บทที่ 274 ขจัดข้อสงสัย

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

บทที่ 274 ขจัดข้อสงสัย

เมื่อทุกคนได้ยินคำพูดของเยว่เว่ยหยาง ก็เริ่มเกิดความเชื่อถือขึ้นมาแล้วว่าหลินเป่ยเฉินมีหลักฐานแน่นหนาที่จะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเอง ดังนั้น พวกเขาจึงสงสัยเป็นอย่างยิ่งว่าสิ่งที่อยู่ในศิลาเก็บภาพนั้นจะเป็นเหตุการณ์ใดกันแน่

เยว่เว่ยหยางกำลังจะส่งศิลาในมือให้แก่แม่ทัพตวนตวน หลินเป่ยเฉินกลับพูดขึ้นเสียก่อนว่า “ช้าก่อน”

“หืม?”

แม่ทัพตวนตวนหันมามองหน้าเขา

ทุกคนหันมามองหน้าหลินเป่ยเฉิน

เฉาพั่วเถียนพูดว่า “เป็นอย่างไร? อยากยอมรับสารภาพผิดแล้วล่ะสิ? หรือว่าเจ้ากลัว?”

หลินเป่ยเฉินพูดเสียงเรียบ “เมื่อได้ดูภาพเหตุการณ์ทั้งหมด ข้าก็ไม่จำเป็นที่ต้องพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเองอีก เพียงแต่ข้าจะอนุญาตให้ท่านแม่ทัพตวน ท่านเจ้าเมืองหลิง และท่านนักพรตหญิงชิน เป็นผู้ที่ได้รับชมภาพจากศิลาทั้งหมดเท่านั้น ข้าเชื่อว่าเพียงสามท่านนี้ก็สามารถยืนยันได้แล้วว่า ข้าเป็นผู้บริสุทธิ์หรือไม่ ส่วนคนอื่นๆ นั้น… พวกท่านเจ้าเล่ห์มากเหลี่ยมเกินไป โดยเฉพาะกับบางคน ที่ยังไม่มีหลักฐานอันใด ก็เที่ยวเห่าไม่หยุดเสียแล้ว”

“เจ้าหมายถึงใครกันแน่?” เฉาพั่วเถียนชักสีหน้าด้วยความเดือดดาล เพราะรู้ดีว่าหลินเป่ยเฉินกำลังหมายถึงตนเอง

“ข้าก็แค่พูดเปรียบเปรย” หลินเป่ยเฉินทำปากจุ๊ๆ “เจ้าไม่ต้องร้อนตัวสิ”

“ยังพอมีเวลาอยู่ เจ้าคิดดีแล้วหรือที่จะไม่เปลี่ยนใจ?” เฉาพั่วเถียนแสยะยิ้ม

หลินเป่ยเฉินตอบว่า “เดี๋ยวนะ นี่เจ้าคิดว่าท่านแม่ทัพตวน ท่านเจ้าเมืองหลิงและท่านนักพรตหญิงชิน ยังสูงส่งไม่มากพอที่จะตัดสินเรื่องราวนี้ได้อีกหรือ?”

เฉาพั่วเถียนพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว

“ตกลง พวกเราจะทำตามคำร้องขอของหลินเป่ยเฉิน” ตวนตวนพยักหน้าเห็นด้วยและกล่าวต่อ “พวกข้าสามคนจะเป็นตัวแทนเข้าไปดูภาพเหตุการณ์ทั้งหมดเอง”

หลิงจุนเซวียนขยับเข้ามาปรากฏกายยืนอยู่ข้างตัวหลินเป่ยเฉินตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบ ก่อนพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ฮ่าฮ่าฮ่า หลินเป่ยเฉิน รู้ตัวหรือไม่ว่าเจ้าเป็นบุคคลสำคัญเสียจริง พวกข้าต้องทำตามคำสั่งเจ้าแล้วหรือนี่”

ในความรู้สึกจากใจจริงนั้น หลิงจุนเซวียนสงสารเด็กหนุ่มเป็นอย่างยิ่ง เสียดายที่เขาช่วยเหลืออะไรไม่ได้เลย

นักพรตหญิงชินพยักหน้าด้วยความหนักแน่น “ตกลงตามนั้น”

แล้วสองบุรุษ หนึ่งสตรี ซึ่งเป็นตัวแทนของกองทัพ ตัวแทนของขุนนางชั้นผู้ใหญ่ และตัวแทนจากวิหารเทพกระบี่ ซึ่งนับได้ว่าเป็น 3 สถาบันหลักของจักรวรรดิเป่ยไห่ ก็พากันเดินหายลับเข้าไปในกระโจมพร้อมกับหลินเป่ยเฉิน และต่อให้คนอื่นๆ จะรู้สึกไม่พอใจ แต่พวกเขาก็ทำอะไรไม่ได้อีกแล้ว

