บทที่ 273 คลิปวิดีโอ

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

บทที่ 273 คลิปวิดีโอ

“เจ้าจะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเองได้อย่างไร?”

แม่ทัพตวนตวนมองหน้าหลินเป่ยเฉินไม่ละสายตา “พูดแล้วย่อมคืนคำไม่ได้ จงแสดงหลักฐานของเจ้าออกมาเดี๋ยวนี้”

หลินเป่ยเฉินตอบว่า “โชคดีที่เหตุการณ์ทั้งหมดในค่ำคืนนี้ ข้าน้อยบันทึกเอาไว้ในศิลาเก็บภาพขอรับ ถ้าเราสร้างค่ายอาคมฉายภาพ มันก็จะสามารถดึงภาพที่อยู่ในศิลาออกมาให้เห็นได้ตั้งแต่ต้นจนจบ และนั่นก็คือหลักฐานที่จะช่วยทำให้ข้าน้อยพ้นมลทินขอรับ”

ศิลาเก็บภาพอย่างนั้นหรือ?

หลินเป่ยเฉินไม่รู้เหมือนกันว่าของสิ่งนี้มันมีอยู่จริงหรือเปล่า แต่เขาก็ลองพูดมั่วๆ ออกไปก่อน

ปรากฏว่าสิ่งที่เรียกว่าศิลาเก็บภาพมีอยู่จริงๆ ด้วย

“เจ้าพูดจริงหรือ?” ฉู่เหินถามออกมาด้วยความดีใจ “อย่าบอกนะว่าเจ้าบันทึกภาพทั้งหมดเอาไว้?”

คณะอาจารย์จากสถานศึกษากระบี่ที่สามพากันถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก

เฉาพั่วเถียนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เมื่อเห็นสายตาของไป๋ไห่ชิน ก็จำเป็นต้องกล้ำกลืนคำพูดลงคอไป

“ข้าน้อยอยากได้ที่สงบๆ สำหรับสร้างค่ายอาคมฉายภาพขอรับ ไม่ทราบว่าจะพอรบกวนแม่ทัพตวนช่วยจัดการให้ข้าน้อยได้หรือไม่?”

หลินเป่ยเฉินพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนน้อม

เขารู้สึกได้ว่าแม่ทัพใหญ่ของหน่วยนักรบเมฆาค่อนข้างจะเอ็นดูเขาอยู่ไม่น้อย

“หึหึ เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าจะไม่คิดหาโอกาสหลบหนี?”

เฉาพั่วเถียนอดไม่ได้ต้องตะโกนออกมาอีกครั้ง

ตวนตวนหันขวับไปกล่าวว่า “เพราะเหตุใดอัจฉริยะจากเมืองไป๋หยุนถึงได้ร้อนรนเช่นนี้เล่า ในเมื่อหน่วยนักรบเมฆายังไม่ทันได้พูดอะไรด้วยซ้ำ?”

เฉาพั่วเถียนคลี่ยิ้มเย็นชา

บอกตามตรง เขาไม่ได้เห็นแม่ทัพใหญ่ของหน่วยนักรบเมฆาผู้นี้อยู่ในสายตาแม้แต่น้อย และเฉาพั่วเถียนก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าทำไมอาจารย์ถึงต้องยอมก้มหัวให้กับชายวัยกลางคนผู้นี้ด้วย

“ในเมื่อเจ้าใช้ศิลาเก็บภาพบันทึกเหตุการณ์ทั้งหมดเอาไว้ งั้นข้าก็จะสั่งให้ลูกน้องตั้งกระโจมขึ้นมา ให้เจ้าได้สร้างค่ายอาคมสำหรับการฉายภาพก็แล้วกัน”

นอกจากเฉาพั่วเถียนแล้ว มีใครบ้างที่กล้าไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของตวนตวน ในไม่ช้า กระโจมที่พักสำหรับการฉายภาพก็ถูกจัดตั้งขึ้น

“ข้าขอเสนอให้มีคนติดตามเข้าไปเฝ้าดูเขาในกระโจมอย่างเข้มงวด มิเช่นนั้นแล้ว เราไม่อาจรู้ได้เลยว่าเขาจะทำอะไรภายในนั้นบ้าง”

