ส่วนที่ 3 เสวียนจีไร้ใจ ตอนที่ 40 บาดเจ็บ (2)

ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption

ค่ำคืนที่ยากจะผ่านพ้น ในที่สุดก็ใกล้จะสิ้นสุดลง แสงสีฟ้าอ่อนยามเช้าสาดส่องเข้ามาทางกระดาษปิดหน้าต่างสะท้อนเข้ามาในห้อง เทียนบนโต๊ะใกล้มอด น้ำตาเทียนเทียนหลอมกองโตอยู่บนพื้น เป็นนาน เหอหยางจึงนึกได้ ลุกไปเปลี่ยนเทียนใหม่ 

 

 

ชายหนุ่มบนเตียงไม่ฟื้นทั้งคืน แต่ก็ไม่มีอาการใดน่าเป็นห่วง ยามนี้เป็นช่วงเวลาสำคัญที่ควรจะได้สติ หากฝืนทนผ่านช่วงนี้ไปได้ เขาก็ย่อมพ้นขีดอันตราย  

 

 

เขาค้นหาเทียนเล่มใหม่คิดจะจุด เดินไปข้างเตียงตรวจดูอาการอวี่ซือเฟิ่ง ผู้ใดจะรู้ว่ามีดวงตาดำขลับหากไร้แววใสกระจ่างจับจ้องเขาอยู่ เหอหยางตกใจ กล่าวเบาๆ ว่า “เจ้าฟื้นแล้ว?” 

 

 

อวี่ซือเฟิ่งไม่ตอบ เอาแต่เบิกตาจ้องมองอยู่นานก่อนสีหน้าจะค่อยๆ แดงขึ้นราวกับคนเมาสุรา หน้าแดงก่ำ สองตาดำขลับกลับเลื่อนลอย ทำเอาคนแปลกใจ 

 

 

ในใจเหอหยางพลันตกใจ รู้ว่าไม่ได้การแล้ว โยนเทียนทิ้งเข้าไปจับชีพจรเขา แตะนิ้วลงไปพลันรู้สึกเพียงแค่สั่นไหวเบาบาง และเต้นเร็วราวรัวกลอง อยู่ๆ ก็เงียบลง อยู่ๆ ก็ค่อยๆ เต้น ราวกับพร้อมจะหยุดได้ตลอดเวลา 

 

 

อันตราย! เขารีบกดบ่าเขาไว้ กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “อย่าขยับ! พยายามหายใจไว้!” เขาถ่ายทอดพลังวัตรผ่านนิ้วมือ ค่อยๆ ถ่ายทอดเข้าไป ผู้ใดจะรู้ว่าราวกับถมทะเล ไร้ปฏิกิริยาตอบสนอง ในใจเขาสะดุ้งก่อนจะรีบเก็บนิ้วมือกลับมาดีดหน้าผากเขาสองที 

 

 

อวี่ซือเฟิ่งถูกเขาดีดไปทีหนึ่งทำเอาทั้งร่างพลันสะดุ้ง ยกมือคว้าแขนเขาไว้แน่น แรงมือมากจนแทบจะบีบกระดูกแหลก เหอหยางกัดฟันทนความเจ็บปวด หากไม่ขยับ เพียงแค่ปลอบใจอ่อนโยนว่า “ไม่เป็นไรแล้ว พยายามหายใจไว้ ทำใจให้สงบ” 

 

 

เสียงยังกล่าวไม่จบ รู้สึกเพียงแค่ลมหายใจเขาหอบหนัก ผ้าพันแผลบนหน้าอกที่เพิ่งเปลี่ยนมีเลือดไหลซึมเปื้อนเป็นวงกว้างอย่างรวดเร็ว หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เขาต้องไม่อาจผ่านพ้นคืนนี้ไปได้อย่างแน่นอน คงต้องตายเพราะเสียเลือดมากเกินไป เลือดไหลออกจากมุมปากเขาเล็กน้อย แสดงให้เห็นว่าปอดเขาบาดเจ็บสาหัส การหายใจถูกเลือดขัดไว้ 

 

 

เหอหยางกำลังไม่รู้ว่าควรทำเช่นไรอยู่นั้น อวี่ซือเฟิ่งกลับลืมตาขึ้น ครั้งนี้แววตาทอประกายเล็กน้อย แขนถูกเขาบีบแน่นขึ้นเรื่อยๆ จนกระดูกลั่น เขาขยับริมฝีปากราวกับอยากเอ่ยอะไร เหอหยางร้อนใจกล่าวว่า “อย่าเพิ่งพูด! ตั้งสมาธิ!” 

