัง แต่เรื่องนี้เรื่องใหญ่ เจ้านิสัยวู่วาม หากไม่รอบคอบแม้นาทีก็ย่อมสูญสิ้นหมด ดังนั้นข้าตัดสินใจมาช่วยเจ้า สองคนก็ดีกว่าคนเดียว”
ในที่สุดจงหมิ่นเหยียนก็หยุดหลั่งน้ำตา ยกแขนเสื้อเช็ดหน้า มีเพียงสองตาที่ยังแดงเรื่อ ในจมูกเขายังคงติดขัด กล่าวว่า “แต่เจ้าเป็นคนตำหนักหลีเจ๋อ อาจารย์เจ้าไม่ตำหนิเจ้า?”
รั่วอวี้ส่ายหน้า “ตอนนี้ยังมาพูดเรื่องตำหนิหรือไม่ตำหนิ รั่วอวี้ใช่คนที่ทิ้งสหายยามเผชิญอันตราย!”
จงหมิ่นเหยียนมองเขาอย่างซาบซึ้งใจ แต่เล็กเขาร่วมซุกซนมากับอวี่ซือเฟิ่ง ผ่านอันตรายจนเป็นสหายร่วมเป็นร่วมตาย แม้ว่าตลอดทางรั่วอวี้จะดูแลตนเองอย่างดี แต่ก็เขาไม่ได้สนใจนัก มาถึงบัดนี้ จึงได้เข้าใจว่าคนผู้นี้เป็นวีรบุรุษแท้จริงที่มีใจรักคุณธรรม จึงเกิดความรู้สึกดีและเชื่อใจขึ้นมาทันที
“ดีที่นำจิตญาณหลิงหลงกลับไปได้แล้ว ก็ไม่นับว่ามาเสียเที่ยว”
จงหมิ่นเหยียนได้ยินเขากล่าวเช่นนี้ ก็รู้สึกดีขึ้นมาหน่อยหนึ่ง จากนั้นก็หันไปคิดถึงเฉินหมิ่นเจวี๋ยที่ตนตัดแขนขวาเขาขาด อยู่ไม่สู้ตาย เขายังอยู่ตรงนั้น ลำคอยังคงเฝื่อนขมไปหมด
รั่วอวี้ถอนใจกล่าวว่า “สถานการณ์ตอนนั้นก็ไม่มีทางอื่น ดีที่เจ้าและข้ายังอยู่ต่อที่นี่ วันหน้าคอยดูแลกันและกัน จบเรื่องพวกนี้ค่อยพาเขาออกไปก็เหมือนกัน”
เขาเห็นจงหมิ่นเหยียนสีหน้างุนงงก็ตบแขนอีกฝ่าย กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ไปเถอะ เรื่องใหญ่สำคัญกว่า”
จงหมิ่นเหยียนอึ้งต่ออีกนาน ก่อนจะถอนหายใจยาว หันกายเดินกลับไปห้องด้านข้างกับเขา อูถงยังนั่งอยู่บนเก้าอี้ ก้มหน้าตัดแต่งเล็บเขาอยู่ รอบๆ ล้วนเป็นศิษย์สำนักเซวียนหยวน บาดเจ็บบ้าง สลบบ้าง ร้องครวญครางไม่หยุด เขากลับไม่สนใจสักนิด
เห็นพวกเขาสองคนเดินมา เขายิ้มเล็กน้อยกล่าวน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “ฆ่าทิ้งแล้วหรือ”
รั่วอวี้กล่าวเสียงดังก้องว่า “ข้าน้อยแทงกระบี่ทะลุหน้าอกเขา แต่พวกมันหนีเร็ว ไม่รู้ตายหรือไม่ แต่แม้ว่าไม่ตาย บาดเจ็บเช่นนั้น อย่างน้อยก็ต้องพักรักษาตัวครึ่งปีกว่า ไม่อาจออกมาหาเรื่องได้ชั่วคราว”
อูถง “อืม” ขึ้นเสียงหนึ่ง ไม่กล่าวอันใด จงหมิ่นเหยียนมองเฉินหมิ่นเจวี๋ยนอนอยู่ที่มุมหนึ่ง แขนที่ขาดหล่นอยู่ข้างๆ เป็นตายไม่แน่ชัด ในใจก็เสียใจอย่างยิ่ง อดเผยออกมาทางใบหน้าไม่ได้ ได้แต่กัดฟันจนเสียงดังกรอด
อูถงพลันโบกมือ มองเห็นด้านหลังโถงจู่ๆ มีมารปีศาจสิบกว่าคนกรูกันออกมา มารปีศาจที่นำพวกเขามาที่นี่ผู้นั้นก็อยู่ในกลุ่มนี้ด้วย ในใจทั้งสองทั้งตกใจทั้งดีใจ ดีที่ตอนแรกไม่ได้เลือกสู้กับเขา ไม่อย่างนั้นเขาเรียกปีศาจจากด้านหลังพวกนั้นออกมา พวกเขาทุกคนล้วนต้องตายกันหมด
“นำคนผู้นั้นไปทำแผล ส่งกลับไปที่เดิม” อูถงสั่งการน้ำเสียงหนักแน่น “คนพวกนี้…ตายแล้วก็ลากไปให้สุนัขฟ้า ที่ยังไม่ตายก็ไสหัวไปหายาใส่เอง พวกไร้ประโยชน์!”
