ส่วนที่ 3 เสวียนจีไร้ใจ ตอนที่ 41 บาดเจ็บ (3)

ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption

ผมยาวของเขาทิ้งตัวลงบนบ่า ปิดบังสีหน้าซีดขาวไปได้กว่าครึ่ง ไม่หลงเหลือท่าทางหยิ่งทะนงในตนเองเช่นนั้นอยู่อีกแล้ว เขากวักมือเรียก “เสวียนจี มานี่” 

 

 

เท้าเสวียนจีราวกับถูกตรึงอยู่กับพื้น นางคิดไม่ถึงว่ายามนี้เขาถึงกับยังไม่นอน ทันใดนั้นนางพลันว้าวุ่นใจ หากก็ยังเดินเข้าไปหาอย่างว่าง่าย ยืนอยู่ข้างเตียง คว้ามือเย็นเยียบของเขามากุมไว้ พึมพำกล่าวว่า “เจ้ายังเจ็บไหม?” 

 

 

เขาส่ายหน้าหัวเราะเบาๆ “ตาเจ้าแดงหมดแล้ว เหมือนกระต่ายน้อย” 

 

 

นางอายมาก ขยี้ตาพึมพำว่า “ก็ไม่ได้แดงมานี่…” หลายวันนี้นางเหมือนร้องไห้จนหมือนปล่อยน้ำตาที่เก็บไว้สิบห้าปีมานี้ออกมาหมดสิ้น ตาแดงทั้งวัน ตนเองยังรู้สึกอาย 

 

 

เขาถอนหายใจ อยู่ๆ ก็ไอออกมาสองทีพลางกุมหน้าอกเผยสีหน้าเจ็บปวด เสวียนจีจตกใจจนสีหน้าซีดเผือด มือไม้ลนลานจ้องมองเขาไม่กะพริบ เขาบีบมือนางพลางกล่าวอย่างอ่อนแรงว่า “ไม่เป็นไร…ข้าไม่ตายหรอก” 

 

 

“ไม่ใช่เรื่องตาย…” น้ำเสียงนางสั่น น้ำตาเริ่มปริ่มที่ขอบตาแล้ว พยายามสุดชีวิตที่จะไม่ให้ไหลออกมา “ข้า…ข้าไม่อยากเห็นเจ้าบาดเจ็บ ! ข้ามันใช้ไม่ได้…บอกว่าจะปกป้องทุกคน สุดท้ายก็ทำให้คนอื่นมาพลอยเดือดร้อนดูแลข้า! ข้า…” 

 

 

อวี่ซือเฟิ่งกุมมือนางไว้แน่น ฝ่ามือมีกระแสอบอุ่นไหลเวียน 

 

 

“ข้าหิวน้ำ ยกน้ำชามาให้ข้าได้ไหม” 

 

 

อยู่ๆ เขาก็ขัดขึ้น ทำเสวียนจีอึ้งไป ก่อนจะรีบใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตา หันไปเทน้ำชาให้เขาถ้วยหนึ่ง ประคองอย่างระมัดระวังมาจ่อที่ริมฝีปากเขา 

 

 

“ร้อนนะ ระวังหน่อย” มือนางพลันสั่นไหว ไม่ระวังทำเอาน้ำราดรดผ้าห่ม นางรีบขอโทษพัลวัน 

 

 

อวี่ซือเฟิ่งหัวเราะน้อยๆ จิ้มใบหน้านางเบาๆ กล่าวอ่อนโยนว่า “อย่างไรแบบนี้ก็เหมาะกับเจ้ามากกว่า ทุกคนล้วนชอบเจ้าในแบบที่ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ไร้กังวล ทำไมต้องบีบคั้นให้ตนเองเปลี่ยนแปลงเล่า” 

 

 

นางพยักหน้าอย่างว่าง่าย ค่อยๆ ลงนั่งข้างเตียง ไม่แตะต้องเขา ทั้งสองคิดถึงอันตรายที่เขาปู้โจวซานเหล่านั้น พลันไร้วาจากล่าว เป็นนานเสวียนจีจึงได้มองไปยังหน้าอกที่พันแผลไว้หนาหลายชั้นของเขา ถามเบาๆ ว่า “ยังเจ็บไหม บาดแผล…ข้าลูบได้ไหม” 

