ผ่านไปหลายวัน อาการอวี่ซือเฟิ่งฟื้นตัวเร็วมาก เขาคลำกำแพงค่อยๆ เดินได้แล้ว เสวียนจีใช้เงินจ้างคนมาดูแลเขา กำชับสั่งการก่อนจะวางใจจากเก๋อเอ่อร์มู่เหินกระบี่ไปยังเมืองชิ่งหยาง
รีบช่วยหลิงหลงคืนกลับมา จากนั้นนางสองคนก็จะกลับไปเก๋อเอ่อร์มู่เป็นเพื่อนซือเฟิ่งรักษาตัวให้หาย สามคนค่อยเดินทางไปเขาปู้โจวซานรับศิษย์พี่หกกลับมา เสวียนจีวาดภาพไปถึงสถานการณ์งดงามนี้แล้วก็อดยิ้มกว้างไม่ได้ ยามนี้ความอัดอั้นในใจพลันมลายหายไปสิ้น แทบจะรีบไปยังเมืองชิ่งหยางแล้วพาหลิงหลงออกจากเส้าหยาง
เพราะเคยไปเมืองชิ่งหยางมาแล้วครั้งหนึ่ง นางคุ้นชินเส้นทางก่อนแล้ว จึงตรงไปรังสุนัขของหลิ่วอี้ฮวนก่อน เขาไม่อยู่ดังคาด นางได้แต่ไปหาที่หอเจียวหง คิดว่าคนคนนี้ไม่เรียนรู้เรื่องดีๆ วันๆ เอาแต่เสเพล พาถิงหนูพลอยเสียไปด้วย คงต้องถูกเขาพาไปเหลวไหลที่หอคณิกาอย่างเสียไม่ได้
ยามนี้เป็นยามกลางวันพอดี ในหอเจียวหงเงียบสงบไม่มีแขก พอเสวียนจีก้าวเข้าไปก็มีสายตาหลายคู่จับจ้องมองมาทันที แม่เล้าสายตาแหลมคมจำได้ทันทีว่านางก็คือหนึ่งในกลุ่มคนที่มาก่อเรื่องครั้งก่อน จึงรีบตั้งสติฉีกยิ้มกล่าวว่า “แม่นางท่านนี้มาครั้งที่สองกระมัง ต้องการหาใครมาดื่มเป็นเพื่อนแม่นางคลายทุกข์ไหม หรือว่ากินขนมดื่มน้ำชาก่อน”
เสวียนจีแอบบ่นในใจว่าข้าไม่ใช่ผู้ชาย หาแม่นางมาดื่มสุราเป็นเพื่อนคลายทุกข์ทำไม หันกลับไปเห็นขนมบนโต๊ะทำเอาน้ำลายสออยู่บ้าง นางเหินกระบี่มาตลอดทาง ผ่านขุนเขามากมายมาด้วยเวลาไม่นาน แต่เหินกระบี่อย่างไรก็เสียกำลัง นางอดหิวไม่ได้ แต่ก็ไม่กล้าเอ่ย ได้แต่จ้องมองขนมคนอื่นไม่ขยับ
สาวน้อยข้างๆ รู้สึกได้จึงรีบยกขนมให้นาง เสวียนจีจำสตรีใบหน้ากลมคนนี้ได้ คนที่ครั้งก่อนจูบใบหน้านางบอกว่านางน่ารัก ดังนั้นจึงรีบฉีกยิ้มกล่าวว่า “พี่สาวก็กินด้วยกันสิ”
นางคณิกาผู้นั้นตกใจหันกลับไปมองแม่เล้า เห็นนางขยิบตาไม่หยุด ก็ใจกล้ากินไปสองชิ้น คุยหยอกล้อกับเสวียนจีต่อ
“แม่นางมาที่นี่ได้อย่างไร นี่ไม่ใช่สถานที่ที่ดี เด็กผู้หญิงไม่ควรมา”
เสวียนจีรีบกล่าวว่า “ข้ามาหาหลิ่วอี้ฮวน เขาอยู่ที่นี่ใช่ไหม เขายังเข็นชายนั่งบนรถเข็นหน้าตาดีมาด้วยใช่ไหม…”
ยังกล่าวไม่ทันจบก็ได้ยินเสียงหัวเราะดังมาจากชั้นสอง “ข้าว่าแล้ววันนี้หนังตากระตุก ที่แท้เป็นแม่หนูน้อยนี่เอง! ในเมื่อมาแล้วทำไมไม่มาหาข้าล่ะ”
พอนางได้ยินเสียงหลิ่วอี้ฮวนก็ดีใจมาก รีบก้าวเดินพรวดเดียวขึ้นชั้นสอง ดังคาด มองเห็นเสื้อผ้าหลิ่วอี้ฮวนหลุดรุ่ย แผงอกเปิดกว้าง พิงประตูแยกเขี้ยวยิงฟันมองมายังตนเอง รอยยิ้มนั่น ท่าทางไม่เอาไหนเช่นนั้นเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน
