ส่วนที่ 3 เสวียนจีไร้ใจ ตอนที่ 43 คำสาปคู่รัก

ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption

คำสาปคู่รัก ผู้ที่กำหนดเป็นคู่ คำสาปคาถายังไม่ถูกปลด 

 

 

เสวียนจีคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ ของพวกนี้มาเกี่ยวข้องกันได้อย่างไร นางคิดถึงเรื่องที่ได้พบกับซือเฟิ่งที่เขาไห่หวั่น หน้ากากทั้งร้องไห้ทั้งหัวเราะของเขา เป็นเพราะลงคำสาปคู่รักไว้หรือ ตอนนั้นรั่วอวี้อยากพูดแต่ไม่พูดก็คือเรื่องนี้หรือ แท้จริงแล้วคาถาอะไรทำให้หน้ากากทั้งร้องไห้ทั้งหัวเราะได้ หากคำสาปไม่ได้ถอนออก จะประสบเหตุตีกลับอย่างไร 

 

 

นางได้ฟังหลิ่วอี้ฮวนกล่าวมาก็ร้อนใจจนวิ่งออกไปก่อน เหินกระบี่มุ่งไปยังเก๋อเอ่อร์มู่ เหินมาครู่หนึ่งก็รู้สึกว่าพวกเขาไม่ได้ตามมา ได้แต่กลับไปหา เห็นเพียงหลิ่วอี้ฮวนเหยียบอยู่บนกระบี่ศิลาเล่มใหญ่ขนาดราวคน แบกเอารถเข็นถิงหนูขึ้นมาได้พอดี กระบี่ใหญ่นั่น หลิ่วอี้ฮวนเหินขึ้นมาก็ดูสบายๆ แต่เหินได้ช้าอยู่สักหน่อย 

 

 

เขาเห็นเสวียนจีเลี้ยวกลับมาก็ขมวดคิ้วร้องว่า “ทำไมวกกลับมาล่ะ! เจ้ารีบไปก่อน! อาจจะชิงตัวเขากลับมาทัน!” 

 

 

เสวียนจีลังเลครู่หนึ่ง จึงได้กล่าวว่า “ท่าน…ท่านบอกข้าก่อน หน้ากากกับตำหนักหลีเจ๋อ…มันเรื่องอะไรกันแน่” 

 

 

หลิ่วอี้ฮวนถอนใจกล่าวว่า “เฮ้อ เจ้าหนุ่มนั่นแต่ไรก็เอาแต่วางท่า ย่อมไม่บอกความจริงกับเจ้า เขาเองกัดฟันทนไปคนเดียว ข้าบอกเจ้านะ ตำหนักหลีเจ๋อมีกฎเคร่งครัดหนึ่ง หากวันหนึ่งก้าวเข้าประตูสำนักก็ไม่อนุญาตให้ออก ยิ่งไม่อนุญาตให้แต่งภรรยา เพื่อรักษากฎเคร่งครัดนี้ ดังนั้นทุกคนจึงสวมหน้ากาก มีเพียงอยู่ในตำหนักเท่านั้นที่จะปลดออกได้ ก็หมายความว่า คนที่เห็นโฉมหน้าแท้จริงได้ก็มีแต่คนกันเอง สำหรับตำหนักหลีเจ๋อแล้ว คนกันเองก็คือศิษย์ร่วมสำนัก” 

 

 

เสวียนจีคิดถึงเมื่อสี่ปีก่อนที่หน้ากากซือเฟิ่งถูกมารปีศาจทำลาย ท่าทางเศร้าสลดและหวาดกลัวมาก ตอนนั้นนางยังไม่อาจเข้าใจได้ ยังโต้เถียงกับเจ้าตำหนักใหญ่อยู่นาน สุดท้ายเขาบอกว่าไม่ลงโทษซือเฟิ่ง…ผลปรากฎไม่ใช่เช่นนั้น เขายังถูกลงโทษ ลงคำสาปคู่รักอะไรนี่ 

 

 

