บทที่ 275 ยินดีต้อนรับเข้าร่วมกลุ่ม
“มี่หรู่หยาน ข้าขอแนะนำให้เจ้าเปลี่ยนใจดีกว่านะ”
ณ โรงเตี๊ยมเยว่เล่ย มีศิษย์จากสถานศึกษากระบี่ที่สองกำลังมายืนล้อมวงอยู่ที่โต๊ะอาหารริมหน้าต่างโต๊ะหนึ่ง ซึ่งนั่นก็เป็นโต๊ะที่มี่หรู่หยานกำลังนั่งรับประทานอาหารอยู่เพียงลำพัง
“เปลี่ยนหรือไม่เปลี่ยน มันก็เป็นเรื่องของข้า ไม่ใช่เรื่องของพวกเจ้า” มี่หรู่หยานพูดด้วยสีหน้าไม่พอใจเล็กน้อย “เซียวซาง เจ้าไม่คิดว่าตนเองกำลังยุ่งเรื่องคนอื่นมากเกินไปหรือไร?”
ผู้ที่ถูกเรียกว่าเซียวซางเป็นหัวหน้าเด็กหนุ่มเด็กสาวจากสถานศึกษากระบี่ที่สองกลุ่มนี้
เขาตอบกลับด้วยน้ำเสียงฉุนเฉียว “หลินเป่ยเฉินเป็นบุคคลชั่วร้ายขนาดไหน หากเจ้าไปเข้าร่วมกลุ่มกับมัน คงเป็นที่น่าอับอายต่อสถาบันของพวกเรามากนัก ยังไม่ต้องเอ่ยถึงว่าบัดนี้ เกิดข่าวลือหลินเป่ยเฉินเป็นพวกสาวกปีศาจ เขาตกเป็นผู้ต้องสงสัยคดีฆาตกรรมใหญ่ และอย่าลืมสิว่าตระกูลมี่ของเจ้า เป็นคนรับใช้ตระกูลเซียวของข้ามาตลอด ถ้าไม่ได้เป็นเพราะว่าบิดาข้าส่งเจ้าเข้าเรียน คิดว่าเจ้าจะมีวันนี้ได้หรือ? ไม่ทราบว่าเจ้ายังหลงเหลือจิตสำนึกอยู่บ้างหรือไม่?”
“เดี๋ยวนี้ปีกกล้าขาแข็งแล้วสินะ”
“ทำเป็นอวดดีไปเถอะ เดี๋ยวสุดท้ายเจ้าก็ต้องรู้ ว่าหลินเป่ยเฉินมันเป็นตัววายร้ายขนาดไหน”
“เจ้ามันไม่รู้ผิดชอบชั่วดี แล้วเจ้าจะต้องเสียใจ”
กลุ่มเด็กสาวที่ยืนอยู่รอบตัวมี่หรู่หยานพูดออกมาเสียงดัง ทำเอาผู้คนที่นั่งรับประทานอาหารโต๊ะอื่นๆ หันมามองเป็นตาเดียว และแน่นอนว่าสายตาที่พวกเขาใช้จ้องมองมี่หรู่หยาน ก็เต็มไปด้วยความเหยียดหยามดูถูก
มี่หรู่หยานชักสีหน้า โต้ตอบกลับไปด้วยเสียงดังไม่แพ้กันว่า “ตระกูลมี่ของข้าเป็นหนี้บุญคุณพวกเจ้าก็จริง แต่เราก็ชดใช้หนี้บุญคุณไปหมดแล้ว เซียวซาง อย่าได้ประพฤติตัวเช่นนี้อีกเลย บิดาของข้าไม่ใช่คนรับใช้ของพวกเจ้า แต่ท่านทำงานเป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย…”
เซียวซางหัวเราะในลำคอ “แล้วเวรยามเฝ้าหน้าประตูแตกต่างไปจากคนรับใช้ตรงไหน?”