 

 

อวี่ซือเฟิ่งยิ้มกล่าวว่า “ได้ แต่ต้องเบาหน่อย” 

 

 

นางเอื้อมมือสั่นเทาออกไปลูบบนผ้าพันแผล รู้สึกเพียงแค่ปลายนิ้วแตะโดนหัวใจที่เต้นไหวของเขา อดหน้าแดงหูแดงไม่ได้ รีบชักมือกลับมา หากถูกเขาคว้าไปวางไว้ที่ริมฝีปาก บรรจงจูบ 

 

 

“อา!” นางส่งเสียงครางเบาๆ ไม่กล้าขยับ เกรงว่าจะโดนแผลเขา ริมฝีปากเขาแห้งร้อนหากอบอุ่น นิ้วมือแตะผ่านก่อให้เกิดความรู้สึกประหลาดที่ทำเอาหัวใจเต้นแรง 

 

 

“เจ้าอย่าได้เศร้า” เขาแนบมือนางไว้ที่ใบหน้า ขนตายาวกระเพื่อมไหวอยู่บนหลังมือ รู้สึกจักจี้มาก “แม้หมิ่นเหยียนเขา…อย่างน้อย ข้าเป็นเพื่อนเจ้าตลอดไป ไม่จากไปไหน” 

 

 

เสวียนจีไม่รู้ควรกล่าวอันใด ทั้งตัวแข็งทื่อยันกายอยู่ตรงนั้น ไม่กล้าเข้าใกล้และไม่กล้าถอยกลับ เมื่อยหลังมาก 

 

 

“ครั้งหน้า…” อยู่ๆ นางก็เอ่ยปาก “ครั้งหน้าพวกเราไปเขาปู้โจวซานอีก…รอพวกเราเก่งกว่านี้ค่อยไปเขาปู้โจวซาน ไปชิงตัวพวกเขากลับมา” 

 

 

พวกเขาไม่ใช่สิ่งของที่แย่งชิงได้ อวี่ซือเฟิ่งแอบขบขันอยู่ในใจ พลันกล่าวว่า “รั่วอวี้…เป็นเช่นนี้ ข้าไม่รู้จะกลับไปรายงานตำหนักหลีเจ๋ออย่างไร” 

 

 

วันนั้นอาวุโสเหอหยางมาสนทนาส่วนตัวกับเขา ถามเขาถึงที่มาที่ไปของรั่วอวี้ ในใจเขาก็รู้ว่าไม่ได้การแล้ว ที่แท้กระบี่นั้นของเขาตั้งใจแทงลงยังจุดสำคัญของตน โชคดีที่แทงพลาดไปนิดเดียว เอียงไปสักหน่อย เหอหยางเชี่ยวชาญการแพทย์ แวบเดียวย่อมมองออกว่าคนแทงกระบี่โหดเ**้ยมเพียงใด 

 

 

รั่วอวี้นั่นแท้จริงคือใครกัน ลงมือได้แม่นยำเช่นนี้ เห็นชัดว่าเตรียมการมาก่อน เป็นศิษย์ร่วมสำนักจริงย่อมไม่ลงมือโหดเ**้ยมเช่นนี้ เจ้าเองต้องระวังหน่อย 

 

 

คำเตือนของอาวุโสเหอหยางวันนั้นยังคงก้องอยู่ในโสตประสาท อวี่ซือเฟิ่งเองก็สงสัยมาก คิดถึงว่าตนเองเป็นศิษย์ร่วมสำนักกับรั่วอวี้มา แต่เหมือนไม่คุ้นเคยกันเท่าไร เขาเป็นศิษย์ที่รองเจ้าตำหนักเลี้ยงดูมา ตนเองเป็นศิษย์เจ้าตำหนัก แต่เล็กทั้งสองก็เห็นหน้ากันบ้าง เพราะอายุใกล้กันจึงได้คุยกันสองสามคำ พอโตมาก็ไม่ค่อยได้คุ้นเคยกันเหมือนตอนเด็ก ครั้งนี้ออกมาฝึกฝนตน พอดีถูกจัดให้ออกมาพร้อมกัน 