เฉาพั่วเถียนตะโกนเสียงดังอีกครั้ง

ตราบใดที่สามารถสร้างความลำบากให้แก่หลินเป่ยเฉินได้อีกสักเล็กน้อย เฉาพั่วเถียนก็จะไม่ปล่อยให้โอกาสนั้นหลุดลอยไปเด็ดขาด

“ข้าจะเป็นคนเข้าไปยืนเฝ้าเอง”

หูอู๋อวี่ ผู้เป็นอาจารย์ใหญ่ของสถานศึกษากระบี่ที่หกว่า

ชิวเทียนหัวเราะเยาะและพูด “ข้าก็เช่นกัน พวกคนจากสถานศึกษากระบี่ที่สามไว้ใจไม่ได้อยู่แล้ว พวกเขาชอบเล่นสกปรก เราจะปล่อยให้พวกเขาคลาดสายตาไม่ได้เด็ดขาด”

ฉู่เหินยิ้มมุมปาก เหยียดหยามกลับไปว่า “พวกเราเนี่ยนะชอบเล่นสกปรก? ฮ่าฮ่า ช่างน่าตลกเหลือเกิน ทุกคนรู้ดีว่าเฉาพั่วเถียนกับหลินเป่ยเฉินกำลังเดิมพันชีวิตกันอยู่ แต่มีแค่หลินเป่ยเฉินเท่านั้นที่โดนเล่นงานอยู่เพียงฝ่ายเดียว มันเป็นไปได้อย่างไรกันหนอ?”

หูอู๋อวี่ได้ยินคำนั้นก็ใบหน้าร้อนผ่าว “ข้าขอใช้เกียรติเป็นเดิมพันว่าสถาบันของข้า…”

ชายชราพูดยังไม่ทันจบ ก็มีน้ำเสียงที่อ่อนหวานดังขึ้นว่า

“เดี๋ยวข้าจะเข้าไปอยู่ด้านในกับเขาเอง”

ไม่ทราบเลยว่าเยว่เว่ยหยางปรากฏตัวขึ้นมาตั้งแต่ตอนไหน หลังจากประสานมือคำนับนักพรตหญิงชินผู้เป็นอาจารย์แล้ว เด็กสาวก็เดินออกมาอย่างแช่มช้าและพูดว่า “ข้าเป็นนักบวชจากวิหารเทพ มีความซื่อสัตย์และตรงไปตรงมา ไม่มีใครจะเหมาะสมกับหน้าที่นี้มากไปกว่าข้าอีกแล้ว”

เฉาพั่วเถียนหันมามองค้อนเยว่เว่ยหยาง พูดออกมาโดยไม่รู้ตัวว่า “เจ้ากับเขาแข่งขันด้วยกัน ถือเป็นคู่แข่งโดยตรงกับข้า ใครจะรู้เลยว่า…”

เพี๊ยะ

ไป๋ไห่ชินยกมือขึ้นตบหน้าเฉาพั่วเถียนเสียงดังถนัดหู “หุบปากเสียที เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงพูดจาเหลวไหลอยู่เรื่อย?”

ก่อนหน้านี้ เฉาพั่วเถียนก็ประพฤติตัวไม่แสดงความเคารพต่อหน่วยนักรบเมฆา มาบัดนี้ เขาก็ยังทำตัวเป็นศัตรูกับคนจากวิหารเทพกระบี่อีก

ในค่ำคืนนี้ เฉาพั่วเถียนทำในสิ่งที่ไม่สมควรทำออกมาทั้งนั้น

นักพรตหญิงชินกวาดตามองเฉาพั่วเถียนตั้งแต่หัวจรดเท้า แล้วกล่าวว่า “เจ้าช่างเป็นเด็กหนุ่มที่มีจิตใจคับแคบ พูดจาปากไม่มีหูรูด น่าอับอายขายหน้าแทนเมืองไป๋หยุนยิ่งนัก”

นักพรตหญิงผู้งดงามดุจดั่งเทพธิดาจากสรวงสวรรค์ ยืนนิ่งอยู่ในความเงียบสงบตลอดเวลา ทว่าในยามที่นางกล่าวออกมาแต่ละคำ ทุกผู้คนล้วนต้องรับฟังอย่างตั้งใจ