“ดังนั้นหมายความว่า ตอนนั้นเขาถูกพวกผีน้อยเช่นพวกเจ้าเห็นใบหน้าภายใต้หน้ากาก ก็เท่ากับปล่อยให้คนนอกได้เห็นใบหน้าตนเอง ไม่ว่าผู้ใดล้วนเป็นความผิด อย่างไรเขาก็ต้องรับการลงโทษ เดิมทีก็ไม่ใช่การลงโทษที่หนักหนาอะไร อย่างมากก็ขังไม่กี่วัน ด่าสองสามคำ โบยสองสามที เจ้าตำหนักใหญ่ชื่นชอบเขา ย่อมไม่ลงโทษหนัก ไหนเลยจะรู้ว่า แม่หนูน้อยเช่นเจ้ากลับต่อปากต่อคำรุนแรง ปรากฏทำเอาเจ้าตำหนักใหญ่แค้นใจจนต้องลงโทษให้เขาไม่อาจกลับไปตลอดชีวิต นั่นคือโทษหนักที่สุด เจ้าเข้าใจว่านั่นหมายถึงอะไรไหม” 

 

 

ในใจเสวียนจีเต้นโครมคราม ส่ายหน้างุนงง 

 

 

“นั่นหมายความว่า จากนาทีนั้นไป เขาก็ต้องทิ้งทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่มีบ้านให้กลับอีก จากนี้ไปก็ต้องพเนจรตัวคนเดียว” 

 

 

ในใจนางราวกับถูกอะไรสักอย่างปักลงกลางใจ แรกเดิมไม่เจ็บ แต่ค่อยๆ ปวดกำซาบลึกสู่ก้นบึ้งของหัวใจ เจ็บปวดจนต้องงอตัวลง ทุกอย่างเขาล้วนไม่เคยพูด เขามักจะยิ้มบางๆ อยู่เป็นเพื่อนนาง ท่าทางไม่สนใจอันใด นางก็เคยคิดอย่างเอาแต่ใจตนเองไปว่า ชีวิตเขาเหมือนว่าควรอยู่เป็นเพื่อนนาง ไม่อาจจากไปไหน วันนั้นเขาเองที่ต้องตัดสินใจเช่นนี้ ต้องใช้ความกล้าหาญเท่าไร ต้องละทิ้งบ้าน ละทิ้งทุกสิ่งที่มี…ทำไปเพื่อผู้ใด เพื่ออะไร 

 

 

ดังนั้นคืนวันนั้นเขาจึงมองนางด้วยสายตาเศร้าสร้อย ดังนั้นเขากล่าวเด็ดขาด ดังนั้นเขาว่าตนเองนึกเสียใจภายหลังก็ไม่ได้ ดังนั้นเขา…หยอกล้อฝืดเฝื่อนว่าตนเองไม่ได้โดดเดี่ยวพเนจร 

 

 

นางนึกเสียใจภายหลังอย่างไม่อาจเสียใจไปได้มากกว่านี้อีกแล้ว ยกมือปิดหน้าแน่น ไม่รู้ควรจะทุบหัวทื่อๆ ตนเองให้แตกหรือใช้กระบี่แทงตนเองให้ตายดี 

 

 

หลิ่วอี้ฮวนเห็นน้ำตานางพรั่งพรูออกมา ในใจก็อดถอนใจเบาๆ ไม่ได้ กล่าวว่า “หากเจ้ารู้สึกผิดต่อเขา…มีใจเช่นนี้ ก็นับว่าไม่เสียแรงที่เขาทุ่มเทไป” 

 

 

ถิงหนูพลันกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “มีใจหรือไร้ใจ…เรื่องอารมณ์ความรู้สึกจะมองแต่ภายนอกได้อย่างไร แก่ชราอย่างเจ้าจะรู้อะไรกัน” 

 

 

หลิ่วอี้ฮวนถลึงตาใส่ แสร้งทำเป็นโมโหกล่าวว่า “ทำไมข้าจะไม่รู้! อย่างไรข้าก็เป็นอาวุโสที่เสเพลมาก่อน! ข้าคร่อมหญิงสาวมากกว่าหญิงสาวที่เจ้ารู้จักอีก ทำไมข้าจะไม่รู้!” 

 

 

เหลวไหล! ถิงหนูส่ายหน้า ไม่พอใจวาจาเหลวไหลของเขา 

 

 