 

 

หรือว่าตอลดทางมาเขาแอบคิดลอบสังหารตน รอมาจนถึงโอกาสนี้หรือ 

 

 

“อะไร…หรือว่าเจ้ายังคิดจะกลับตำหนักหลีเจ๋อ?” เสวียนจีท่าทางไม่พอใจ 

 

 

เขายิ้มเล็กน้อย “เสวียนจี ข้าไม่ใช่จอกแหนไร้บ้าน นอกจากเจ้า ข้าเองก็มีสิ่งที่ต้องใส่ใจดูแล” 

 

 

นางอึ้งไป ไร้วาจาจะกล่าว คิดแล้วก็คงเป็นเช่นนี้จริง ในเรื่องนี้เหมือนนางจะเอาแต่ใจมากไปจนเหมือนกับหลิงหลงเลย 

 

 

คิดถึงหลิงหลง นางพลันนึกขึ้นมาได้ คว้าขวดแก้วใบเล็กนั่นออกมาจากหน้าอก มองดูอยู่เป็นนานจึงได้กล่าวว่า “รอให้เจ้าลงจากเตียงเดินได้ก่อน ข้าก็จะได้ไปได้อย่างสบายใจ ข้าจะไปเมืองชิ่งหยาง ขอให้ถิงหนูช่วยหลิงหลง” 

 

 

“เจ้าต้องการไปคนเดียว” ครั้งนี้เขาคิดไม่ถึง 

 

 

เสวียนจีรีบโบกมือ “ไม่…ความหมายข้าคือ ข้าไปไม่นาน เจ้าอยู่ที่นี่รักษาตัวให้หาย รอให้ช่วยหลิงหลงเสร็จ ข้ากับนางก็ค่อยมาหาเจ้าที่เก๋อเอ่อร์มู่”  

 

 

อวี่ซือเฟิ่งนิ่งเงียบครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวว่า “ก็ดี อาการบาดเจ็บข้านี้อย่างน้อยต้องครึ่งปีจึงหายดี เสียเวลานานไป เกรงว่ามารปีศาจพวกนั้นจะเคลื่อนไหว ช่วยหลิงหลงสำคัญกว่า” 

 

 

ทั้งสองร่วมกันวางแผนอีกครึ่งปี จึงได้รู้สึกสบายใจ ก่อนสบตากันยิ้มเล็กน้อย เสวียนจีหน้าแดงกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ซือเฟิ่ง…ข้า ข้ากอดเจ้าได้ไหม” 

 

 

เขาคาดไม่ถึง แต่ก็เลิกผ้าห่มออก ผายมือออกยิ้มกล่าวว่า “มาสิ” 

 

 

นางค่อยๆ เข้าไปใกล้ สองมือโอบกอดเขาไว้ ซุกหน้าเข้ากับอกเขาอย่างระมัดระวัง รอบๆ อบอวลไปด้วยกลิ่นกายที่คุ้นเคยของเขา กลิ่นนี้ทำให้นางรู้สึกผ่อนคลายราวกับในที่สุดก็มั่นใจได้ว่าฉากแทงทะลุหน้าอกแสนโหดเ**้ยมนั้นในที่สุดก็ผ่านพ้นไปแล้ว เขาปลอดภัยดี เขายังมีชีวิตอยู่ในอ้อมกอดนาง 

 

 

อวี่ซือเฟิ่งโอบกอดไหล่นางไว้ บรรจงลูบผมนางเบาๆ เสวียนจีเหมือนกับแมวน้อยที่ได้รับความรัก ขาดแค่ไม่ได้ร้องเหมียวออกมาเท่านั้น นางหรี่ตาปรือ กล่าวเบาๆ ว่า “หรือว่า คืนนี้ข้านอนเป็นเพื่อนเจ้า ข้า ข้าไม่อยากออกไป” 

 

 

มืออวี่ซือเฟิ่งแข็งค้างไหลร่วงทันที ก่อนจะปัดผมยาวของนางไปด้านหลัง นิ้วมือวาดผ่านลำคอโค้งงามของนาง สุดท้ายประคองใบหน้านางไว้ 

 

 