เฉาพั่วเถียนหันหน้าไปมองนักพรตหญิงชิน และรู้สึกหนักอึ้งเหมือนกับมีภูเขาใหญ่ยักษ์กดทับลงมาเหนือศีรษะ ทำให้รู้สึกอยากจะคุกเข่าลงเสียตรงนั้น

แต่โชคดีที่เมื่อไป๋ไห่ชินวางมือลงบนหัวไหล่ของเขา พลังกดดันทั้งหมดที่เล่นงานเฉาพั่วเถียนก็สลายหายไปอย่างช้าๆ

“เขายังเป็นเพียงเด็กน้อยไม่รู้ความ ข้ารับปากว่าจะสั่งสอนเขาให้ดีกว่านี้ ท่านนักพรตหญิงชินอย่าได้สนใจเขาเลย” ดวงตาของไป๋ไห่ชินเป็นประกายแวววาวด้วยความขุ่นเคืองใจ

นักพรตหญิงชินไม่พูดอะไรอีก แต่หันไปพยักหน้าให้แก่เยว่เว่ยหยาง

แล้วทุกคนก็ไม่สามารถปฏิเสธได้อีก

เยว่เว่ยหยางกับหลินเป่ยเฉินเดินเข้าไปด้านในกระโจมด้วยกัน

แม่ทัพตวนตวนเดินมาส่งพวกเขาด้วยตนเอง

พวกของหลิงจุนเซวียนสามคนพ่อลูกยืนมองอยู่ห่างไกลไม่มีใครพูดอะไร ต่างก็เฝ้ารอผลลัพธ์ของการสืบสวนอย่างเงียบๆ

ด้านในกระโจม

หลินเป่ยเฉินถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก

“นักบวชเยว่ ท่านรู้วิธีสร้างค่ายอาคมฉายภาพใช่ไหม?”

เขาหันกลับมาถาม

เยว่เว่ยหยางพยักหน้าตอบว่า “ข้าเคยเรียนมาแล้ว และข้าก็มีวัตถุสำหรับการสร้างค่ายอาคมพกติดตัวมาด้วย…ว่าแต่พี่เฉิน ท่านบันทึกภาพเหตุการณ์ไว้ทั้งหมดจริงๆ หรือ?”

หลินเป่ยเฉินผงกศีรษะตอบรับว่า “ถูกต้อง หลังจากนี้คงต้องรบกวนนักบวชเยว่ช่วยสร้างค่ายอาคมให้ข้าแล้ว”

ก่อนที่จะเริ่มต้นการตามล่านักฆ่าร่างแคระออกมาจากสถานศึกษา หลินเป่ยเฉินกลัวว่าตนเองจะทำโจทก์เก่าหลุดมือไปอีก เขาจึงสั่งให้เสี่ยวจี้บันทึกคลิปวิดีโอเหตุการณ์ไว้ทั้งหมดตั้งแต่ต้น จนถึงขณะนี้ โทรศัพท์ของเขาก็ยังคงบันทึกภาพอยู่อย่างต่อเนื่อง

เมื่อสร้างค่ายอาคมเสร็จเรียบร้อย สิ่งที่หลินเป่ยเฉินต้องทำก็แค่หยิบก้อนหินธรรมดาออกมาจากกระเป๋าหนึ่งก้อน และฉายภาพออกมาจากโทรศัพท์เท่านั้น

เยว่เว่ยหยางมองไม่เห็นโทรศัพท์ของเขา จึงเข้าใจว่าหลินเป่ยเฉินมีศิลาที่สามารถฉายภาพออกมาได้จริงๆ

การสร้างค่ายอาคมดำเนินไปอย่างราบรื่น

หลังจากนั้นเพียงไม่นาน

ทุกอย่างก็เสร็จเรียบร้อย

เยว่เว่ยหยางพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นระหว่างที่เด็กหนุ่มส่งศิลาให้นางเป็นผู้ถือครองเอาไว้ “เมื่อมีศิลาฉายภาพอยู่ในมืออย่างนี้ พี่เฉินจะต้องลบข้อสงสัยและพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเองได้แน่นอน…ว่าแต่ว่า พี่เฉินเจ้าคะ ข้ามีบางอย่างอยากจะสารภาพกับท่าน”

หลินเป่ยเฉินชะงักไปเล็กน้อย

เอาจริงดิ?