 

 

พอเขาอ้าปาก เลือดก็ทะลักออกมามากมาย วาจาเริ่มอู้อี้ไม่ชัด แต่เหอหยางยังฟังเข้าใจ 

 

 

เขากล่าวว่า “ใต้วงแขน…เปิด…สองผนึก” 

 

 

ผนึก หมายถึงไข่มุกดำประหลาดพวกนั้นหรือ เหอหยางยกแขนเขาขึ้นอย่างสงสัย มองใต้วงแขนเขาค่อนไปทางเอวมีไข่มุกดำขยับไปมาราวกับมีชีวิต ราวกับจะกระโดดออกมา มองเห็นไข่มุกสองเม็ดซ้ายขวาเต้นไหวรุนแรงราวกับใกล้จะหลุดออกมา เขาเพ่งสมาธิถ่ายทอดพลังวัตรลงไปให้กับมุกเม็ดนั้น ก่อนจะค่อยๆ ดึง ไม่ใช่มุก! ใต้มุกดำ เป็นเข็มเงินเล่มหนึ่ง! 

 

 

ในใจเขาตกใจยิ่ง ไม่กล้าดึงออกมา ได้แต่ค่อยๆ ผ่อนแรง ใต้มุกดำนั่นเชื่อมกับเข็มเงินยาวราวห้าหกนิ้ว ปักร่างเขาไว้ ใต้วงแขนเป็นจุดสำคัญ คนปกติหากมีเข็มปักที่นี่เท่ากับรนหาที่ตาย นับประสาอันใดกับยาวเพียงนี้ 

 

 

พอดึงเข็มเงินสองเล่มออกมา ด้านบนถึงกับไม่มีรอยเลือดแม้แต่น้อย ก้มลงมองเอวเขา ถึงกับก็ไม่มีร่องรอยอะไรเลย ราวกับไม่เคยมีเข็มปักอยู่มาก่อน ในใจเหอหยางนึกสงสัย หากก็ได้แต่วางเข็มที่มีไข่มุกดำปักอยู่ไว้บนข้างเตียง ก้มลงมองอาการเขา 

 

 

สองตาเขาหลับสนิท แผลที่หน้าอกไม่มีเลือดไหวเป็นวงกว้างอีกแล้ว ใบหน้าที่แดงก่ำน่าประหลาดก็ค่อยๆ จางลง เริ่มซีดขาว มีเพียงเหงื่อที่ผุดบนหน้าผาก ก็ไม่รู้เจ็บปวดหรือเพราะเหตุใด 

 

 

เหอหยางแตะชีพจรเขา ตกใจอึ้งไปทันที เมื่อครู่อาการชีพจรเต้นประหลาดหยุดลงแล้ว ยามนี้ชีพจรเขาแม้ว่าอ่อนแรง แต่ก็นับว่าเป็นจังหวะ เขาเหงื่อผุดเต็มหน้าผาก พลันหันกลับมองแสงหน้าต่างเริ่มสว่างมากแล้ว ค่ำคืนได้ผ่านพ้นมาแล้ว ชายหนุ่มบนเตียงผ่านช่วงวิฤกตที่สุดมาได้แล้ว จากนี้ก็แค่รักษาตัวให้ฟื้น 

 

 

เหอหยางนิ่งเงียบเป็นนาน ในที่สุดจึงใส่ยาและทำแผลให้เขา ก่อนจะหยิบเข็มเงินประหลาดสองเล่มขึ้นส่องดู ไม่มีอะไรผิดปกติ ตำหนักหลีเจ๋อแต่ไรมาก็ลึกลับยากคาดเดา บางทีอาจเป็นวิธีพิเศษพิสดารอะไรของพวกเขาที่แดนมนุษย์ไม่มีก็เป็นได้ กล่าวได้ว่า ‘ผนึก’ เปิดออกสองข้าง อวี่ซือเฟิ่งก็ผ่านพ้นห้วงเวลาวิฤกติมาได้ หรือว่าเป็นมนตร์คาถาผนึกพลัง? 