มี่หรู่หยานตอบว่า “ตระกูลเซียวไม่ใช่เจ้าของชีวิตพวกเรา…”
เซียวซางหัวเราะออกมาเสียงดังมากกว่าเดิม “ไม่ใช่เจ้าของชีวิตอย่างนั้นหรือ? ให้ตายเถอะ ข้าจะบอกให้นะ ข้าจะสามารถจ่ายเงินซื้อเจ้ามาจากบิดาเจ้าเมื่อไหร่ก็ได้ ฮ่าฮ่าฮ่า”
มี่หรู่หยานตบโต๊ะปังและพูดเสียงแข็งกร้าว “ อย่าได้ปากดีให้มากเกินไป”
สีหน้าของเด็กหนุ่มที่ชื่อเซียวซางเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะแค่นหัวเราะพูดว่า “มีอะไร? หรือว่าเจ้าอยากจะทำร้ายข้า? เอาเลยสิ เดี๋ยวนี้เจ้าเป็นถึงผู้เข้าแข่งขันที่เข้ารอบ 10 คนสุดท้ายแล้วนี่นา แต่อย่าลืมนะว่าเมื่อก่อนพ่อเจ้าเป็นตัวอะไร พ่อเจ้าเคยทำอะไรไว้บ้าง ไหนลองเล่าให้ทุกคนฟังหน่อยซิ”
มี่หรู่หยานรู้สึกโกรธจนควันออกหู แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้
เห็นดังนั้นเซียวซางก็รู้สึกโล่งอกมากขึ้น
เขากำลังจะพูดจาดูถูกเด็กสาวออกมาอีกครั้ง แต่ในทันใดนั้นเอง ก็มีใครบางคนวางมือไว้บนไหล่ของเขาและกระชากตัวไปด้านหลัง
“เจ้าเป็นใคร…” เซียวซางสบถออกมา
หลังจากนั้น ก็มีพลังลมปราณคุกคามเข้ามาประชิดตัว เซียวซางเซถอยหลังไปหลายก้าวก่อนจะล้มลงก้นจ้ำเบ้า รู้สึกเจ็บปวดบั้นท้ายจนน้ำตาแทบไหล
เด็กหนุ่มที่มีหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งเดินแหวกกลุ่มคนเข้ามาที่โต๊ะอาหาร พูดว่า “คุณหนูมี่ เจ้าเศษสวะพวกนี้มันกำลังรบกวนท่านอยู่ใช่หรือไม่?”
ดวงตาที่งดงามของมี่หรู่หยานเบิกโตด้วยความดีใจ นางตอบว่า “คุณชายหลิน…อ๊ะ ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ที่นี่ไม่สะดวกพูดคุย เราไปคุยกันที่อื่นดีกว่า”
“พวกเจ้าจะไปไหน?” เซียวซางกัดฟันลุกขึ้นยืน ยิ้มมุมปากเหยียดหยาม “หึหึ มี่หรู่หยาน เจ้ามันไร้ยางอายเกินไปแล้ว เพราะมีข้าอยู่ที่นี่สินะ เจ้าถึงทนอยู่ต่อไปไม่ได้”
หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้วถามว่า “คุณหนูมี่ บุคคลผู้นี้กำลังรบกวนท่านอยู่ใช่หรือไม่?”
มี่หรู่หยานตอบว่า “อย่าไปสนใจเขาเลยเจ้าค่ะ ก็แค่อันธพาลกลุ่มหนึ่งเท่านั้นเอง…”
เมื่อเห็นสีหน้าแววตาของมี่หรู่หยาน หลินเป่ยเฉินก็รู้ทันทีว่านางและเด็กหนุ่มเด็กสาวกลุ่มนี้ไม่ค่อยลงรอยกันสักเท่าไหร่ แต่ด้วยความที่ศึกษาอยู่สถาบันเดียวกัน มันจึงเป็นเหตุผลที่นางทำอะไรพวกเขาไม่ได้
มี่หรู่หยานทำไม่ได้ แต่หลินเป่ยเฉินสามารถทำได้
เมื่อคืนนี้เขาถูกใส่ร้ายป้ายสี กำลังอยากหาที่ระบายความโกรธแค้นอยู่พอดี
หลินเป่ยเฉินหันกลับไปมองหน้าเซียวซาง กล่าวว่า “พี่ชายท่านนี้หน้าตาคุ้นๆ ไม่ทราบว่าเป็นหนึ่งในผู้เข้าแข่งขันรอบสิบคนสุดท้ายด้วยใช่หรือไม่?”
เซียวซางพูด สีหน้าเย็นชา “ถูกต้อง ข้าสามารถผ่านเข้ารอบได้ด้วยฝีมือของตนเอง ตำแหน่งที่ข้าได้มานั้นไม่ได้เป็นเพราะโชคช่วยนะ แต่เนื่องจาก…”
เพี๊ยะ!