จะมาสารภาพเรื่องอะไรวะ?

หรือว่ายัยนักบวชนี่เคยแอบดูเขาอาบน้ำ?

นางจะโรคจิตขนาดนั้นเลยหรือไง?

ตอนนั้นเอง เยว่เว่ยหยางก็กล่าวต่อว่า “การที่หลิงเฉินยอมตกรอบและหลุดจาก 10 อันดับแรกของการแข่งขันในครั้งนี้ เดิมทีนางตั้งใจจะเข้าร่วมกลุ่มกับท่านในรอบชิงธง แต่ด้วยเหตุผลบางประการ ข้ายื่นข้อเสนอบางอย่างให้กับนาง ส่งผลให้ในขณะนี้ นางจึงล้มเลิกแผนการเดิมไปแล้ว และนางก็จะไม่เข้าร่วมกลุ่มของท่านอีก”

นั่นไง

ที่แท้ก็เป็นเรื่องนี้นี่เอง

หลินเป่ยเฉินเบิกตาโตด้วยความไม่อยากเชื่อ

หืม?

แต่ทำไมเขาถึงรู้สึกว่ามันต้องมีอะไรมากไปกว่านั้น

หลิงเฉินมีนิสัยใจคอเช่นไร ทำไมเขาจะไม่รู้ นางไม่เคยยอมแพ้อะไรง่ายๆ โดยเฉพาะการแข่งขันกับเยว่เว่ยหยาง เรียกได้ว่าอยู่ร่วมกันไม่ได้ยิ่งกว่าน้ำกับไฟ แต่อยู่ดีๆ หลิงเฉินกลับยอมรับข้อเสนอของเยว่เว่ยหยางที่จะไม่เข้าร่วมกลุ่มกับเขาเนี่ยนะ…

หรือว่าพวกนางตกลงกันเป็นที่เรียบร้อยแล้วว่าจะแบ่งสันปันส่วนร่างกายของเขาอย่างไรดี?

หลินเป่ยเฉินรู้สึกเสียวสันหลังวาบขึ้นมาอีกครั้ง

“พี่เฉิน ข้ารู้ดีว่าเรื่องนี้คงส่งผลกระทบต่อแผนการของท่านอย่างใหญ่หลวง แต่โปรดเชื่อเถิดว่าทั้งหมดที่ข้าทำลงไป ก็เพื่อผลดีต่อตัวท่านเอง…”

เยว่เว่ยหยางจ้องมองหลินเป่ยเฉินในความเงียบงัน รู้สึกร้อนรุ่มที่หัวใจ

หลินเป่ยเฉินยิ้มออกมา ก่อนพูดว่า “ไม่เป็นไรหรอก แผนการเดิมของข้าก็ไม่ได้มีหลิงเฉินอยู่ในนั้นตั้งแต่แรกแล้ว เพราะข้าสัญญากับท่านเจ้าเมืองเอาไว้ ว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับนางอีก”

เยว่เว่ยหยางมองใบหน้าที่เปื้อนรอยยิ้มจริงใจของหลินเป่ยเฉินด้วยความตกตะลึง

นางคิดว่าเขาจะระเบิดเสียงคำรามใส่นางเสียอีก

คืนนี้ นางตั้งใจจะใช้เรื่องของลูกดอกเหล็กมิธริลเป็นข้ออ้างมาพูดคุยกับเขาในเรื่องของหลิงเฉิน และจากข่าวลือที่ได้ยินมาอย่างต่อเนื่อง เยว่เว่ยหยางก็ทำใจไว้แล้วว่าหลินเป่ยเฉินอาจจะโกรธนางมากถึงขั้นพูดจาด่าทอ ซึ่งนักบวชสาวก็ตั้งใจว่าจะไม่แก้ตัวเลยสักคำ

