กู่ฉิงซานยืนอยู่หน้าวิหารเต๋าก่อนเงยหน้าขึ้นมอง

กำแพงของวิหารเต๋าสูงเสียดฟ้า มองไม่เห็นจุดสิ้นสุด

ตามระบบย่อยของโลกใบนี้ วิหารเต๋าคือสถานที่รวบรวมวิชาฝึกฝนและคลังสมบัติอาวุธในยุคโบราณ

แม้โลกจะเป็นเช่นนี้ แต่เพราะมันอยู่ภายใต้การควบคุมของเผ่าพันธุ์บรรพกาล มันจึงไม่เคยถูกแตะต้องโดยผู้ฝึกยุทธมนุษย์มาก่อน

ไม่เคยเลย

ตอนนี้มันไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของเผ่าพันธุ์บรรพกาลแล้ว แต่กลายเป็นอยู่ในมือของร่างแยกของวิญญาณกรีดร้องเสียเอง

หากวัดตามพละกำลัง ร่างแยกของวิญญาณกรีดร้องไร้เทียมทานยิ่งกว่าเผ่าพันธุ์บรรพกาล สามารถสังหารเทพได้ราวกับหมูหมา

แต่มันกลับปล่อยให้พวกเซี่ยกูหงเข้ามาที่นี่ได้

กู่ฉิงซานสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนเริ่มลงมือทันที

เขาแนบมือกับประตูของวิหารเต๋า

จากนั้น เสียงหนึ่งดังขึ้นจากประตู

“ยินดีต้อนรับ สามัญชนมนุษย์ เจ้าหนุ่มน้อย”

“มีมรดกและสมบัติวิญญาณจำนวนมากถูกเก็บไว้ในฝั่งพื้นเมือง มีทั้งสิ้นสามสิบหกชั้น แต่ละชั้นเต็มไปด้วยสมบัติและวิชาหายากนับไม่ถ้วน”

“โปรดจำไว้ว่าสามารถเลือกสมบัติได้เพียงชิ้นเดียวเท่านั้น”

“สมบัติบางชิ้นมีผลย้อนกลับในระดับหนึ่ง สมบัติบางชิ้นจะเลือกเจ้าของเอง มีหลายหลากสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้”

“จงระวังให้ดีและจำให้ขึ้นใจ”

‘ครืน!’

ประตูเปิดออกทั้งสองด้าน

กู่ฉิงซานกวาดตามองวิหารเต๋า

ชั้นแรกของวิหารเต๋าว่างเปล่า มีเพียงค่ายกลเคลื่อนย้ายพริบตาที่ถูกเตรียมไว้ใจกลางของลาน

จิตของกู่ฉิงซานขยับ

นี่คือค่ายกลเคลื่อนย้ายพริบตาระยะสั้น

ค่ายกลเคลื่อนย้ายพริบตาระยะสั้นเป็นค่ายกลที่เรียบง่ายที่สุด แม้กระทั่งค่ายกลของยุคโบราณเช่นนี้ก็แทบไม่แตกต่างจากยุคหลังเท่าไหร่นัก

ร่องหินวิญญาณของค่ายกลเคลื่อนย้ายพริบตาเต็มไปด้วยหินวิญญาณ พวกมันอยู่ในสภาพพร้อมใช้งานทุกเมื่อ

แต่ก่อนกู่ฉิงซานเป็นนักสร้างค่ายกลชั้นยอด ตอนนี้ เขาเดินรอบค่ายกลเคลื่อนย้ายพริบตาขณะสัมผัสสภาพของหินวิญญาณแต่ละก้อนอย่างละเอียด

พลังวิญญาณที่อยู่ในหินวิญญาณเหล่านี้มหาศาล ทำให้เกิดการไหลของกระแสวิญญาณที่นุ่มนวลและสมดุล