“เสวียนจี ที่ว่าคำสาปคู่รักก็คือสิ่งที่เตรียมไว้สำหรับศิษย์ตำหนักหลีเจ๋อที่แม้ต้องละทิ้งสำนักอันเป็นดังบ้านเกิดไปก็ยังคิดละทิ้ง” ถิงหนูกล่าวเนิบนาบ “จริงๆ แล้วคาถานี้ไม่ได้มีอะไรมาก ก็แค่ต้องการบอกบรรดาศิษย์ที่เลือกคนนอกว่า ในเมื่อเจ้ารู้สึกข้างนอกดีกว่าบ้าน ก็ย่อมต้องผ่านการทดสอบ หากคนนอกดีต่อเจ้าเหมือนคนในครอบครัวเจ้า ก็ย่อมดียิ่ง คาถาก็ย่อมปลดเอง หน้ากากก็จะทำอะไรเจ้าไม่ได้ หากคนนอกไม่ดีกับเจ้าเหมือนคนในครอบครัวเจ้า ในใจเจ้าเสียใจ ย่อมต้องแสดงออกมาที่หน้ากาก ดังนั้นหน้ากากก็ย่อมร้องไห้ สิ่งที่แสดงออกมาจากใจ ตนเองไม่อาจบังคับ จะหลอกตัวเองก็ไม่ได้” 

 

 

เสวียนจีปล่อยมือลง น้ำตาเปียกชื้นทั่วใบหน้า ขนตายังคงมีหยาดน้ำตาวาว อึ้งมองถิงหนู สะอื้นกล่าวว่า “เช่นนั้น…ซือเฟิ่งนึกเสียใจภายหลัง? เขา เขารู้สึกพวกเราไม่ดีกับเขา …ในใจเขาเสียใจ? แต่ข้าปลดหน้ากากลงได้…เหตุใด…” 

 

 

หลิ่วอี้ฮวนขมวดคิ้วกล่าวว่า “โง่! ไม้ศักดิ์สิทธิ์เขาคุนหลุนแม้ว่าศักดิ์สิทธิ์ อานุภาพจะเทียบกับเซียนตัวจริงได้อย่างไร! หากเจ้าคิดปลด แม้หน้ากากทำจากเหล็กกล้าแดนสวรรค์ก็ปลดได้ดังใจ นับประสาอันใดกับไม้ศักดิ์สิทธิ์กระจอกๆ! ถูกผู้ใดปลดก็ถือว่าถอนคำสาป เว้นแต่เจ้าที่ไม่ใช่! เจ้าไม่ได้ดีกับเขาจริงใจ แค่อาศัยความได้เปรียบของสถานะ คำสาปจะถอนได้อย่างไร?! ข้าว่านะ เฟิ่งหวงน้อยไม่สู้กลับไปยอมรับผิดที่ตำหนักหลีเจ๋อ ยังได้กลับคืนถิ่นเดิม ไม่เช่นนั้นหากเป็นเช่นนี้ต่อไป ช้าเร็วเขาย่อมถูกคำสาปคู่รักทำจนค่อยๆ อ่อนกำลังและตายลง!” 

 

 

วาจาเขากล่าวได้ตรงไปตรงมา ทำเอาถิงหนูจ้องเขาอย่างเอาเรื่อง เขากลับแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น เด็กน้อยสองคนนี้ลำบากลำบนทุกข์ทรมานมามาก ผู้ใดก็ไม่ได้อะไรคืนมา ยามนี้ต้องลองลงแรงผลักสักที ดีกว่ารอให้โง่งมไปจนตายก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น 

 

 

หากเป็นเมื่อก่อนเขากล่าวเช่นนี้กับตนเอง เสวียนจีย่อมทำเหมือนเป็นดังวาจาเหลวไหล ฟังแต่ไม่เข้าใจ แต่ตั้งแต่กลับจากเขาปู้โจวซาน ได้พบกับเซินซูและอวี้ลวี่ นางเหมือนพอระลึกอะไรได้บ้าง เข้าใจแล้วว่าชาติก่อนตนเองต้องมีสถานะพิเศษ 

 

 

แต่ซือเฟิ่งเคยบอกว่า ชาติก่อนก็ชาติก่อน ไม่อาจเพราะชาติก่อนแล้วจะมีผลต่อสภาพจิตใจในชาตินี้ ขอเพียงตอนนี้มีความสุขจึงเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ดังนั้นชาติก่อนจึงไม่เกี่ยวข้องอะไรกับนางแม้แต่น้อย นางไม่คิดสืบเสาะ ยิ่งไม่อยากถูกเรื่องเหล่านั้นพันพัวให้กลัดกลุ้มใจ 

 

 

“ผู้ใดว่าข้าไม่จริงใจ” อยู่ๆ นางก็เอ่ยขึ้น ราวกับเด็กน้อยกำลังแย่งของรัก สีหน้าแดงก่ำ ร้อนใจและโมโห ใบหน้ายังมีคราบน้ำตา “ข้าจริงใจ! ข้าชอบซือเฟิ่ง ข้าไม่คิดแยกจากเขา! ความจริงใจนี้ปลอมได้อย่างไร” 