มารปีศาจพากันรับคำสั่งออกไปอย่างรวดเร็ว ในโถงข้างถูกเก็บกวาดสะอาด พวกเขาไม่สนใจพวกศิษย์สำนักเซวียนหยวนว่าตายจริงหรือแกล้งสลบ หากตนเองไม่อาจเดินออกไปได้ก็ทำเสียว่าเป็นคนตาย เอาไปโยนให้สุนัขฟ้ากินเสียเลย
จงหมิ่นเหยียนเห็นเขาโหดเ**้ยมเช่นนี้ ในใจก็หนาวเหน็บ กลับได้ยินอูถงยิ้มกล่าวว่า “พวกเจ้าคงแปลกใจใช่ไหม ใช้วิธีการเบิกฟ้าเข้ามาในเขาปู้โจวซาน ธูปใกล้หมดแล้ว คนอื่นกลับไปได้ แต่พวกเจ้ากลับไปไม่ได้”
รั่วอวี้สบตากับจงหมิ่นเหยียน กล่าวพร้อมกันว่า “ขอรองเจ้าสำนักให้ความกระจ่าง”
อูถงค่อยๆ กล่าวเนิบนาบว่า “ดูแหวนนั้นในมือพวกเจ้า”
ตอนพวกเขาเข้ามา มีคนมอบแหวนเหล็กนิลให้วงหนึ่ง เดิมไม่รู้ไว้ทำอะไร หลังเขาเอ่ยก็เข้าใจว่าสวมแหวนนี้แล้วก็อยู่เขาปู้โจวซานโดยไม่ถูกเทพสวรรค์รับรู้ได้
“นี่คือเหล็กนิลก้อนหนึ่งที่ยังไม่ได้หลอมและเหลือทิ้งไว้ตอนที่ไป๋ตี้หลอมกระบี่จูเสียและชวีหมอ เจ้าสำนักจึงได้หยิบมาถ่ายทอดพลังวัตรลงไป สวมมันแล้วก็จะข้ามเขตหยินหยางได้ตามต้องการ…แต่ทว่า ไม่อาจไปแดนสวรรค์ ดังนั้นจึงไม่นับว่าเป็นของดีอะไร”
เขาหมุนแหวนบนนิ้วตนเองเล่น วาจายโสไม่น้อย
รั่วอวี้ยิ้มกล่าวว่า “ความสามารถรองเจ้าสำนักเช่นนี้ วันหน้าย่อมประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่ ไปมาหกแดนได้ตามต้องการ แค่แดนสวรรค์จะเท่าไรกัน”
อูถงหัวเราะดังขึ้นเสียงหนึ่ง อยู่ๆ ก็โบกมือท่าทางเกียจคร้าน ได้ยินเสียงตบดังขึ้นทีหนึ่ง รั่วอวี้กุมใบหน้าที่ถูกตบ ไม่พูดสักคำ ปากเหมือนว่าเกิดเป็นแผลจนเลือดสดไหลออกมา
“พูดไร้สาระให้น้อยๆ หน่อย” เขากล่าวน้ำเสียงนิ่ง