“เสวียนจี” เขาเรียกขึ้นเสียงหนึ่ง 

 

 

นางไม่ทันระวังเงยหน้ามองเขา เขาพลันก้มหน้าลงจุมพิตนางทันที ร่างกายนางสั่นไหวเล็กน้อยราวสับสน ตามมาด้วยอ่อนยวบ สองมือนุ่มนิ่มไขว่คว้าไหล่เขาไว้พลางเงยหน้ารับ 

 

 

มือเขาค่อยๆ สอดเข้าใต้เส้นผมยาวสลวยของนาง ในอกพลันปวดแปลบ แต่ไม่ใช่บาดแผล หากเป็นเพราะใจเต้นแรงเกินไป 

 

 

“เสวียนจี” เขาจุมพิตที่หน้าผากนาง พึมพำเรียกชื่อนาง “อย่าจากข้าไป…” 

 

 

นางรู้สึกเพียงแค่จิตใจสับสน ซุกตัวในอ้อมกอดเขาราวกับหลอมละลายไปทั้งตัว รีบพยักหน้าทันที กล่าวว่า “ได้ ข้าไม่จากไป…ข้านอนเป็นเพื่อนเจ้า” 

 

 

นางฟังไม่เข้าใจ แต่ไม่เป็นไร เขาหัวเราะเบาๆ กอดนางแน่น ก่อนจะบรรจงจุมพิตนางลึกซึ้งอีกครั้ง  

 

 

แน่นอนเขาย่อมไม่เห็นด้วยกับการที่เสวียนจีจะอยู่ต่อและนอนเป็นเพื่อนตน เดาว่าพวกผู้อาวุโสน่าจะสังเกตการณ์อยู่ห้องข้างๆ นอกจากเขาคิดถูกถลกหนังทิ้ง ไม่อย่างนั้นได้เจ็บตัวแน่ ต้องรู้จักสงบเสงี่ยมสักหน่อย 

 

 

ผ่านไปสองวัน พวกฉู่เหล่ยก็จะเร่งเดินทางกลับสำนักเส้าหยาง ก่อนไปไม่ต้องพูดถึงว่ามีเรื่องที่ต้องกำชับมากมาย แค่วาจาประโยคสุดท้ายของฉู่เหล่ยทำให้สองหนุ่มสาวเงียบงันไปนาน 

 

 

เขากล่าวว่าเรื่องหมิ่นเหยียน อย่าเพิ่งข้องเกี่ยวกันก่อน หากเขามาหาก็ต้องมองเป็นศัตรู ไม่อาจออมมือ  

 

 

น้ำเสียงแฝงอารมณ์ว่าจงหมิ่นเหยียนเป็นผู้ทรยศแล้ว  

 

 

ส่งอาวุโสทั้งสามจากไป สีหน้าเสวียนจีกับอวี่ซือเฟิ่งไม่ดีนัก นั่งเงียบครู่หนึ่ง เสวียนจีจึงได้กล่าวว่า “เขาไม่ใช่ศิษย์ทรยศ” 

 

 

อยู่ๆ กล่าวขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยเช่นนี้ อวี่ซือเฟิ่งพลันเข้าใจทันที ตบไหล่นางเบาๆ ปลอบว่า “หมิ่นเหยียนทำอะไรย่อมมีเหตุผลของเขา ข้าว่าหากวันหนึ่งเขากลับมาได้ เล่าเหตุทั้งหมดให้พวกเราฟัง ข้าเชื่อเขา” 

 

 

เขากลับมาได้จริงหรือ เสวียนจีไม่กล่าวอันใด รู้สึกเพียงแค่อึดอัดใจ เงยหน้ามองไปยังทิวทัศน์ฤดูใบไม้ผลินอกหน้าต่าง บนต้นไม้ยังคงมีหน่อกิ่งงอกใหม่ออกมา ท้องฟ้าสีครามกระจ่างใส เมฆแผ่ราวแพรบาง ความงามแดนมนุษย์เช่นนี้ เขาไม่ได้เห็นนานแล้วกระมัง 

 

 

เมฆหมอกบนท้องฟ้าราวกับทำให้ชายหนุ่มยิ้มได้ มุมปากแย้มยกเผยอออกเผยฟันขาว ดวงตางดงามส่องประกาย ยิ้มเหมือนกำลังว่านางว่าคนโง่ ไม่รู้จักตั้งใจหน่อยหรือ?! 