“พี่หลิ่ว!” นางร้องขึ้นเสียงหนึ่ง ก่อนจะพุ่งประชิดตัวถามว่า “ถิงหนูล่ะ”
หลิ่วอี้ฮวนบุ้ยใบ้ไปในห้อง “นั่งอยู่ในนั้นอย่างไร ดูแลให้เจ้าอย่างดี ไม่ให้ร่วงแม้เส้นผม”
เสวียนจีมองไปด้านใน ดังคาด ถิงหนูนั่งอยู่ในห้องเรียบร้อย ข้างกายยังมีนางคณิกาหน้าตางดงามเยาว์วัยคุกเข่าข้างกายอยู่สองนาง คนหนึ่งป้อนองุ่น อีกคนรินสุรา ดูสีหน้าเขาแล้วก็นิ่งสงบ ไม่มีอันใดผิดแผก
ถูกหลิ่วอี้ฮวนพาเสียคนดังคาด! เสวียนจีถลึงตาใส่หลิ่วอี้ฮวนพลางเดินเข้าไปกล่าวว่า “ถิงหนู ข้ามีเรื่องสำคัญหารือเจ้า”
ถิงหนูเงยหน้ายิ้มเล็กน้อย ท่าทางสบายใจอย่างยิ่ง กล่าวอ่อนโยนว่า “จิตญาณหลิงหลงนำกลับมาแล้วใช่ไหม”
“อา! ทำไมเจ้ารู้!” เสวียนจีร้องเสียงดัง ตื่นเต้นจนหน้าแดง รีบควักขวดแก้วผลึกออกมา นางคณิกาสองนางข้างๆ เห็นพวกเขามีเรื่องส่วนตัวหารือกันก็เดินออกไปอย่างรู้งาน ไปหยุดคุยหยอกล้อกับหลิ่วอี้ฮวนหน้าประตูครู่หนึ่ง
“เจ้าดู! พวกเราทำสำเร็จแล้ว! นำจิตญาณหลิงหลงกลับมาจากเขาปู้โจวซานแล้ว!”
นางไม่เล่าสักคำว่าแย่งชิงมาได้อย่างไร เอาแต่จ้องมองเขานิ่ง หวังว่าเขาจะกล่าววาจาเช่นว่า พวกเราไปสำนักเส้าหยางกัน
ถิงหนูรับขวดมาก้มลงดูครู่หนึ่ง พลันยิ้มเล็กน้อยวางลงถามว่า “พวกหมิ่นเหยียนล่ะ ไม่ได้มาด้วยกันหรือ”
รอยยิ้มเสวียนจีแข็งค้าง เป็นนานก่อนจะฝืนยิ้มกล่าวว่า “พวกเขา…ไม่ได้มา ข้ามาคนเดียว”
“เกิดอะไรขึ้นที่เขาปู้โจวซาน” เขาไม่ได้มีน้ำเสียงอ่อนโยนดังก่อนหน้า หากถามด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด
ในใจเสวียนจีปวดปลาบขึ้น กัดริมฝีปากไม่กล่าวอันใด
หลิ่วอี้ฮวนที่ด้านหลังยิ้มเยียบเย็นกล่าวว่า “ข้าเดานะ เจ้าหนุ่มหน้าโง่นั่นใช่ไหม คิดว่าตัวเองเป็นวีรบุรุษ แล่นไปเป็นสายในนั้นใช่ไหม เจ้าหนุ่มสวมหน้ากากก็ตามไป ใช่ไหม”
เสวียนจีสะดุ้งหันกลับไปคว้าคอเสื้อเขาไว้ เกือบทำเขาล้มคว่ำ หลิ่วอี้ฮวนหัวเราะอีกว่า “นี่ นี่! เจ้าเป็นเด็กผู้หญิงนะ…ข้าไม่สนใจเด็กน้อยที่ยังไม่รู้ประสีประสานะ…โอ กระตือรือร้นมีน้ำใจเช่นนี้! เอาละ! เห็นแก่ที่เจ้ากระตือรือร้นมีน้ำใจ…”
ยังกล่าวไม่ทันจบ ขาเขาก็ลอยขึ้น ถูกนางลากล้มลง เสวียนจีล้มตามไปทับบนตัวเขา กระแทกกันจนเห็นดาว
หลิ่วอี้ฮวนแยกเขี้ยวยิงฟันเจ็บจนร้องดัง “ชอบก็พูดตรงๆ…ลงมือทำไม…”
หากใบหน้าพลันมีน้ำร้อนหยดแหมะลงมาหลายหยด เขารีบหยุดวาจาเหลวไหลของตนทันที เสวียนจียันกายอยู่บนตัวเขา น้ำตาไหลราวสายฝน หยดลงบนใบหน้าและผมของเขา สองมือนางคว้าคอเสื้อเขาไว้แน่น เสียงสั่นกล่าวว่า “ท่านรู้! ท่านรู้ก่อนแล้ว! ท่านมีดวงตาสวรรค์…เรื่องอะไรก็รู้ล่วงหน้า! เหตุใดไม่บอกพวกเรา?!”