คนผู้นี้อารมณ์แปรปรวนเสียจริง ในใจจงหมิ่นเหยียนตกใจมาก รั่วอวี้กล่าวรับคำเบาๆ เงยหน้ามองจงหมิ่นเหยียนที่มองตนเองอย่างเป็นห่วง เขายกมุมปากยิ้มเล็กน้อยแสดงให้เห็นว่าไม่ได้บาดเจ็บอะไร
อูถงค่อยๆ กล่าวเนิบนาบว่า “ข้าเป็นเพียงรองเจ้าสำนัก ยังแค่รองเจ้าสำนักฝ่ายขวา เบื้องบนยังมีรองเจ้าสำนักฝ่ายซ้ายและเจ้าสำนัก เพียงแต่ว่าเขาสองคนไม่ค่อยได้กลับมา เรื่องราวที่นี่ก็มอบให้ข้าดูแลชั่วคราว วันหน้าหากได้พบสองท่าน ก็ต้องให้ความเคารพนอบน้อม ห้ามล่วงเกินเด็ดขาด เข้าใจไหม”
ทั้งสองคนรับคำพร้อมกัน
อูถงพลันยิ้มกวักมือกล่าวว่า “มานี่ ข้าสนใจตำหนักหลีเจ๋อกับสำนักเส้าหยางไม่น้อย ลองเล่าให้ข้าฟังหน่อย”
เขากำลังจะสืบความลับของสำนักบำเพ็ญเซียนจากปากพวกเขา พวกจงหมิ่นเหยียนไม่กล้าปฏิเสธ ได้แต่เขยิบเข้าไปใกล้ ตัดสินใจแล้วว่า ขอเพียงเป็นเรื่องที่โลกทั่วไปรู้กันก็ย่อมเล่าได้ แต่หากเขาถามเรื่องอื่นขึ้นก็แกล้งไม่รู้ให้หมด
*****
ตอนเสวียนจีฟื้นขึ้นมา รู้สึกเพียงแค่ร่างกายอ่อนยวบหมดเรี่ยวแรงอยู่บนเตียง นางค่อยๆ ลืมตาขึ้น มองไปยังม่านมุ่งที่ทิ้งตัวเบื้องหน้าเงียบ ยังมีลายดอกไม้งดงามประหลาดบนเพดาน พลันได้สติรู้ว่าที่ใด
นอกห้องราวกับมีคนกระซิบคุยกัน ร่างนางขยับเล็กน้อย รู้สึกเพียงแค่หน้าอกชาหนึบ มีความเจ็บปลาบกำซาบ ความเจ็บปวดทำเอานางสะดุ้ง จำได้ว่าที่นี่คือหมู่บ้านเก๋อเอ่อร์มู่ เพียงแต่ไม่เข้าใจว่าทำไมนางกลับจากแท่นบูชาเทพมาถึงที่นี่ได้ นางดิ้นรนจะลุกนั่ง มองแล้วพลันตาลาย หน้าอกเจ็บแปลบ อ้าปากทำท่าจะอาเจียนออกมา
คนในห้องหยุดคุยกันทันที ผลักประตูก้าวเข้าไปอย่างรวดเร็ว เป็นพวกฉู่เหล่ยสามคน
“เสวียนจี!” ฉู่อิ่งหงเห็นนางฟื้นขึ้นมา อดดีใจไม่ได้ รีบไปนั่งงข้างเตียง ประคองนางนอนลงที่เดิม “เจ้าบาดเจ็บภายใน อย่าขยับ!”