ผ่านไปชั่ว 1 ก้านธูป

ทุกคนก็เดินกลับออกมาจากกระโจม

ดวงตาของเฉาพั่วเถียนจ้องมองไปยังใบหน้าที่ไร้อารมณ์ของผู้ใหญ่ทั้งสามคน

ในเวลาเดียวกันนี้ ไป๋ไห่ชินก็พยายามอ่านสีหน้าของพวกเขาอยู่เช่นกัน

เขาไม่เชื่อว่าหลินเป่ยเฉินจะบันทึกภาพเหตุการณ์ไว้ทั้งหมดจริงๆ

คนปกติที่ไหนกันยามไล่ล่ามือสังหาร จะบันทึกภาพเหตุการณ์เอาไว้ด้วย?

แต่อย่างไรก็ตาม…

“ภาพเหตุการณ์ทุกอย่างที่อยู่ในศิลาเก็บภาพเป็นของจริง มันเป็นหลักฐานที่พิสูจน์ว่า หลินเป่ยเฉินไม่เกี่ยวข้องกับการออกอาละวาดของปีศาจในครั้งนี้”

ตวนตวนเป็นผู้ประกาศคำตัดสิน

หลิงจุนเซวียนพยักหน้าสนับสนุน “หลินเป่ยเฉินเป็นผู้บริสุทธิ์”

นักพรตหญิงชินถือศิลาฉายภาพอยู่ในมือ ขณะกล่าวว่า “ข้าจะเก็บหลักฐานชิ้นนี้ไว้ที่วิหารเทพกระบี่ เพราะมันอาจจะเป็นหลักฐานที่ต้องใช้ในการไต่สวนคดีในอนาคต ส่วนขณะนี้ ให้ถือว่าหลินเป่ยเฉินเป็นผู้บริสุทธิ์ และสามารถเข้ารับการแข่งขันค้นหาผู้มีพรสวรรค์ประจำเมืองได้ต่อไป”

เกิดเสียงฮือฮาออกมาจากกลุ่มคนที่ยืนอยู่รอบกาย…

คำตัดสินนี้แปลกประหลาดเกินกว่าที่พวกเขาคิดเอาไว้มาก

แน่นอนว่าทุกคนยังคงสงสัยในตัวหลินเป่ยเฉิน

เฉาพั่วเถียนโกรธแค้นและร้อนรน

เขาเข้าใจว่าตนเองพบโอกาสเล่นงานหลินเป่ยเฉินแล้วแท้ๆ แต่เหตุไฉนหลินเป่ยเฉินถึงสามารถหลุดรอดไปได้อีก?

เฉาพั่วเถียนอยากจะโต้แย้ง แต่ปัญหาก็คือเขาไม่รู้ว่าภาพเหตุการณ์ที่อยู่ในศิลามันคือเหตุการณ์ใดบ้าง ดังนั้น เฉาพั่วเถียนจึงไม่รู้ว่าควรเริ่มต้นที่ตรงไหน

ในเวลาเดียวกันนี้ เฉาพั่วเถียนถึงได้เข้าใจว่าการที่หลินเป่ยเฉินอนุญาตให้พวกของแม่ทัพตวนตวนแค่สามคนได้รับชมเหตุการณ์ทั้งหมด …คือสิ่งที่ชาญฉลาดมากแค่ไหน

ไป๋ไห่ชินได้แต่เก็บซ่อนความโกรธแค้นเอาไว้ในใจ

ไม่น่าเชื่อเลยว่าเหตุการณ์ดำเนินมาถึงจุดนี้ แต่พวกเขาก็ยังจัดการหลินเป่ยเฉินไม่ได้ นับว่าลูกศิษย์ของติงซานฉือมีความร้ายกาจเกินกว่าที่คิดจริงๆ

แต่นี่มันก็เรื่องธรรมดาอยู่แล้ว

การจะทำลายชีวิตใครสักคน ไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ภายในชั่วข้ามคืน

เปรียบเสมือนการวาดภาพที่ต้องลงฝีแปรงอย่างละเอียดซับซ้อนและค่อยเป็นค่อยไป เป็นขั้นตอนที่ใช้เวลาเนิ่นนานกว่าจะได้ภาพวาดที่สวยงามสักภาพหนึ่ง