หลิ่วอี้ฮวนยากเผยอารมณ์ความรู้สึกแท้จริง ยกมือลูบศีรษะนางกล่าวเบาๆ ว่า “ลิขิตสวรรค์ไม่อาจฝืน แม้ข้ารู้ว่าวันหน้าจะเกิดอะไร หรือว่าข้าพูดแล้วพวกเจ้าจะไม่ไป?”
“แต่…อย่างน้อย พวกเขาก็ไม่เป็นเช่นนี้…” เสวียนจีไม่รู้ควรกล่าวอันใด ในใจบีบรัดแน่น น้ำตาพรั่งพรูไม่อาจหยุดไหล
หลิ่วอี้ฮวนสีหน้าจริงจังกล่าวว่า “ผิดแล้ว เสวียนจีน้อย ข้าบอกเจ้าแล้วกัน ที่ข้าขโมยดวงตาสวรรค์มา ก็เพราะต้องการเห็นเหตุการณ์ล่วงหน้า ข้าเคยคิดว่าตนเองเปลี่ยนแปลงโชคชะตาได้ สุดท้ายจึงได้รู้ ว่า ไม่ว่าเจ้าจะแก้ไขอย่างไร ก็แก้ได้แต่กระบวนการ ผลยังคงไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ แม้วันนี้พวกเขาไม่ไปสวามิภักดิ์เขาปู้โจวซาน วันหน้าก็ต้องมีเหตุให้ไปสวามิภักดิ์อยู่ดี ผลสุดท้ายยังคงเหมือนกัน”
เขาผลักเสวียนจีออก ตนเองยืนตัวตรงขึ้นกล่าวอีกว่า “ในใจเจ้าไม่สบายใจ ต้องกล่าวโทษใครสักคน ข้าเข้าใจ หากเจ้าตำหนิข้า ในใจคงรู้สึกดีขึ้นหน่อย เจ้าโกรธแค้นที่ข้าไม่ช่วยก็ย่อมได้ หากในใจเจ้าจะรู้สึกดีขึ้นบ้าง!”
เสวียนจีปาดน้ำตาทิ้ง เงียบงันไปนานก่อนจะกล่าวเบาๆ ว่า “ไม่…ไม่ ข้าไม่โทษผู้อื่น ข้าเพียงโทษตนเองไร้สามารถ ได้แต่มองพวกเขาต้องเลือกทางนี้อย่างทำอะไรไม่ได้…”
หลิ่วอี้ฮวนหัวเราะขึ้นเสียงหนึ่งก่อนจะเดินไป ดีดหน้าผากนางเบาๆ ทีหนึ่ง กระซิบว่า “หากเจ้าไร้สามารถ ใต้หล้าก็คงไม่มีผู้สามารถแล้ว ท่านแม่ทัพ”
เสวียนจีอึ้ง หันหน้ามาทันที เขาไปนั่งลงข้างถิงหนูแล้ว เริ่มพิจารณาจิตญาณในขวดแก้วผลึก
“เจ้า…” นางไม่รู้ควรกล่าวอันใด
หลิ่วอี้ฮวนไม่สนนางอีก เอื้อมมือคว้าขวดมาดู เขย่าเบาๆ แสงหลากสีสันวูบไหวตามไปมา ส่องประกายวิบวับงดงามยิ่ง เขามองอยู่ครู่หนึ่งก็ยิ้มกล่าวว่า “ข้าว่า แม่หนูน้อยเอ๊ย พวกเจ้าถูกหลอกแล้ว ไอ้นี่จะเป็นจิตญาณได้อย่างไร”
วาจาเขาราวกับท้องฟ้าแจ่มใสอยู่ๆ พลันมีฟ้าผ่าลงมา ผ่าจนเสวียนจีหน้ามืด กล่าวน้ำเสียงสั่นว่า “ท่าน…ท่านบอกว่า…หมายความว่าอย่างไร นั่นไม่ใช่…จิตญาณหลิงหลง?”