นิ้วเสวียนจีกำผ้าห่มแน่น คิดถึงเรื่องเจ็บปวดน่าสลดที่เกิดบนเขาปู้โจวซานน้ำตาพลันไหลทะลักหยดลงจากขอบตา
“ซือเฟิ่งล่ะ” นางถามน้ำเสียงแหบพร่า เหมือนไม่ใช่เสียงตนเอง
ฉู่เหล่ยถอนหายใจ “สภาพเขาอันตรายมาก ถูกแทงหน้าอกใกล้หัวใจมาก ไม่รู้จะทนพ้นสองสามวันได้ไหม”
สีหน้าเสวียนจีซีดขาว นิ่งงันเป็นนานก่อนจะพึมพำกล่าวว่า “เขา…หากเขาตาย…ข้า ข้า…”
ฉู่อิ่งหงกลัวนางเจ็บปวดจนคิดจะปลิดชีพตน รีบกุมมือนางไว้ กล่าวว่า “กระบี่นั่นแทงได้พอดีมาก ไม่ได้โดนจุดสำคัญ เพียงแต่เลือดออกมาไป ขอเพียงผ่านพ้นคืนวันนี้ไปได้ย่อมไม่เป็นไร! เจ้าเองเองก็บาดเจ็บสะสมมาก อย่ากังวลเรื่องพวกนี้อีกเลย”
ไม่รู้เสวียนจีรับรู้ไหม หากก็เอาแต่พยักหน้างุนงง
ฉู่อิ่งหงเห็นท่าทางนางเช่นนี้ ในใจก็ปวดปลาบ แต่กลับคิดไม่ออกว่าควรปลอบใจเช่นไร ได้แต่ก้มหน้าปาดน้ำตา ฉู่เหล่ยเดินข้ามามองนาง พวกเขาทั้งสามไปรอที่แท่นบูชาเทพแต่เช้า เดิมยังคิดว่าไม่ว่าช่วยคนออกมาได้หรือไม่ก็ไม่เป็นไร ขอเพียงกลับมาอย่างปลอดภัย ทุกอย่างก็ล้วนดี เขาถึงกับคิดไว้แล้วว่าจะเก็บคืนวาจาขับไล่จงหมิ่นเหยียนออกจากสำนัก ผู้ใดจะรู้ว่าห้าคนไปเขาปู้โจวซาน กลับมาเพียงแค่สอง และยังมาในสภาพแทบสิ้นชีวิต
ในใจเขารู้ว่าต้องเกิดเรื่องน่าสลดใจเป็นแน่ ได้แต่ขยับปากเล็กน้อย ถึงกับถามไม่ออก
เสวียนจีลูบหน้าอกอยู่เป็นนาน สีหน้าอยู่ๆ แปรเปลี่ยน น้ำเสียงเคร่งเครียดกล่าวว่า “ขวดล่ะ?!” หลังนางได้รับบาดเจ็บสาหัส เดิมสีหน้าก็ไม่งดงามอยู่แล้ว มาตกใจก็ยิ่งซีดขาว ไม่ต่างอันใดกับคนตาย
ฉู่อิ่งหงรีบคว้าขวดแก้วผลึกใบเล็กออกจากใต้หมอนส่งให้ “อยู่นี่”
เสวียนจีรับมาก้มลงมองจิตญาณหลากสีอย่างคลายกังวล ก่อนจะเงยหน้ามองฉู่เหล่ย กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “นี่คือ…จิตญาณหลิงหลง ยังมี…ศิษย์พี่หกฝากข้าบอกท่านพ่อ…เขาว่า จงหมิ่นเหยียนปฏิบัติภารกิจลุล่วง!”
ทั้งสามได้ยินว่าพวกเขาถึงกับนำจิตญาณหลิงหลงกลับมาได้ก็อดดีใจระคนตกใจไม่ได้ และยังแอบเสียใจอีกด้วย ตกใจที่พวกเขาอายุน้อยแต่จัดการเรื่องเช่นนี้ได้สำเร็จจริง แม้ว่าบาดเจ็บสาหัสก็ตาม ดีใจที่ในที่สุดช่วยหลิงหลงกลับมาได้แล้ว เสียใจที่จงหมิ่นเหยียนไม่ได้กลับมา บางทีอาจตายที่เขาปู้โจวซานไปแล้ว แม้แต่ดินฝังศพเขาสักถ้วยก็ยังไม่อาจจัดการให้ได้
ฉู่เหล่ยเสียงสั่นกล่าวว่า “พวกเจ้า…วาจาหมิ่นเหยียนหมายความว่าอย่างไร เขาเป็นอย่างไรบ้าง”