 

 

เสวียนจีถอนหายใจเบาๆ ไม่รู้ว่าตอนนี้ศิษย์พี่หกกำลังทำอะไร จะเหมือนพวกเขาหรือไม่ อยู่ข้างหน้าต่างเหม่อมองท้องฟ้าค่ำคืนมืดมิดบนเขาปู้โจวซานหรือไม่ 

 

 

“เสวียนจี?” อวี่ซือเฟิ่งเรียกนางหลายคำ ในที่สุดก็เรียกสตินางกลับคืนมา 

 

 

“อา อา อะไร? หิวน้ำหรือหิวข้าว?” นางรีบเดินไปข้างเตียง พยายามทำตัวเป็นแบบภรรยาที่ดี หยิบผ้าเช็ดหน้าเช็ดหน้าผากให้เขาที่ไม่มีเหงื่อสักหยด 

 

 

อวี่ซือเฟิ่งสีหน้าวูบไหวผลักมือนางออก ถอนใจกล่าวว่า “ข้าบอกว่า เจ้าก็รีบออกเดินทางไปเมืองชิ่งหยาง อย่าได้รอช้า อาการข้าไม่เป็นไร เพียงพักผ่อนรักษาตัวก็หาย เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงข้า” 

 

 

นางผิดหวั งส่งเสียง “อ้อ” ขึ้นเสียงหนึ่ง ลังเลว่า “แต่…เจ้ายังลุกจากเตียงไม่ได้…ข้าเป็นห่วง…” 

 

 

อวี่ซือเฟิ่งดึงผ้าพันแผลตรงหน้าอกออกเบาๆ แผลเป็นตรงหน้าอกเปิดเผยต่อหน้าเสวียนจีในทันที กระบี่รั่วอวี้แทงมาเร็วมาก ถึงกับด้านนอกมองไม่ออกว่าบาดเจ็บสาหัส แต่ทำเอาเกือบตาย 

 

 

“เอ่อ เจ้าอย่าขยับ! รีบใส่ยาพันแผล! บาดแผลเช่นนี้ไม่อาจต้องลม!” 

 

 

เสวียนจีปิดหน้าต่าง หันมาหยิบยาให้เขา หรี่ตามองหน้าอกเขาอดหน้าแดงไม่ได้ แต่นางไม่ใช่คนขี้อายเท่าไร อายได้พักก็เริ่มลงมือทำแผลเปลี่ยนยาให้เขาใหม่ 

 

 

“ข้าบอกว่าไม่เป็นไรก็ไม่เป็นไร” เสียงเขาทุ้มต่ำ ก้มหน้าลงมองสองมือนางที่เช็ดยาเก่าของตนออก ลมหายใจรินรดใบหูนาง ดังคาด แดงเรื่อไปหมด หูนางดูแล้วเหมือนแก้วผลึกโปร่งแสง 

 

 

เขาพลันตกอยู่ในห้วงแห่งรัก อดก้มลงจุมพิตไม่ได้ มือเสวียนจีสั่นจนเกือบทำกล่องยาคว่ำ เอ่ยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “อย่าเหลวไหล…เกิดทำเจ็บขึ้นมา…” 

 

 

วาจาไม่ทันจบ พลันมองเห็นใต้วงแขนสองข้างของเขามีไข่มุกดำสี่เม็ดขนาดราวกับหัวแม่มือ ก่อนหน้านี้เขาพันแผลไว้ตลอด ตนเองไม่ทันเห็น ยามนี้อาวุโสเหอหยางไปแล้ว เป็นนางมาเปลี่ยนผ้าพันแผลให้เขาจึงพบเข้า 

 

 

“นี่คืออะไร?” นางเอ่ยถามขึ้น ยกมือไปลูบ รู้สึกเพียงแค่แข็งกระด้าง ไม่รู้ทำจากอะไร 

 

 

อวี่ซือเฟิ่งสีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย นิ่งไปนานจึงได้กล่าวว่า “นี่คือตราผนึก” 