หลิ่วอี้ฮวนยักไหล่ “ที่ข้ารู้มา จิตญาณมนุษย์ไม่ใช่เช่นนี้ จิตญาณหลายสีสันย่อมมีเพียงสัตว์ ข้าชำนาญเรื่องพวกนี้มาก เจ้าถามถิงหนูดู เขาก็รู้”
เสวียนจีมองถิงหนูงุนงงสับสน เขาอดสงสารไม่ได้ ในที่สุดก็พยักหน้า กล่าวอ่อนโยนว่า “เสวียนจี นี่มิใช่จิตญาณหลิงหลง จิตญาณมนุษย์ต้องลักษณะเหมือนลูกไฟ จิตญาณนี่ ข้าดูแล้วเหมือนจิตมารปีศาจที่พบเห็นได้ทั่วไป…ดูดซับต้นไม้ใบหน้าและกลิ่นอายฟ้าดินเติบโตมา ดังนั้นจึงหลากสีสัน…จิตญาณมนุษย์มีเพียงสีเดียว”
เสวียนจีหน้ามืดตาลายไปหมด สองขาอ่อนยวบลงคุกเข่ากับพื้น เรื่องราวที่เกิดขึ้นบนเขาปู้โจวซาน แต่ละฉากผุดขึ้นในห้วงความคิดราวสายน้ำ เหตุใดอูถงจึงยอมมอบจิตญาณหลิงหลงออกมาโดยง่าย เหตุใดต้องนำตัวเฉินหมิ่นเจวี๋ยออกมา…ที่แท้ ที่แท้ทุกอย่างล้วนเป็นหลุมพราง! เขาตกลงมอบจิตญาณหลิงหลงให้พวกเขาอย่างง่ายดาย พวกเขาก็จะระแวงสงสัย แต่พอเฉินหมิ่นเจวี๋ยออกมา คนปกติก็ย่อมเชื่อว่าขวดแก้วนั่นเป็นจิตญาณหลิงหลง
จากนั้นเขาค่อยเล่นอุบายทำให้พวกเขารู้สึกระแวง ย่อมไม่อาจตั้งสติมั่นกับการดูว่าเป็นจิตญาณแท้จริงหรือไม่ แท้จริงนั้นเขาไม่ได้เชื่อใจจงหมิ่นเหยียนกับรั่วอวี้มาแต่ตั้งแล้ว! เขาไม่ได้มีอะไรเสียหาย แต่หลอกสองคนไปรับใช้เขาได้โดยไม่ต้องเสียอะไร!
เสวียนจียิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกตกใจ มือไม้เย็นเยียบ
ทั้งสองตรงหน้าเห็นนางท่าทางจิตใจหลุดลอย หลิ่วอี้ฮวนก็ถอนใจกล่าวว่า “เสวียนจี เจ้าไม่ต้องเสียใจไป จิตญาณหลิงหลงอย่างไรก็ต้องนำกลับมาได้ ไม่ครั้งนี้ก็ครั้งหน้า พวกเจ้าหนุ่มสาวออกท่องยุทธภพกันครั้งแรก ยังไม่มีประสบการณ์ ถูกคนเขาหลอกก็ธรรมดา หลอกสักครั้งสองครั้งก็เรียนรู้เอง!”