เสวียนจีหลับตาลงอย่างเหนื่อยล้า กล่าวเบาๆ ว่า “ศิษย์พี่หกเขา…อยู่ที่เขาปู้โจวซานต่อ เป็นสมุนอูถง…อูถงยังไม่ตาย เป็นรองเจ้าสำนักมารปีศาจพวกนั้น…ท่านพ่อ ท่านไม่เคยสั่งให้ศิษย์พี่หกทำอะไรใช่ไหม เขา…หลายวันนี้เขามีทีท่าผิดปกติมาก ถึงกับ…ตัดแขนศิษย์พี่รอง…”
ฉู่เหล่ยผุดลุกขึ้นจากขอบเตียง สีหน้าสับสนอย่างยิ่ง ทั้งงุนงนทั้งเจ็บปวด ยังเจือความโมโหอยู่ไม่น้อย
“เรื่องขับไล่ออกจากสำนัก…เขาถือเป็นจริงหรือ”
เสวียนจีกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ข้าไม่รู้…แต่ตั้งแต่วันนั้นที่เขาพบพวกท่านก็ผิดปกติไป…ข้า ตอนข้าไป เขาร้องไห้เจ็บปวดใจมาก…ดังนั้นข้าคิดว่า ต้องมีคนบีบให้เขาทำเช่นนี้…”
นางลืมตาจ้องมองฉู่เหล่ยนิ่ง แม้ว่ายังป่วย แต่สองตากลับส่องประกายวาว ทำเอาขนลุกชัน
ฉู่เหล่ยไร้วาจาจะกล่าว ในใจงุนงงอย่างที่สุด เขาย่อมไม่แก้ตัวอันใดกับบุตรสาวตนว่าตนเองไม่ได้สั่งให้จงหมิ่นเหยียนไปเข้าร่วมกับพวกมารปีศาจ ความจริงในสายตานางเองก็มองออกว่านางไม่เชื่อใจเขาแล้ว ดังนั้นพูดมากไปก็เสียเปล่า
เหอหยางที่เอาแต่นิ่งเงียบแต่ต้นพลันกล่าวน้ำเสียงอ่อนโยน ถามว่า “เสวียนจีน้อย ศิษย์ตำหนักหลีเจ๋ออีกคนล่ะ ไม่กลับมาหรือ”
เขาไม่เอ่ยถึงรั่วอวี้ยังดี พอเอ่ยถึงเขา เสวียนจีก็คิดถึงภาพกระบี่เขาที่แทงทะลุหน้าอกอวี่ซือเฟิ่ง ภายใต้หน้ากาก ดวงตาเขามืดดำราวท้องฟ้าค่ำคืน มองไม่เห็นสิ่งใด ภาพนี้ทำให้นางสั่นไปทั้งตัว หน้าอกพลันปวดแปลบขึ้นมาทันที คลานไปข้างเตียงก่อนจะอาเจียนออกมา แต่ไม่อาจอาเจียนอะไรออกมาได้
ฉู่อิ่งหงเจ็บปวดใจอย่างที่สุด ถลึงตาใส่สามีตนเองอย่างที่ไม่ค่อยได้ทำบ่อยนัก ยกมือลูบหลังนาง กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ไม่ต้องรีบ…ค่อยๆ ว่ามา ไม่เป็นไรแล้ว…”
เสวียนจีอาเจียนครู่หนึ่งก็อ่อนแรงตัวอ่อนยวบลง เสียงเครือกล่าวว่า “เขา…รั่วอวี้เขาก็อยู่ต่อ! เขาเป็นคนแทงซือเฟิ่ง…เขาแทง!”
ทั้งสามล้วนไม่รู้ว่าควรกล่าวอันใด เรื่องกลับกลายเป็นเช่นนี้ ตีหัวให้แตกก็คิดไม่ถึงว่าหนุ่มน้อยสองคนนั้นเหตุใดจึงต้องทรยศสำนัก ยอมสวามิภักดิ์มารปีศาจ หรือว่าเป็นดังเสวียนจีว่า มีคนบีบพวกเขา? แต่ตลอดทางพวกเขาเร่งเดินทางมาจากสำนักเส้าหยางไม่ได้หยุดม้า ก็ไม่ได้พบเห็นร่องรอยเด็กๆ ระหว่างทางเลย
เช่นนี้ แท้จริงผู้ใด แท้จริงเรื่องราวเป็นเช่นไร
ฉู่อิ่งหงมองเสวียนจีสองตาแดงก่ำ สีหน้ากลับซีดเผือดผิดปกติ รู้ว่าไม่ควรถามต่อ จึงได้แต่กล่าวอ่อนโยนว่า “ล้วนผ่านไปแล้ว ซือเฟิ่งไม่เป็นไร…เจ้าบาดเจ็บ อย่าเคลื่อนไหว นอนหลับดีๆ สักตื่น พรุ่งนี้เช้าตื่นมา ซือเฟิ่งก็หายแล้ว”