รอบค่ายกล ผลพวงของพลังวิญญาณที่ว่างเปล่าสูญสลายเบาบางไปมาก แต่ยังมีความผันผวนทางวิญญาณเล็กน้อยยิ่งหลงเหลืออยู่ในความว่างเปล่า

…ครึ่งชั่วโมงก่อน

ตัดสินจากความรุนแรงของความผันผวนนี้ ค่ายกลถูกใช้งานครั้งล่าสุดเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน

ไม่ผิดแน่ ต้องเป็นพวกเซี่ยกูหงอย่างแน่นอน

กู่ฉิงซานกระโดดเข้าไปในค่ายกล

‘วิ้ง!’

ค่ายกลทำงานทันทีก่อนพากู่ฉิงซานออกจากชั้นนี้ในพริบตา

ชั้นที่สอง

กู่ฉิงซานปรากฏขึ้นบนแท่นสูง

เขามองฉากตรงหน้าก่อนตกตะลึงเล็กน้อย

ใต้แท่นสูงคือกองโลหะกว้างใหญ่ที่ส่องแสงเป็นประกาย

อาวุธและเกราะนานาชนิดกองสุมรวมกันชั้นแล้วชั้นเล่า พวกมันมีจำนวนนับไม่ถ้วน

ขณะมองรอบข้าง ไม่มีทางมองเห็นได้ว่าอุปกรณ์เหล่านี้กองสุมลึกแค่ไหน

ต่อให้ใช้สายตาของกู่ฉิงซานมอง เขาก็มองเห็นเพียงว่ามีแท่นสูงอีกแห่งอยู่ไกลออกไป

กู่ฉิงซานกระโดดออกจากแท่นสูงก่อนเริ่มหดตัวทันที!

เขาไม่อยากมอง “กอง” เหล่านี้ที่เต็มไปด้วยสมบัติแม้แต่นิดเดียว

มีชายร่างกำยำรออยู่ที่ทางเข้าโลกเพื่อพยายามรั้งตัวเขาเอาไว้

ถ้าเป็นอย่างนั้น กู่ฉิงซานจึงตัดสินใจที่จะถ่วงเวลาด้วยพละกำลังทั้งหมดที่มีเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง!

ในวินาทีต่อมา กู่ฉิงซานข้ามกองอาวุธกว้างใหญ่แห่งนี้จนมาถึงแท่นสูงอีกแห่ง

ยังเป็นค่ายกลเคลื่อนย้ายพริบตาเหมือนเดิม

ร่องบนค่ายกลยังเต็มไปด้วยหินวิญญาณ

กู่ฉิงซานยืนอยู่ในนั้นก่อนถูกส่งตัวไปทันที

เขาออกจากชั้นที่สองก่อนมาถึงชั้นที่สาม

ชั้นนี้แตกต่างจากชั้นก่อนหน้า

ใต้แท่นสูง มียันต์จำนวนนับไม่ถ้วนลอยอยู่อย่างเงียบงัน

กลิ่นอายธาตุทั้งห้าหลากสีสันที่สอดประสานกันปรากฏขึ้นบนยันต์วิเศษธาตุทั้งห้า

ยันต์ที่ได้รับพลังไม่เผยกลิ่นอาย แต่มีอักขระจำนวนมากห้อมล้อมยันต์เอาไว้ขณะยังปรากฏขึ้นในความว่างเปล่าอย่างต่อเนื่อง

ยันต์ระดับมิติรวมตัวเข้าด้วยกัน มิติบิดเบี้ยวก่อตัวขึ้น

มียันต์ลึกลับซับซ้อนอยู่อีกจำนวนมาก แต่ละใบอยู่ตามมุมต่างๆ อย่างเงียบงัน

กู่ฉิงซานเพียงชำเลืองมอง ไม่ขยับไปไหน

เขาพบแท่นสูงที่นำไปสู่ชั้นต่อไปอย่างรวดเร็วก่อนเริ่มหดตัวอีกครั้งแล้วเคลื่อนไหวทันที