 

 

หลิ่วอี้ฮวนยิ้มเยียบเย็นกล่าวว่า “ดี! เจ้าจริงใจ! เช่นนั้นข้าถามเจ้า จงหมิ่นเหยียนคืออะไร” 

 

 

ในสมองเสวียนจีราวกับมีเสียงฟ้าผ่า ฟาดจนนางหน้ามืดตาลาย กล่าวน้ำเสียงสั่นว่า “เจ้า…เจ้าพูดอะไร…” 

 

 

หลิ่วอี้ฮวนกล่าวว่า “อย่างไรล่ะ อยู่ๆ ข้าเอ่ยถึงเขา ในใจเจ้ากินปูนร้องท้อง? ข้าถามเจ้า จงหมิ่นเหยียนกับอวี่ซือเฟิ่ง คนไหนสำคัญกับเจ้ามากกว่า” 

 

 

คำถามประหลาดเช่นนี้แต่ไรมานางไม่เคยคิด ก็เหมือนมีคนถามเจ้าว่าพ่อกับแม่ผู้ใดสำคัญกว่า นางร้อนใจกล่าวว่า “นี่มันเปรียบเทียบกันได้อย่างไร! ทั้งสองคนล้วนสำคัญ! ล้วนเป็นคนสำคัญที่สุดของข้า!” 

 

 

หลิ่วอี้ฮวนยิ้ม “ใช่สิ เจ้ามีทางถอยมากมาย เขากลับยอมทิ้งทางถอยทั้งหมดเพื่อเจ้า เจ้ายังบอกว่าตนเองจริงใจ?” 

 

 

ถิงหนูมองสีหน้าเสวียนจี รู้ว่านางสับสนแล้ว นางจิตใจใสบริสุทธิ์ ไร้สิ้นพรสวรรค์ในเรื่องอารมณ์ความรู้สึกพวกนี้ ยามนี้จะบีบให้ยามนางยอมรับอะไร ย่อมเป็นการบีบคั้นนางอย่างไม่ต้องสงสัย เขากล่าวเบาๆ ว่า “เจ้าพูดน้อยๆ หน่อย! เรื่องเด็กสาว เจ้าลงไปเกี่ยวข้องมากมาย ภูมิใจหรือ” 

 

 

หลิ่วอี้ฮวนยู่ปากกล่าวว่า “ได้ ได้! ถือว่าข้าปากมาก! ข้าเห็นเฟิ่งหวงน้อยมาแต่เล็ก นับเป็นบิดาเขาครึ่งหนึ่ง บิดาที่ไหนจะอยากให้ลูกชายต้องจิตใจพลุ่งพล่านไปกับหญิงที่ไม่ชอบตนเอง?!” 

 

 

“เรื่องราวแท้จริงเป็นเช่นไร เจ้ารู้ได้อย่างไร เจ้ารู้ได้อย่างไรว่านางไม่ชอบซือเฟิ่ง หรือว่าต้องทำเอาสะเทือนฟ้าดินจึงเรียกว่าชอบ” 

 

 

ถิงหนูยามเอาจริงก็ดุเดือดไม่น้อย แม้ว่าวาจาฟังแล้วแปลกๆ แต่ฝีปากกล้า ทำเอาหลิ่วอี้ฮวนได้แต่ลูบจมูกไปมา งึมงำกล่าวว่า “อย่างไรข้าก็มองไม่ออก…หนุ่มสาวสมัยนี้…” 

 

 

“ทุกคนย่อมมีบุพเพของตน เจ้าไปยุ่งเรื่องคนอื่น ไม่สู้เอาเวลาไปคิดรับมือวันหน้าแดนสวรรค์ลงมาล่าตัวเจ้าดีกว่า คิดจริงๆ หรือว่าพวกเขาจะไม่ไล่ตามมาทวงดวงตาสวรรค์คืน” 

 

 

หลิ่วอี้ฮวนถูกเขาว่าจนสีหน้าซีดเผือด สุดท้ายได้แต่โบกมือยอมแพ้ “ถือว่าเจ้าร้ายกาจ! ข้าหุบปาก ไม่พูดอันใดแล้ว!” 

 

 

เสวียนจีพลันกล่าวเบาๆ ว่า “ข้าต้องช่วยเขาแก้คำสาปคู่รัก ไม่ว่าเป็นอย่างไร ข้าจะไม่ให้เขาตาย หาก…หากเขาตาย…ข้าก็ไม่ขอมีชีวิตอยู่ต่อ!” 