แต่ไรมาเสวียนจีก็เชื่อฟังนาง ดังนั้นจึงพยักหน้าหลับตาลง ฉู่อิ่งหงหันกลับไปส่งสัญญาณให้เขาทั้งสองคน พวกเขากำลังจะลุกออกไปเงียบๆ ก็กลับถูกนางคว้ามือไว้แน่น
“ท่านอาหง ข้ากลัว…” นางกล่าวน้ำเสียงอ่อนแอ น้ำเสียงออดอ้อนเช่นนี้ ตั้งแต่นางไปยอดเขาเสี่ยวหยางก็ไม่เคยได้ยินอีกเลย ในใจฉู่อิ่งหงปวดแปลบ เดินกลับไปนั่งลงกุมมือนางไว้ กล่าวอ่อนโยนว่า “ท่านอาหงไม่ไปไหน อยู่เป็นเพื่อนเจ้าที่นี่”
เหอหยางกับฉู่เหล่ยปิดประตูเบาๆ ก่อนเดินออกไปด้านนอก ฉู่เหล่ยสีหน้าเงียบขรึม ไม่กล่าวอันใดสักคำก่อนเดินกลับห้องไป เหอหยางรู้ว่าในใจเขาเสียใจอย่างยิ่ง นับประสาอะไรกับแต่ไรมาเขาเป็นคนเข้มแข็ง แม้ความเจ็บปวดที่ถูกตัดมือเท้า เขาเองไม่ยอมให้ผู้อื่นได้เห็น ดังนั้นจึงไม่ไปรบกวนเขา ตนเองไปดูอวี่ซือเฟิ่ง
หนุ่มน้อยนอนอยู่บนเตียง หน้าอกมีผ้าพันแผลพันไว้ รอยเลือดด้านบนยังคงเผยเป็นดวงด่าง เขาคล้ายไร้ลมหายใจไปแล้ว เนิ่นนานกว่าหน้าอกจึงจะกระเพื่อมขึ้นลงเบาๆ ทีหนึ่ง จริงๆ แล้วสภาพเขาอันตรายมาก ชีพจรบ้างก็มีบ้างก็ไม่มี หมดลมหายใจได้ตลอดเวลา
เหอหยางนั่งลงข้างเตียง จับชีพจรเขาดู ก่อนจะค่อยๆ ถ่ายทอดพลังวัตร หวังว่าจะรักษาชีพจรเขาไว้ได้ ในบรรดาผู้ใหญ่ทั้งสาม เขาเป็นหมอที่ชำนาญที่สุด แต่เขาไม่ได้บอกใครว่าจริงๆ แล้วกระบี่นั่นแทงเข้าจุดสำคัญของเขา หากเป็นคนปกติก็คงตายในทันที แต่เพราะเขาเป็นผู้บำเพ็ญเซียน ร่างกายจึงแข็งแรงกว่าคนปกติมาก ดังนั้นจึงทนมาได้ถึงตอนนี้
และเขายังพบเรื่องประหลาดมากเรื่องหนึ่ง เหอหยางค่อยๆ ยกแขนเด็กหนุ่มขึ้น ใต้วงแขนอวี่ซือเฟิ่งมีไข่มุกดำสามเม็ดเหมือนทองเหมือนหยกฝังอยู่ทั้งสองข้างเห็นได้ชัดเจนมาก ด้านบนยังลงอักขระไว้เต็มพื้นที่ ลองใช้มือสัมผัสดูก็พบว่าไม่ขยับแม้แต่น้อย
นี่คืออะไร ผู้มีความรู้กว้างไกลอย่างเขาถึงกับไม่รู้
เหอหยางมองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะปล่อยแขนลง ส่งพลังวัตรให้เขาต่อ
หวังว่าเขาจะทนผ่านคืนนี้ไปได้ เขาส่ายหน้าเงียบๆ
ฉู่อิ่งหงนั่งอยู่ข้างเตียง รอบๆ ค่อยๆ เงียบลง เสวียนจีบนเตียงก็ไม่ขยับ กุมมือนางไว้แน่นราวกับเป็นกิ่งไม้เพียงกิ่งเดียวท่ามกลางลมพายุบ้าคลั่งรุนแรง ผ่านไปนาน นางคิดว่าเสวียนจีหลับไปแล้ว จึงค่อยๆ โยกตัวไปมอง
ใต้แสงดาว นางหลับตาลงปล่อยให้น้ำตาไหลพราก
อิ่งหงลอบถอนใจอยู่ในใจฉู่ กลับไปนั่งที่เดิม ไม่รู้ว่าควรกล่าวอันใดอยู่นาน