ชั้นที่สี่

เมฆหมอกปกคลุมรอบข้าง

ใต้แท่นสูงล้วนเป็นตำราการฝึกฝนโบราณ

ตำราหายากเหล่านี้ไม่ซับซ้อน ดังนั้นไม่จำเป็นต้องส่งต่อภาพและความคิดแต่อย่างใด เพียงแค่เขียนลงไปในตำราก็พอ

กู่ฉิงซานรู้ว่าต้องมีวิชาดาบอยู่ในนี้แน่ๆ

ถึงแม้จะไม่มีสิ่งที่เรียกว่าวิชาดาบลับในยุคโบราณ แต่ทุกกระบวนท่าล้วนเป็นวิชาดาบที่สั่นสะท้านปฐพี

จากมุมมองของการพัฒนาวิชาดาบ ผู้ฝึกฝนรุ่นหลังไม่ได้มีการฝึกฝนที่สูงและขาดพลังวิญญาณ พวกเขาต้องใช้สมองเพื่อหาทางรวบรวมพละกำลังทั้งหมดไว้ที่วิชาดาบเดียวแล้วระเบิดการโจมตีที่ทรงพลังยิ่งออกมา

นี่คือเส้นทางการเกิดของวิชาดาบลับ

ความจริง จากมุมมองของการพัฒนาวิชาดาบเพียงอย่างเดียว นี่สามารถนับว่าเป็นการพัฒนาไปหนึ่งขั้นได้แล้ว

หากมอบวิชาดาบลับให้กับผู้ใช้วิชาดาบโบราณล่ะก็

ภายใต้พรของรากฐานการฝึกฝนอันยอดเยี่ยมและพลังวิญญาณอันสูงส่ง วิชาดาบลับจะยิ่งสำแดงพลังที่น่าทึ่งยิ่งกว่าออกมา

กู่ฉิงซานลังเลสักพัก แต่เขาทิ้งโอกาสที่จะเลือกวิชาเหล่านั้นทันที

ตอนนี้มีสิ่งสำคัญยิ่งกว่าที่ต้องทำให้เสร็จ!

ร่างของเขาวูบไหวก่อนกระโดดขึ้นแท่นสูงเพื่อนำไปสู่ชั้นต่อไป

ชั้นที่ห้า

พลังวิญญาณรวมตัวเป็นสายธารขณะห้อมล้อมเกาะสีเขียวเอาไว้

นี่คือเกาะวิญญาณโบราณ เต็มไปด้วยบุปผาแปลกใหม่หายากหลากชนิด

จิตวิญญาณของกู่ฉิงซานกวาดออกไป เขาไม่พบทั้งเสียงและเงาของเซี่ยกูหง ดังนั้นเขาจึงกระโดดขึ้นแท่นสูงอีกครั้งเพื่อนำไปสู่ชั้นต่อไป

แน่นอนว่าร่องของค่ายกลเคลื่อนย้ายพริบตาเต็มไปด้วยหินวิญญาณแล้ว

กู่ฉิงซานเปิดใช้งานค่ายกลก่อนออกจากชั้นนี้ไป

ชั้นที่หก

วัตถุดิบบริสุทธิ์แสนล้ำค่าจำนวนนับไม่ถ้วนลอยอยู่กลางอากาศ

ชั้นที่เจ็ด

ที่นี่เต็มไปด้วยอาวุธ ชุดและเครื่องประดับวิเศษขนาดเล็ก อาทิ ตุ้มหู ยางรัดผม จี้หยกและของชิ้นเล็กอื่นๆ อีกมาย

ชั้นที่แปด

นับจากชั้นนี้ไป ของน้อยลงมาก

กู่ฉิงซานชำเลืองมองกระดองเต่าที่ใจกลางลาน

กระดองเต่าแผ่ความผันผวนที่ไม่สามารถอธิบายได้ออกมา แม้กระทั่งกลุ่มแสงสีเทาก็ยังปรากฏออกมาก่อนลอยขึ้นท้องนภาในแนวตั้ง