 

 

เหอหยางคิดอยู่นานก็คิดไม่ออก ได้แต่วางเข็มเงินลงข้างเตียงดังเดิม พลันได้ยินนอกห้องมีเสียงดังมาตามมาด้วยเสียงฉู่อิ่งหง “เสวียนจี เจ้าบาดเจ็บ ไม่ได้นอนทั้งคืน อย่าเอาแต่ใจ!” 

 

 

เขาลุกขึ้นไปเปิดประตู เห็นเสวียนจีจับกำแพงยืนพิงอยู่ด้านนอก ภรรยาตนเองสีหน้ากลัดกลุ้มยืนเตือนอยู่ข้างๆ นาง พอเห็นเขาออกมา สีหน้าเสวียนจีในยามนั้นเต็มไปด้วยความหวัง แต่กลับไม่กล่าวอันใด เอาแต่นิ่งมองเขา 

 

 

เหอหยางยิ้มเล็กน้อย กล่าวอ่อนโยนว่า “ไม่เป็นไร เขาผ่านพ้นมาได้แล้ว ตอนนี้น่าจะหลับ วางใจได้” 

 

 

เด็กหญิงกายสั่นเทิ้ม มองท่าทางนางเหมือนกับจะร้องไห้แต่ร้องไห้ไม่ออก สุดท้ายก็ยิ้ม กล่าวเบาๆ ว่า “เช่นนั้นข้า…คืนนี้มาเยี่ยมเขาอีก” กล่าวจบก็หันหลังจะกลับห้องตนเอง 

 

 

ฉู่อิ่งหงถอนหายใจ หันไปสบตายิ้มกับสามี หวาดกลัวมาทั้งคืน ในที่สุดก็ไม่เป็นไร อยู่ๆ เหอหยางกลับกล่าวน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ตอนนี้เจ้าไปเยี่ยมเขาได้ แต่อย่ารบกวนเขาตื่น” 

 

 

นิ้วเสวียนจีสั่นไหว อดเช็ดมือกับตัวไม่ได้ สุดท้ายคว้ามุมเสื้อไว้แน่น เป็นนานจึงกล่าวว่า “ไม่…ข้ากล้วข้าเข้าไป…จะทำเสียงดังจนเขาตื่น…คืนนี้ค่อยมาเยี่ยม…” 

 

 

นางรู้สึกตนเองเข้าไปต้องร้องไห้แน่ นางไม่อยากให้อวี่ซือเฟิ่งเห็นตนเองกำลังร้องไห้ เมื่อคืนนี้นางร้องไห้มามากพอแล้ว 

 

 

 

 

 

***** 

 

 

 

 

 

ในวันที่สิบอวี่ซือเฟิ่งก็เริ่มพูดได้ แม้ว่ายังไม่ได้สติเต็มที่ แต่ก็ไม่ได้เหมือนตอนแรกที่เอาแต่หลับใหล ทุกวันเสวียนจีจะมานั่งคุดคู้รออยู่หน้าประตู บางทีก็ลอบมองเข้าไป มองเขานอนหลับอยู่บนเตียง ผู้ใหญ่ทั้งสามได้แต่ไม่รู้จะทำอะไรกับท่าทางราวกับสุนัขของนาง แต่ก็ไม่ได้ห้ามปราม 

 

 

เห็นอาการอวี่ซือเฟิ่งดีขึ้น ไม่มีอันตรายถึงชีวิตอีก อาการบาดเจ็บของเสวียนจีก็หายค่อนข้างเร็ว ก็ไม่มีเรื่องใดให้ต้องเป็นห่วงอีก ผู้ใหญ่ทั้งสามจึงหารือกันว่าจะกลับสำนักเส้าหยาง อย่างไรงานชุมนุมปักบุปผาปลายปีก็ใกล้เข้ามาแล้ว นับประสาอันใดกับเรื่องมารปีศาจก็ไม่ได้มีเหตุเร่งด่วน คนสำคัญทั้งสามไม่อาจอยู่นอกสำนักกันนานเช่นนี้ 

 

 

“เสวียนจี หรือว่าตามพวกเรากลับเส้าหยาง?” ตอนอาหารเย็น ฉู่อิ่งหงอย่างไรก็ไม่วางใจที่จะปล่อยเด็กน้อยสองคนอยู่ต่อที่นี่ ดังนั้นจึงถามขึ้น “ใช่แล้ว พาซือเฟิ่งไปด้วยกัน” 