 

 

ตราผนึก? เสวียนจีอึ้งมองเขา อวี่ซือเฟิ่งยกมุมปากยิ้มกล่าวว่า “เช่นพวกเจ้าจับปีศาจ พอจับมาได้ก็ต้องใช้ผนึกปิดไว้ ไม่ให้พวกเขาสำแดงฤทธิ์เดชได้อีก อันนี้ก็คล้ายๆ กัน” 

 

 

มารปีศาจ? เสวียนจียิ่งงุนงงแล้ว 

 

 

อวี่ซือเฟิ่งส่งเสียง พรึด ขำดังออกมา พิงลงหัวเตียงท่าทางเกียจคร้านกล่าวว่า “หลอกเจ้าน่ะ นี่เป็นเครื่องประดับแบบหนึ่งของตำหนักหลีเจ๋อเท่านั้น เจ้าก็รู้ แต่ไรมาธรรมเนียมตำหนักหลีเจ๋อแปลกประหลาดมากมาย” 

 

 

อ้อ ที่แท้เป็นเช่นนี้! เสวียนจีเข้าใจทันที ที่เขากล่าวมานั้นถูกต้อง ตำหนักหลีเจ๋อธรรมเนียมแปลกประหลาดมากมายจริงๆ หน้ากาก ชุดคราม ยังห้ามแต่งภรรยา ตอนนี้มีไข่มุกปักใต้วงแขนมาอีกข้อหนึ่ง ราวกับก็ไม่แปลกอะไรเท่าไร 

 

 

นางเปลี่ยนยาให้เขาอย่างรวดเร็ว เปลี่ยนผ้าพันแผลใหม่ ยังหรี่ตามองหน้ากากที่วางอยู่บนเสื้อผ้าเขาที่หัวเตียง หน้าเคร่งเครียด ท่าทางเหมือนใกล้จะร้องไห้ออกมา 

 

 

“เจ้ายังเก็บไว้อีกหรือ” เสวียนจีโยนผ้าพันแผลเก่าลงบนโต๊ะ หันกลับไปนั่งลงข้างเตียงคว้าหน้ากากขึ้นมาดู ใช้มือเคาะเสียงดังปึกๆ 

 

 

อวี่ซือเฟิ่งรับหน้ากากมาด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก ลูบหน้ากากทีหนึ่ง เป็นนานก่อนจะกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ยังร้องไห้…ของไร้ประโยชน์เช่นนี้” 

 

 

กล่าวจบก็เขวี้ยงไปบนเตียง 

 

 

“ซือเฟิ่ง…” นางแอบมองเขา “เจ้า…เจ้า ราวกับไม่ดีใจ?” 

 

 

เขายิ้มเล็กน้อยกล่าวอ่อนโยนว่า “เปล่า ข้ากำลังคิด คืนนี้จะมีแม่นางใจกล้าบอกว่าจะนอนเป็นเพื่อนข้าไหม” 

 

 

เสวียนจีหัวเราะคิกคัก ถอดรองเท้าโดดขึ้นเตียงลงนอนข้างกายเขากล่าวว่า “ข้าจะเป็นเพื่อนเจ้า ตอนนี้เลย เมื่อก่อนมักนอนเตียงเดียวกับหลิงหลง นางนอนกินที่มาก ครองเตียงไปครึ่งใหญ่เลย เจ้าอย่าเหมือนนางนะ” 

 

 

เป็นเช่นนี้หรือ เขาหัวเราะเฝื่อนขึ้นเบาๆ หากก็นอนลงเป็นเพื่อนนาง เจ้าคำ ข้าคำ วาจามากมาย สุดท้ายในที่สุดเขาก็รู้สึกเหนื่อยล้า หลับตาลงผล็อยหลับไป ในความรู้สึกเลือนราง รู้สึกได้ว่าดรุณีน้อยข้างๆ เขยิบเข้ามาซุกตัวในอ้อมกอดเขา ราวกับที่พักอุ่นใจ 

 

 

เขายกแขนโอบไหล่นางมากอดไว้ หวังเพียงจะได้นอนหลับฝันดี ในฝันมีนาง