นี่คือสมบัติชิ้นต้นๆ ของการทำนาย ด้วยสัมผัสวิญญาณของกู่ฉิงซาน ภาพเลือนรางสามารถสัมผัสได้จากด้านบน

กู่ฉิงซานถอนหายใจเล็กน้อย

ถึงแม้เขาจะไม่เคยฝึกฝนดาวฤกษ์หกแฉกมาก่อน แต่ด้วยชิ้นส่วนกระดองเต่านี้ ไม่ว่าจะเป็นเซี่ยเต้าหลิงหรือฉินเสี่ยวหลัวจากสำนักร้อยบุปผาก็ย่อมสามารถเทียบเคียงกับเทพได้เป็นเวลาหลายร้อยปี

กู่ฉิงซานพลันครุ่นคิดถึงอีกคำถาม

หรือเพราะเผ่าพันธุ์มนุษย์จากยุคโบราณรู้มากเกินไปถึงได้รีบจากไปหรือเปล่า

ขณะส่ายหน้า กู่ฉิงซานไม่คิดอะไรอีก

ขณะร่างวูบไหว เข้าขึ้นสู่แท่นสูงเพื่อมุ่งสู่ชั้นต่อไปก่อนใช้งานค่ายกลเคลื่อนย้ายเพื่อออกไปจากชั้นนี้ทันที

ชั้นที่เก้า

หมอกจุดแสงลอยอยู่กลางอากาศคล้ายหิ่งห้อยอยู่ใต้แท่นสูง

กู่ฉิงซานมองฉากนี้ด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย

นี่คือวิธีการมอบวิญญาณในยุคโบราณเพื่อเปลี่ยนเป็นพลังวิเศษเจิดจ้าก่อนก่อตัวเป็นจุดแสงขึ้นมา

ถ้าอยากใช้มัน จงเก็บจุดแสงแล้วปลดปล่อยลงไปในภาชนะบางอย่าง

พลังวิเศษแก่กล้าบางอย่างที่สามารถย้ายขุนเขาและเติมเต็มทะเลได้ถูกถ่ายโอนจากมือของนักพรตที่ตายไปแล้วด้วยวิธีนี้

แต่วิธีนี้ได้สูญหายไปแล้ว

กู่ฉิงซานไม่มีเวลาสำรวจความลับของวิญญาณและแสงอันเจิดจ้านี้

เขาจากไปอีกครั้ง

ชั้นที่สิบ

ที่ชั้นนี้ มีสมบัติน้อยมาก แต่ระดับความหายากเริ่มเพิ่มมากขึ้น

กู่ฉิงซานไม่มองสมบัติเหล่านั้นเพื่อหลีกเลี่ยงความคิดที่ไม่อาจควบคุมได้

เขาเหาะขึ้นแท่นสูงที่นำไปสู่ชั้นต่อไป

ค่ายกลเคลื่อนย้ายพริบตายังเต็มไปด้วยหินวิญญาณ

กู่ฉิงซานถอนหายใจ

ด้วยสมบัติมากขนาดนี้ เซี่ยกูหงไม่แม้แต่จะเหลียวแล

แล้วเซี่ยกูหงมาทำอะไรที่นี่กันล่ะ

แสงของค่ายกลวูบไหว

กู่ฉิงซานหายไปจากชั้นนี้

ชั้นที่สิบเอ็ด

เกราะสามสิบชุดถูกวางบนชั้นนี้

ถึงแม้พวกมันจะไม่ถูกสวมบนร่างกาย แต่ต่อให้ถูกวางอยู่ที่นี่อย่างเงียบงัน เกราะเหล่านี้ยังเต็มไปด้วยพลังและความงดงามจนผู้คนอดที่จะอยากเลือกนำออกไปไม่ได้