การทำลายชีวิตผู้คนก็เช่นกัน

ไม่ต่างจากการดื่มน้ำ

คนเราเมื่อดื่มน้ำก็ต้องค่อยๆ ดื่ม เพราะถ้าดื่มด้วยความรวดเร็วมากเกินไป อาจจะเกิดอาการสำลักขึ้นมาได้

เมื่อเห็นว่าอยู่ต่อไปก็ไม่เกิดประโยชน์อันใดอีก ไป๋ไห่ชินจึงหันมาพยักหน้ากับเฉาพั่วเถียนและออกคำสั่ง

“พวกเรากลับ”

เมื่ออาจารย์และลูกศิษย์จากเมืองไป๋หยุนถอนตัวกลับไป คนที่เหลือก็เริ่มแยกย้ายสลายตัว

หลิงจุนเซวียนพยักหน้าให้แก่หลินเป่ยเฉินอีกครั้ง ก่อนจะหมุนตัวเดินจากไป

ส่วนหลิงฉือไม่รู้เลยว่ากลับไปตั้งแต่ตอนไหน

มีเพียงหลิงอู๋คนเดียวที่เดินเข้ามาทักทายและตบหลังตบไหล่หลินเป่ยเฉิน ชายหนุ่มมีสีหน้าเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็เปลี่ยนใจ หมุนตัวจากไปตามบิดาและพี่ชาย

“พวกเราถอนกำลัง” ตวนตวนไม่พูดอะไรมาก ออกคำสั่งนำกำลังพลของตนเองกลับฐานบัญชาการ

เช่นเดียวกับนักพรตหญิงชินและเยว่เว่ยหยาง

หน่วยมือปราบก็ไม่อยู่แล้วเช่นกัน เพราะพวกเขาเก็บกวาดซากศพเรียบร้อยแล้ว

ฉู่เหินเดินเข้ามาตบไหล่หลินเป่ยเฉินในที่สุด และพูดด้วยน้ำเสียงที่แสดงออกถึงความตื่นกลัว “โชคดีเหลือเกินนะเจ้าหนูที่เจ้าบันทึกภาพเหตุการณ์ทั้งหมดเอาไว้ มิเช่นนั้นแล้ว เหตุการณ์ในค่ำคืนนี้คงยากต่อการคลี่คลายที่สุด”

พลัน หลิงไท่ซวีเดินเข้ามาตบศีรษะของหลินเป่ยเฉินอย่างไม่มีสัญญาณเตือน “เจ้าเด็กพ่อแม่ไม่สั่งสอน ใครใช้ให้เจ้าทำตัวเหลวไหลถึงเพียงนี้? คิดดูสิว่าแม้แต่พวกปีศาจก็ยังอยากใส่ความเจ้าเลย มันเป็นไปได้อย่างไรกัน?”

หลินเป่ยเฉินยกมือลูบหัวตัวเองด้วยความเจ็บปวด และพูดสวนกลับไปอย่างขุ่นเคืองใจ “เรื่องนั้นข้าจะไปรู้ได้อย่างไรล่ะขอรับ?…บางทีข้าอาจจะหล่อเหลามากเกินไป จนพวกมันนึกอิจฉาก็ได้”

เขาไม่ได้พูดในเรื่องที่สงสัยเฉาพั่วเถียน

“หากอาจารย์ใหญ่เป็นเจ้านะ อาจารย์จะไม่แสดงหลักฐานออกมาในคืนนี้หรอก แต่อาจารย์จะยอมถูกขังคุกอยู่สักคืนสองคืนเพื่อบ่มเพาะความแค้น ก่อนจะแสดงหลักฐานออกมาฉีกหน้าพวกคนที่พยายามใส่ร้ายเจ้าให้หมด เมื่อถึงตอนนั้น คิดดูสิว่าเจ้าจะสะใจมากแค่ไหน…แต่เจ้ากลับรีบร้อนแสดงหลักฐาน นั่นทำให้เห็นว่าเจ้ายังเด็กเกินไปนัก”

หลิงไท่ซวีถอนหายใจใส่หน้าเด็กหนุ่มด้วยความเบื่อหน่าย

หลินเป่ยเฉินบ่นอุบอิบว่า “แต่ข้าน้อยยังต้องเข้าแข่งขันต่อนะขอรับ”

“อ้าว สรุปว่าเจ้าเข้ารอบสิบคนสุดท้ายด้วยหรือนี่?”

หลิงไท่ซวีอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ

หลินเป่ยเฉินกับฉู่เหินได้แต่ยกมือกุมหน้าตัวเอง

หลิงไท่ซวีเป็นอาจารย์ใหญ่ของพวกเขาจริงๆ หรือเปล่าเนี่ย?

เรื่องสำคัญเช่นนี้ไม่รู้ได้อย่างไร?