 

 

นางคิดว่าผ่านความยากลำบากทุกข์ทนมามากมายเพียงนี้ ตามนิสัยเสวียนจี ย่อมต้องอยากกลับบ้านมากเป็นแน่ ผู้ใดจะรู้ว่านางอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะรีบส่ายหน้าอย่างไม่ต้องคิด “ไม่ ข้าจะอยู่ดูแลซือเฟิ่ง เขาบาดเจ็บหนักเพียงนี้ ไม่อาจเร่งเดินทาง อีกเรื่อง…เวลาฝึกฝนตนของข้ายังไม่ครบกำหนด ไม่คิดกลับไปเร็วไป” 

 

 

ฉู่อิ่งหงอึ้งหันกลับไปมองฉู่เหล่ยกับเหอหยาง ทั้งสองเหมือนรู้แล้วว่านางจะตอบเช่นนี้ ฉู่เหล่ยกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “เจ้าก็โตแล้ว ตัดสินใจเองแล้วก็ทำไป ข้าไม่อาจข้องเกี่ยว เพียงแต่ทุกเรื่องต้องจำให้ดีว่า ไตร่ตรองให้รอบคอบก่อนลงมือทำ” 

 

 

เสวียนจีพยักหน้า ครั้งนี้พยักหน้าจริงๆ ไม่ใช่พยักไปอย่างนั้น 

 

 

เหอหยางยิ้มกล่าวว่า “ความรู้จักเหตุรู้จักผลเป็นสิ่งที่ต้องระลึกได้เอง ไม่อาจฟังมา คนแก่พร่ำบน คนหนุ่มสาวไม่อยากฟัง เส้นทางตนเอง ตนเดินไปเองก็พอ” 

 

 

ฉู่อิ่งหงเห็นเขาสองคนกล่าวเช่นนี้ ตนเองกังวลอยู่ครู่หนึ่งก็ปล่อยวางได้ นางลูบศีรษะเสวียนจี กล่าวว่า “อยู่คนเดียวนอกบ้านต้องระวัง ท่านแม่เจ้าให้ข้ามาบอกเจ้าว่า ไม่ต้องคิดถึงบ้าน ท่านพ่อท่านแม่สุขภาพแข็งแรงดี รอเจ้าฝึกฝนตนครบกำหนดกลับไปร่วมงานชุมนุมปักบุปผา นางจะทำอาหารที่ดีที่สุดมื้อหนึ่งรอรับเจ้า” 

 

 

เสวียนจีคิดถึงท่านแม่ที่อยู่ไกลถึงเขาแรกอรุณ คิดถึงว่านางนั่งเหม่อในห้องทุกวัน พอคิดถึงนาง ขอบตาก็เริ่มร้อนผ่าว พยักหน้าเงียบๆ 

 

 

รับประทานอาหารเสร็จ พวกฉู่เหล่ยทั้งสามก็กลับห้องไปเก็บของเตรียมจากไปในอีกสองวัน เสวียนจีอยู่ๆ ก็ไปหาท่านพ่อ กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ท่านพ่อ มีบางเรื่องข้าอยากกล่าวกับท่าน” 

 

 

ในใจฉู่เหล่ยรู้สึกแปลกใจ บุตรสาวคนเล็กผู้นี้จริงๆ แล้วไม่สนิทกับตนเอง ยากที่นางจะมาพบตนคุยกันส่วนตัวเช่นนี้ ในใจเขาแอบดีใจอยู่บ้าง เพียงแต่สีหน้าไม่แสดงออก ยามนั้นพยักหน้าด้วยสีหน้านิ่งเรียบ เปิดประตูให้นางเข้ามาในห้อง 

 

 

เสวียนจีเดินเข้ามา ค่อยๆ ลงนั่ง เป็นนานจึงได้บอกเล่าเรื่องราวสำนักเซวียนหยวนกับเขา ฉู่เหล่ยยิ่งฟังสีหน้าก็ยิ่งหนักใจ พอนางกล่าวจบ เดิมเขามีคำถามมากมายในใจกลับถามไม่ออก รู้สึกเพียงแค่ตกใจมาก 

 

 

“กล่าวเช่นนี้ สำนักเซวียนหยวนไม่ได้ถูกวาดล้าง? พวกเขา…สวามิภักดิ์มารปีศาจพวกนั้น?” 