กู่ฉิงซานเบือนศีรษะแล้วจากไป

ชั้นที่สิบสอง

ยาเม็ดมากกว่ายี่สิบเม็ดกลิ้งไปมาอยู่บนแท่นสูง

พวกมันมีชีวิตและปัญญา อย่าว่าแต่กินเข้าไปเลย แค่พกติดตัวไปด้วยก็สามารถเป็นประโยชน์กับนักพรตได้อย่างมหาศาล

ชั้นที่สิบสาม

แผ่นค่ายกลสิบแปดแผ่นลอยอย่างเงียบงัน ภาพจำนวนมากยังคงปรากฏในความว่างเปล่าที่แผ่นค่ายกลถูกตั้งเอาไว้

กู่ฉิงซานรู้สึกกังวลเล็กน้อย

ทำไมถึงไม่มีเบาะแสเลยล่ะ เซี่ยกูหงไปถึงชั้นไหนแล้ว

ชั้นที่สิบสี่

การ์ดวิเศษอัญเชิญสัตว์ร้ายวิญญาณจำนวนมากถูกวางไว้ที่ชั้นนี้

กู่ฉิงซานไม่รู้ว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์จากยุคโบราณมั่นใจได้อย่างว่าสัตว์ร้ายวิญญาณเหล่านี้จะอยู่รอดจนมาถึงทุกวันนี้

เวลาใกล้จะหมดลงแล้ว เขาไม่มีเวลามาตรวจสอบสิ่งที่วิเศษเช่นนี้

ชั้นที่สิบห้า

แผ่นหยกจำนวนมากลอยอยู่กลางอากาศ

โทเค่นเหล่านั้นสามารถเปิดถ้ำบางแห่งในยุคโบราณได้

กู่ฉิงซานเกือบถูกดึงดูดเข้าให้

แต่ก็ยังหาเซี่ยกูหงไม่เจอ

เขายังคงไปต่อ

ชั้นที่สิบหก

“หัวหน้าจ้าว ท่านก็มาที่นี่เหมือนกันสินะ”

เสียงอันคุ้นเคยดังขึ้น

จิตของกู่ฉิงซานขยับ

เขาเห็นเซี่ยกูหงและชายชราผมขาวยืนอยู่หน้าแถวแผ่นหยก

ทั้งสองหันศีรษะมามองเขาพร้อมกัน

กู่ฉิงซานสังเกตเห็นว่าเซี่ยกูหงกำลังถือกระจกทองแดงเอาไว้ในมือ

กระจก…ทองแดงหรือ

กู่ฉิงซานสาวเท้าก่อนกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “คาดไม่ถึง ที่นี่คือสมบัติมรดกของพวกเราเผ่าพันธุ์มนุษย์ ท่านเซี่ย ท่านเลือกกระจกทองแดงบานนี้หรือ”

เซี่ยกูหงกล่าวว่า “นี่คือสมบัติที่ถูกทิ้งไว้ก่อนหลินเต้าโหย่วตาย”

หลินเต้าโหย่วคือชายร่างกำยำ

“หลินเต้าโหย่วตายแล้วหรือ” กู่ฉิงซานถามด้วยความประหลาดใจ

ชายชราผมขาวกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักอึ้งว่า “หลินเต้าโหย่วเลือกกระจกทองแดงบานนี้ แต่เมื่อใช้มัน เขาตายเพราะผลย้อนกลับ”

“ตายเพราะผลย้อนกลับ…” กู่ฉิงซานทวนซ้ำ

เซี่ยกูหงถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “ใช่แล้ว เพื่อสำรวจความจริงเกี่ยวกับเผ่าพันธุ์บรรพกาลและเทพ หลินเต้าโหย่วจึงยอมจ่ายด้วยชีวิตตัวเอง”

……………………………….