เสวียนจีพลันส่ายหน้า สีหน้าซีดขาว ครั้งนี้พวกนางแพ้แล้ว แพ้หมดรูป แพ้อย่างน่าอนาถ ถึงกับเกือบเอาชีวิตไปทิ้ง ผลปรากฏว่าไม่ได้อะไรกลับมาสักอย่าง ไม่ได้อะไรเลย
ถิงหนูกล่าวน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “พวกเจ้าไม่เคยเห็นจิตญาณมนุษย์ ถูกหลอกก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเท่าไร เอาอย่างนี้ ครั้งหน้าข้าไปเขาปู้โจวซานกับพวกเจ้า หากพวกเขานำจิตญาณที่ไม่ใช่ของหลิงหลงออกมา ข้ามองก็รู้ทันที”
เสวียนจีได้ยินว่าในที่สุดเขาก็ยอมไปด้วยแล้ว ก็อดลูบใบหน้าอย่างอ่อนล้าไม่ได้ ค่อยๆ พยักหน้า
หลิ่วอี้ฮวนพยักหน้ากล่าวว่า “ไม่เลว ข้าก็จะไปกับพวกเจ้าด้วย อยู่เมืองชิ่งหยางมานานแล้ว ก็รู้สึกเบื่อแล้ว แม่นางที่ร้านอื่นน่าจะงดงามยิ่งกว่า…”
กล่าวจบ เขาพลันคิดอะไรขึ้นมาได้ ถามว่า “เฟิ่งหวงน้อยล่ะ เขาไม่ได้มาหรือ”
เสวียนจีกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ซือเฟิ่งเขา…บาดเจ็บสาหัส ไม่อาจเดินทางได้ ข้าขอให้คนดูแลเขาอยู่ ให้เขาอยู่ที่เก๋อเอ่อร์มู่”
หลิ่วอี้ฮวนผุดลุกขึ้น ร้อนใจกล่าวว่า “ว่าเจ้าโง่ เจ้าก็โง่จริงด้วย! ทำไมทิ้งเขาไว้ที่นั่นคนเดียว?! หรือว่าเจ้าไม่รู้ เรื่องหน้ากากเขา เป็นเหมือนหนามตำใจคนตำหนักหลีเจ๋อมากมายเท่าไร?!”
เสวียนจีตกใจ แต่ก็ยังคงไม่เข้าใจ ได้แต่ถามว่า “หน้ากากอะไร เขา…เขาไม่ได้บอกอะไรข้า”
หลิ่วอี้ฮวนคันปากมาก แทบอยากจะทุบนางสักที ทุบสมองทื่อๆ ของนางให้ตื่นสักที
เขากล่าวจริงจังว่า “หน้ากากเขาทำจากไม้ศักดิ์สิทธิ์เขาคุนหลุน ลงคำสาปคู่รัก มีเพียงผู้ที่กำหนดเป็นคู่กันเท่านั้นจึงปลดออกได้ หลังปลดออกหน้ากากจะแฝงรอยยิ้ม ก็เท่ากับปลดคาถาออก อยู่ๆ เจ้าไร้สาเหตุไปปลดหน้ากากเขาออก คาถาก็ยังไม่ถูกปลด สถานการณ์ตอนนี้ ตำหนักหลีเจ๋อก็จะต้องลงโทษสถานหนัก! พวกเขาต้องหาโอกาสพาตัวเขาไปแน่ แต่เพราะมีเจ้าอยู่ข้างกายจึงไม่ได้ลงมือ ตอนนี้เจ้ามานี่ เขายังบาดเจ็บสาหัส ไม่ใช่เป็นดังปูในไหปล่อยให้คนจัดการได้ตามอำเภอใจหรือ?!”
เสวียนจีตกใจจนหน้าเปลี่ยนสี ผุดลุกขึ้นยืนทันที หันหลังจะวิ่งออกไป สตรีหอคณิกาพากันตะโกนเรียกนางก็ไม่หัน พริบตาก็หายออกนอกประตูไป
หลิ่วอี้ฮวนรีบเข็นถิงหนูตามไป ตะโกนเรียก “เดี๋ยว! ข้าไปด้วย!”
กล่าวจบก็วิ่งตามออกไปทันที รวดเร็วอย่างที่ไม่ทันได้ยินเสียงเคลื่อนไหว ทำเอาทุกคนอ้าปากค้างมองเห็นแค่ฝุ่นตลบ เป็นนานแม่เล้าจึงได้สติคืนมา หลายวันนี้เงินทองที่เขามาเที่ยวหอคณิกาหมดไปนานแล้ว ตอนนี้จึงได้แต่กัดฟันก่นด่าไม่หยุด