หลิงไท่ซวีได้แต่บ่นพึมพำกับตนเอง ก็หมุนตัวเดินจากไปหน้าตาเฉย

มีเพียงฉู่เหินคนเดียวเท่านั้นที่นำตัวหลินเป่ยเฉินกลับมาส่งยังสถานศึกษากระบี่ที่สาม

“นักฆ่าไร้หน้าพวกนี้เป็นองค์กรมือสังหารที่น่ากลัวที่สุดของจักรวรรดิเรา พวกมันมีสาขาอยู่ตาม 9 มณฑลใหญ่ ลงมือสังหารผู้คนแม้แต่ในเมืองที่เล็กที่สุด ทางจักรวรรดิพยายามจะกวาดล้างพวกมันมานานแล้ว แต่ก็ล้มเหลวมาตลอด ขณะนี้ พวกมันสังหารเจ้าไม่สำเร็จ คาดการณ์ได้ว่าในอนาคต เดี๋ยวก็ต้องมีคนถูกส่งมาสังหารเจ้าอีก”

ฉู่เหินอธิบาย

หลินเป่ยเฉินรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาเล็กน้อย

ให้ตายสิ

แบบนี้มันน่ากลัวเกินไปแล้วนะ

ยิ่งคิดถึงนักฆ่าไร้ใบหน้าพวกนั้น เด็กหนุ่มก็รู้สึกขนลุกเกรียวขึ้นมาโดยไม่มีเหตุผล

อากาศยามดึกช่างหนาวเหน็บ

บนหลังคาของตึกหลังหนึ่ง ร่างที่มีผมสีเขียวจ้องมองหลินเป่ยเฉินกับฉู่เหินเดินจากไป หลังจากนั้น เขาก็โคจรพลังลมปราณอย่างแช่มช้า และพลิ้วกายหายไปในความมืดมิดยามราตรี

วันต่อมา

แสงแดดสดใส

วันนี้เป็นวันพักการแข่งขัน ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่หาได้ยากยิ่ง ดูเหมือนว่าเหตุฆาตกรรมที่เกิดขึ้นและการที่มีปีศาจออกอาละวาดในตัวเมือง จะส่งผลให้การแข่งขันต้องล่าช้าลงไปกว่ากำหนด

“นายน้อยขอรับ ในเมืองมีข่าวลือไม่ดีเกี่ยวกับนายน้อยเลยขอรับ” หวังจงเดินเข้ามารายงานเด็กหนุ่มตั้งแต่เช้าตรู่ “มีคนแอบไปปล่อยข่าวว่านายน้อยอาจจะเป็นสาวกปีศาจ…”

หลินเป่ยเฉินพูดว่า “ช่างมันเถอะ มีตัวแทนจากกองทัพ จากจวนผู้ว่าและจากวิหารเทพกระบี่ ยืนยันให้ข้าแล้วว่าเรื่องนั้นไม่เกี่ยวข้องกับข้าเลย เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง”

หวังจงกล่าวต่อไปว่า “แต่ชาวเมืองกำลังมองนายน้อยในแง่ร้าย ข้าจำเป็นต้องขจัดข้อสงสัยของพวกเขาให้หมดไป มิเช่นนั้นแล้ว ตอนแข่งศึกชิงธง นายน้อยอาจจะมีคนเกลียดชังอีกก็ได้…”

หลินเป่ยเฉินตอบกลับเหมือนไม่ใส่ใจสักเท่าไหร่ “มีคนเกลียดข้าบ้างก็ดีแล้วล่ะ นั่นแสดงให้เห็นว่าข้ายังคงมีความโด่งดังอยู่ไม่เปลี่ยนแปลง ตราบใดที่ข้ายังเป็นคนดัง ก็ยังคงมีโฆษณาไหลมาเทมา อุ๊วะฮ่าฮ่าฮ่า…ตกลงว่าไม่มีใครมาขอสมัครเข้าร่วมกลุ่มกับข้าเลยใช่ไหม ก็ดีเหมือนกัน เพราะว่าข้าไม่ได้ตั้งใจเลือกคนอื่นตั้งแต่แรกอยู่แล้ว”

หลังรับประทานอาหารเช้าเสร็จ หลินเป่ยเฉินก็ร่ำลาหวังจง เดินทางออกไปพบมี่หรู่หยานตามที่ได้นัดหมายเอาไว้

ถึงเวลาแล้วที่เขาต้องให้คำตอบแก่นาง

ไม่ว่ามี่หรู่หยานจะเปลี่ยนใจหรือไม่ หลินเป่ยเฉินก็ต้องบอกให้นางรู้ด้วยตนเอง