 

 

วาจาหนักแน่นมั่นคง น้ำเสียงไม่ลังเลแม้แต่น้อย ทั้งสองมองนางไม่กล่าวอันใดอีก 

 

 

เรื่องความรักนี้ล้วนมีบุพเพของแต่ละคน…จริงๆ แล้ววาจานี้กล่าวได้ถูกต้อง หลิ่วอี้ฮวนลูบจมูก ตั้งใจเหินกระบี่ไม่กล่าวแทรกอีก 

 

 

ทั้งสามมาถึงเก๋อเอ่อร์มู่อย่างรวดเร็ว เสวียนจีมองกระบี่ศิลาเล่มใหญ่มากเช่นนั้นของหลิ่วอี้ฮวนที่พอลงมาแล้วเขาเก็บอย่างไร ผู้ใดจะรู้ว่าเขาตบตัวกระบี่สองที ของนั่นถึงกับบินไปเองได้ 

 

 

เขาหันกลับไปเห็นเสวียนจีมองตามก็ได้ใจหัวเราะดัง ชี้ไปยังท้องฟ้ากล่าววาจาเหลวไหลว่า “นี่เป็นม้าส่วนตัวของข้า ไม่มีอะไรก็ไปรออยู่บนฟ้า ขอเพียงข้าเป่าปากเรียก มันก็จะวิ่งมา” 

 

 

แม้ว่าเสวียนจีไม่อยากเชื่อ แต่คนผู้นี้มีดวงตาสวรรค์ กอปรกับเหมือนว่าเคยอยู่ตำหนักหลีเจ๋อมาก่อน พฤติกรรมแปลกประหลาดก็ไม่น่าตกใจเท่าไร 

 

 

หลิ่วอี้ฮวนเข็นถิงหนูเดินไปข้างหน้า พลางหันมากล่าวว่า “เจ้าเหม่อลอยอีกแล้ว ซือเฟิ่งถูกรองเจ้าตำหนักชิงตัวไปได้ก็รอร้องไห้ไปแล้วกัน!” 

 

 

เสวียนจีรีบไล่ตามไปกล่าวอย่างแปลกใจว่า “เหตุใดเจ้ามั่นใจว่าเป็นรองเจ้าตำหนัก หรือว่าเจ้าตำหนักใหญ่ไม่เอาโทษซือเฟิ่ง” 

 

 

หลิ่วอี้ฮวน “เชอะ” ขึ้นเสียงหนึ่ง กระซิบกระซาบท่าทางมีเลศนัยกล่าวว่า “นั่นไม่ยากนี่ ข้าแค่มองท่าทางประหลาดของรองเจ้าตำหนักผู้นั้นก็รู้ว่าเขาไม่ใช่คนดี!” 

 

 

ที่แท้ก็เดามั่ว…เสวียนจีคิดถึงเรื่องที่เกาะฝูอวี้ ตนเองปะทะกับรองเจ้าตำหนัก รอบกายเขาทอประกายไอสังหาร รู้สึกได้ถึงความโหดเ**้ยม ต่างกับความนุ่มนวลสงบนิ่งของเจ้าตำหนักใหญ่สิ้นเชิง ต่อมาไม่รู้ว่าทำไมจึงได้ยอมปล่อยซือเฟิ่ง แม้ว่าหลิ่วอี้ฮวนพูดจาเหลวไหล แต่ก็ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้ ไม่แน่อาจเป็นรองเจ้าตำหนักสั่งให้รั่วอวี้แทงซือเฟิ่งก็ได้ 

 

 

“หากเขาแตะต้องซือเฟิ่งแม้เส้นขน ข้าก็จะ…ข้าก็จะ…” 

 

 

“ก็จะอะไร?” หลิ่วอี้ฮวนถามอย่างไม่กลัวว่าฟ้าดินจะไม่วุ่นวายพอ 

 

 

เสวียนจีดุดันกล่าวว่า “ข้าจะฉีกเขาเป็นชิ้น!” 

 

 

วาจาโมโหเด็กน้อย เดิมไม่อาจจริงจัง แต่ทั้งสองต่างรู้สถานะพิเศษนางดี ดังนั้นพอได้ยินนางกัดฟันกรอดกล่าววาจาเช่นนี้ ในใจก็สะดุ้งโหยง ถิงหนูคิ้วกระตุก ไม่รู้คิดเรื่องอะไรขึ้นมาได้ สุดท้ายลอบถอนใจเบาๆ