แต่ที่ไหนได้ หลินเป่ยเฉินกลับไม่ว่าอะไรนางเลย

ทำไมเขาถึงได้สุภาพอ่อนโยนกระไรปานนั้น

ทำไมเขาถึงได้อบอุ่นกระไรปานนั้น

เยว่เว่ยหยางยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกหลงใหลเด็กหนุ่มมากขึ้น

กว่าที่นักบวชสาวจะกลับมาได้สติอีกครั้ง ก็เป็นตอนที่หลินเป่ยเฉินบอกว่าพวกเขาควรออกไปข้างนอกได้แล้ว นางจึงรีบคว้าแขนของหลินเป่ยเฉินเอาไว้ และดึงเขามาพูดคุยเกี่ยวกับลูกดอกเหล็กมิธริลลึกลับดอกนั้น

“เป็นไปได้อย่างไรกัน?”

หลังจากรับฟังจบ หลินเป่ยเฉินก็อุทานออกมาด้วยความไม่อยากเชื่อ นับตั้งแต่ที่ฟางเจิ้นหรู่ถูกฆาตกรรม ก็ดูเหมือนว่าจะมีคนพยายามเล่นงานเขาอย่างต่อเนื่องไม่ได้หยุด

แล้วทำไมปีศาจตนนั้นต้องมาสิงนักฆ่าร่างแคระผู้นี้ด้วย?

เฉาพั่วเถียนเคยยอมรับว่าเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังการลอบสังหารในหุบเขาชายแดนเหนือ

แล้วในเหตุการณ์คืนนี้ เฉาพั่วเถียนจะเกี่ยวข้องด้วยหรือเปล่า?

ยิ่งไปกว่านั้น นักฆ่าร่างแคระกับเฉาพั่วเถียนจะต้องรู้จักกันอย่างแน่นอน

หลินเป่ยเฉินคิดทุกอย่างแต่ไม่ได้พูดออกมา

เพราะพูดออกไปก็คงไม่มีใครเชื่อ

คนอื่นจะกล่าวหาว่าเขาเป็นพวกจิตใจคับแคบและใช้โอกาสนี้ใส่ร้ายป้ายสีศัตรูของตนเอง

และมันอาจจะทำให้หลินเป่ยเฉินตกอยู่ในอันตรายมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ

หลังจากขบคิดอยู่พักใหญ่ ในที่สุด หลินเป่ยเฉินก็หันไปยิ้มแย้มให้เยว่เว่ยหยางอีกครั้ง “ต้องขอบคุณนักบวชเยว่มากแล้ว ข้าจะคอยระวังตัว”

แล้วพวกเขาทั้งสองคนก็เดินออกมาจากกระโจม

ดวงตาของทุกคนจ้องมองมาที่หลินเป่ยเฉินเป็นหนึ่งเดียว

“รวดเร็วเสียจริง อย่าบอกนะว่าเจ้ายินดีที่จะสารภาพ?”

ชิวเทียนระเบิดเสียงหัวเราะหยามหยัน

เฉาพั่วเถียนประสานเสียงต่อเนื่องว่า “ข้าขอแนะนำให้เจ้ารับสารภาพเสียดีกว่า โทษหนักจะได้กลายเป็นเบา หลินเป่ยเฉิน ที่เจ้าเดินกลับออกมารวดเร็วขนาดนี้ เป็นเพราะว่าเจ้าไม่ได้มีศิลาเก็บภาพอะไรนั่นอยู่ตั้งแต่แรกแล้วใช่ไหม? เจ้าจึงไม่รู้ว่าจะแก้ตัวอย่างไรอีก?”

หลินเป่ยเฉินหัวเราะในลำคอ

เยว่เว่ยหยางหยิบศิลาก้อนหนึ่งออกมาถือในมือและพูดว่า “ภาพเหตุการณ์ทั้งหมดถูกบันทึกอยู่ในนี้ ค่ายอาคมฉายภาพถูกสร้างเรียบร้อยแล้ว ข้ากล้ารับปากได้เลยว่าหลินเป่ยเฉินเป็นผู้บริสุทธิ์”

หืม?

ความไม่พอใจปรากฏขึ้นในแววตาของไป๋ไห่ชินทันที