หลินเป่ยเฉินพลันยกมือตบหน้าเซียวซางในทันใด
เป็นแค่ผู้เข้าแข่งขันธรรมดา มีสิทธิ์อะไรมาวางท่าใหญ่โตต่อหน้าเขา?
เด็กหนุ่มที่ชื่อเซียวซางเบิกตาโตด้วยความตกตะลึง
ตระกูลเซียวได้ชื่อว่าเป็น 1 ใน 4 ตระกูลใหญ่ มีความยิ่งใหญ่และประวัติความเป็นมายาวนาน เซียวซางเติบโตขึ้นมาในฐานะผู้ซึ่งเป็นที่รักของคนทั้งครอบครัว แม้แต่บิดามารดาก็ยังไม่เคยตีเขาเลยสักครั้ง แต่วันนี้ กลับถูกหลินเป่ยเฉินตบหน้าต่อหน้าผู้คนจำนวนมาก แล้วเขาจะทนยอมได้อย่างไร?
“เจ้า…กล้าดีอย่างไรมาตบหน้าข้า?” เซียวซางปากกระตุก
“เพราะเจ้ามันโง่เขลามากเกินไป” หลินเป่ยเฉินกระโดดเข้าไปหาเซียวซางและล้มกลิ้งไปบนพื้นด้วยกันทั้งคู่ สุดท้ายเขาก็เป็นฝ่ายขึ้นคร่อมอยู่ด้านบนสาวหมัดใส่รัวๆ เพียงไม่นาน เซียวซางก็มีสภาพดวงตาบวมช้ำยิ่งกว่าหมีแพนด้า
บัดนี้ หลินเป่ยเฉินยังไม่สามารถทำอะไรเฉาพั่วเถียนได้ตามที่ใจอยาก จึงระบายความอัดอั้นโกรธแค้นทั้งหมดมาลงที่เซียวซางผู้โชคร้าย
แต่แน่นอนว่าหลินเป่ยเฉินไม่ได้ต่อยออกไปเต็มกำลัง
เขาเพียงอยากหาที่ระบายโทสะเท่านั้น จึงใช้เรื่องราวของมี่หรู่หยานเป็นข้ออ้าง ไม่ได้มีเจตนาจะฆ่าใครให้ตายสักหน่อย
มิฉะนั้น นายน้อยตระกูลเซียวคนนี้คงมีสภาพกลายเป็นเนื้อบดไปนานแล้ว
ผลั่ก! ผลั่ก! ผลั่ก!
หลังจากตกตะลึงอยู่ครู่ใหญ่ กลุ่มเด็กสาวที่ยืนอยู่ข้างกายก็ได้สติ รีบเข้ามาดึงตัวหลินเป่ยเฉินออกไป
แต่หลินเป่ยเฉินก็ไม่สนใจใครอีกแล้ว เขาจับตัวพวกนางมาตบหน้าหันทีละคนสองคน และด้วยพลังความแข็งแกร่งของเขา พริบตาเดียว พวกนางก็ลงไปนอนหมอบอยู่บนพื้นหมดสิ้น
“เจ้า…หลินเป่ยเฉิน เจ้าโหดร้ายเกินไปแล้ว…”
“ทำร้ายผู้คนยังไม่พอ เจ้ายังทำร้ายผู้หญิงด้วยหรือ?”
“แม้แต่สตรีที่มีร่างกายบอบบางอย่างนั้น เจ้าก็ยังทำได้ลงคอ เจ้ามันไม่ใช่มนุษย์”
เสียงสบถก่นด่าดังออกมาจากกลุ่มคนที่ยืนดูเหตุการณ์อยู่ด้านข้าง มีหรือที่หลินเป่ยเฉินจะสามารถปล่อยผ่านไปได้?