 

 

น้ำเสียงเขาสั่นเล็กน้อย ไม่อยากจะเชื่อว่านี่เป็นเรื่องจริง สำนักเซวียนหยวนอย่างไรก็นับเป็นหนึ่งในห้าสำนักใหญ่ ถึงกับทำเรื่องเช่นนี้ได้ ไม่เพียงลบหลู่พวกเขา ยังเป็นการลบหลู่เหล่าผู้บำเพ็ญเซียน 

 

 

เสวียนจีกล่าวเบาๆ ว่า “ข้าไม่ได้เห็นบรรดาผู้อาวุโสที่นั่น เห็นแต่ศิษย์รุ่นเยาว์ แต่สำนักเซวียนหยวนสวามิภักดิ์มารปีศาจพวกนั้น พวกเขาเป็นคนพูดเอง ข้ารู้สึกว่าพวกอูถงไม่เพียงแต่ต้องการทำลายโซ่หมุดทะเล น่าจะมีเป้าหมายที่สูงไปกว่านั้น ดังนั้น…ข้า ข้ากังวล…” 

 

 

บิดาเข้มงวดตรงหน้า แต่ไรมานางก็ไม่รู้ว่าจะพูดกับเขาดีๆ อย่างไร จะแสดงอาการเป็นห่วงของตนเองอย่างไร ราวกับหากพูดออกไปกลับจะถูกตำหนิได้ ยามนี้กล่าวจบ นางก็ห่อไหล่ มองฉู่เหล่ยด้วยท่าทางน่าสงสาร 

 

 

เขาอึ้งไปครู่หนึ่ง พลันยิ้มอย่างไม่เคยยิ้มมาก่อน รอยยิ้มแสนอ่อนโยน 

 

 

“เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง” เป็นครั้งแรกที่ลูบหัวบุตรสาวคนเล็กอย่างเอ็นดู “ท่านพ่อเจ้าไม่ถึงกับปล่อยให้เส้าหยางถูกคนทำลายหรอก” 

 

 

เสวียนจีตกใจที่อยู่ๆ ก็ได้รับความเอ็นดู ปล่อยให้ท่านพ่อพูดต่อไป ตนเองไม่รู้ควรกล่าวอันใด ก่อนจะถอยออกมา ฉู่เหล่ยที่ด้านหลังกล่าวอ่อนโยนว่า “เจ้าเป็นคนที่ข้าเป็นห่วงที่สุด เสวียนจี ต้องดูแลตัวเองให้ดี”  

 

 

นางรู้สึกมีก้อนสะอื้นจุกที่ลำคอ รู้สึกเพียงแค่หลายปีมานี้ คืนนี้เป็นครั้งแรกที่ได้คุยเปิดเผยกับท่านพ่อ ในใจรู้สึกมีความรู้สึกมากมายประดังเข้ามา คิดอยากแบ่งปันความรู้สึกนี้ แต่พอหันกลับไปก็ไม่เห็นใบหน้าที่มีรอยยิ้มคุ้นเคยอยู่ข้างกาย 

 

 

ระเบียงทางเดินมีนางคนเดียว แสงจันทร์สาดเงาโดดเดี่ยวทอดยาว 

 

 

เสวียนจียืนเงียบอยู่ตรงระเบียงทางเดินเป็นนาน ในที่สุดก็หันหลังเดินไปห้องอวี่ซือเฟิ่ง ค่อยๆ ผลักประตูเบาๆ ส่วนใหญ่ยามนี้เขาหลับอยู่ นางขอแค่ได้มองเขา มองเงียบๆ ครู่หนึ่ง เช่นนี้ราวกับทำให้นางรวบรวมความกล้าได้มากขึ้น 

 

 

ในห้องจุดเทียนเล่มเล็กไว้เล่มหนึ่ง แสงเทียนวูบไหว ชายหนุ่มยังไม่ได้นอน นั่งพิงหัวเตียงอยู่ สองตาวาวราวกับดวงดาว เผยรอยยิ้มบางมองนาง 

 

 

ในใจนางกระตุก ตัวแข็งค้างอยู่กับที่ เป็นนานจึงได้กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ซือเฟิ่ง…”