เขากระโดดเข้าไปตบสั่งสอนเด็กหนุ่มอีกประมาณสองสามคนที่ปากดีเกินเหตุ การลงมือของหลินเป่ยเฉินในครั้งนี้ คงทำให้ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บไม่สามารถรับประทานอาหารไปได้อีกหลายวันเลยทีเดียว
“พวกเจ้าลืมไปแล้วหรือไงว่าข้าเป็นบุคคลที่ชั่วร้ายขนาดไหน?” หลินเป่ยเฉินพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “ตบผู้หญิง ตีคนแก่ ฆ่าหมา ด่าทารก สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นงานอดิเรกของข้าทั้งนั้น สำหรับสิ่งที่ข้าทำกับพวกเจ้า ถือว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยนัก”
เมื่อได้รับฟังคำอธิบายของหลินเป่ยเฉิน กลุ่มลูกศิษย์จากสถานศึกษากระบี่ที่สองก็รู้สึกขึ้นมาทันทีว่าเขาพูดจามีเหตุผล
พวกเขาจะไปเอาเรื่องเอาราวกับจอมเสเพลผู้ชั่วร้ายประจำเมืองได้อย่างไร?
“ฮ่าฮ่า งงกันไปเลยล่ะสิ คิดกันไม่ถึงใช่ไหมล่ะ?” หลินเป่ยเฉินพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ “แต่ดูเหมือนว่าบัดนี้พวกเจ้าคงจำได้แล้วสินะ”
เขาหันกลับไปมองหน้าเซียวซาง และกล่าวต่อว่า “ส่วนเจ้าเข้าใจแล้วหรือยัง?”
ขณะนี้ เซียวซางมีใบหน้าบวมช้ำยิ่งกว่าหัวหมูไหว้เจ้า เหลือเรี่ยวแรงแค่พยักหน้ารับคำเท่านั้น
“ต่อจากนี้ไป เจ้ายังคิดจะมาแย่งชิงบัลลังก์คนเสเพลอันดับหนึ่งประจำเมืองหยุนเมิ่งของข้าอีกหรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินถามออกมาอีกครั้ง
เซียวซางได้แต่ส่ายหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า
“ไสหัวไปได้แล้ว”
หลินเป่ยเฉินโบกมือไล่
แล้วเด็กหนุ่มเด็กสาวกลุ่มนั้นก็รีบแยกย้ายสลายตัวกันไปทันที
หลินเป่ยเฉินหันกลับมาส่งยิ้มหวานให้แก่มี่หรู่หยาน “ขออภัยด้วยที่ข้าวู่วามมากไปหน่อย พอดีว่าข้ามีนิสัยทนเห็นคนอื่นเที่ยวรังแกชาวบ้านไม่ได้น่ะ ไม่รู้เหมือนกันนะว่าบิดามารดาเขาเลี้ยงดูมายังไง ถึงได้เติบโตมาเป็นบุคคลเช่นนี้…เขาไม่รู้หรือไงว่าในเมืองแห่งนี้ มีข้าคนเดียวเท่านั้นที่สามารถรังแกคนอื่นได้ตามใจชอบ”
มี่หรู่หยานได้แต่มองหน้าเด็กหนุ่ม ไม่รู้ว่าตนเองควรพูดอย่างไรดี
มีใครคิดจะไปแย่งชิงบัลลังก์คนเสเพลประจำเมืองมาจากหลินเป่ยเฉินตอนไหนกัน?
“ช่างมันเถอะ คุณหนูมี่ ข้อเสนอเมื่อคืนนี้ ท่านยังยืนยันตามคำเดิมอยู่หรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินสอบถาม
มี่หรู่หยานหน้าแดงระเรื่อขึ้นมาทันที
ข้อเสนอเมื่อคืนนี้ยังคงชัดเจนอยู่ในใจ
นางผงกศีรษะรับคำ
หลินเป่ยเฉินหัวเราะด้วยความดีใจ ยื่นมือออกมาข้างหน้าและพูดว่า “ถ้าอย่างนั้น เราก็มาพูดอย่างเป็นกันเองดีกว่านะ มี่หรู่หยาน ขอต้อนรับสู่กลุ่มของข้า ข้าจะตั้งชื่อกลุ่มว่า ‘จัสติซ ลีก’ เจ้าว่าฟังดูดีหรือไม่?”
เด็กหนุ่มยิ้มแย้มอย่างอบอุ่นและใสซื่อบริสุทธิ์
มี่หรู่หยานยื่นมือออกไปจับมือกับหลินเป่ยเฉินโดยไม่รู้ตัว แล้วพวกเขาก็เขย่ามือกัน ถือเป็นการเข้าร่วมกลุ่มอย่างเป็นทางการ