บทที่ 272 ข้ามีหลักฐาน
เฉาพั่วเถียนกล่าวหาเช่นนี้มีหลักฐานหรือไม่?
แน่นอนว่าเขาไม่มี
เฉาพั่วเถียนไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรด้วยเลย
แต่ที่พูดออกมานั้น ก็เพราะเห็นว่านี่เป็นโอกาสสำคัญในการใช้ประโยชน์ เฉาพั่วเถียนไม่มีทางปล่อยให้หลินเป่ยเฉินหลุดรอดข้อกล่าวหาไปได้อย่างง่ายดายเด็ดขาด
หนทางสู่ชัยชนะที่ปลอดภัยที่สุดก็คือเขาต้องฆ่าหลินเป่ยเฉินทิ้งให้ได้ โดยที่ยังไม่ต้องเริ่มต่อสู้กัน
นี่จึงเป็นเหตุผลที่เฉาพั่วเถียนพูดประโยคเหล่านี้ออกมา
“หุบปาก”
ไป๋ไห่ชินคำรามด้วยความหงุดหงิดใจ “นี่คือเหตุการณ์ใหญ่ ท่านเจ้าเมืองกับผู้บังคับบัญชาของหน่วยนักรบเมฆากำลังสืบสวนอยู่ เจ้ากล้าดีอย่างไรพูดแทรกพวกเขา? รีบไสหัวไปเดี๋ยวนี้”
“อาจารย์ขอรับ ศิษย์…”
เฉาพั่วเถียนไม่เข้าใจว่าทำไมอาจารย์ต้องไม่พอใจเขาด้วย
“ยังไม่ไปอีก?”
ไป๋ไห่ชินชักสีหน้าแสดงความฉุนเฉียวชัดเจน
เฉาพั่วเถียนไม่กล้าพูดอะไรอีก รีบถอยกายไปยืนอยู่ด้านหลังเงียบๆ
ไป๋ไห่ชินหันไปประสานมือคำนับชายวัยกลางคนในชุดเกราะเหล็ก “ใต้เท้าได้โปรดเห็นใจ เด็กน้อยผู้นี้ยังไม่รู้ความ เห็นแก่หน้าข้า ท่านอย่าถือสาหาความเขาจะได้หรือไม่?”
ชายวัยกลางคนในชุดเกราะเหล็กมีนามว่าแม่ทัพตวนตวน เป็นผู้บัญชาการระดับสูงของหน่วยนักรบเมฆา
ระบบทางทหารของจักรวรรดิเป่ยไห่มีความแตกต่างจากอาณาจักรอื่นอยู่เล็กน้อย จากระดับล่างสุดถึงระดับสูงสุดจะประกอบไปด้วย หน่วยทหารลาดตระเวน ถัดขึ้นมาก็เป็นหน่วยคุ้มกันภัย หลังจากนั้นก็จะเป็นกองพันหน่วยรบ มากกว่านั้นก็คือคณะรักษาความสงบ ปิดท้ายด้วยการรวมตัวเป็นกองทัพ
กล่าวให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ นายทหารสิบคนจะรวมเป็นหน่วยลาดตระเวนหนึ่งหน่วย หน่วยลาดตระเวนสิบหน่วยจะรวมเป็นหน่วยคุ้มกันภัยหนึ่งหน่วย หน่วยคุ้มกันภัยสิบหน่วย จะกลายเป็นกองพันหน่วยรบหนึ่งกองพัน และกองพันหน่วยรบสิบกองพัน จะรวมเป็นหนึ่งกองทัพใหญ่ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น จำนวนผู้คนก็ไม่จำเป็นต้องมีสมาชิกตายตัวเสมอไป
หยุนเมิ่งคือเมืองที่อยู่ชายทะเล รายล้อมไปด้วยชนบทกว้างใหญ่ ไม่มีเหตุผลที่จะต้องนำกำลังทหารมากมายมารักษาการอยู่ที่นี่
แต่เนื่องจากนี่เป็นเมืองที่อยู่ติดกับท่าเรือสำคัญของจักรวรรดิ ทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวรรดิเป่ยไห่ต้องถูกส่งผ่านท่าเรือนี้ทั้งสิ้น ด้วยเหตุนั้น ทางวังหลวงจึงได้ส่งกำลังทหารมาคอยดูแลความปลอดภัยท่าเรือเป็นจำนวนมาก
และส่วนใหญ่นายทหารเหล่านี้ ก็คือหน่วยรบชั้นแนวหน้าที่ผ่านศึกสงคราม ณ เขตชายแดนมาแล้วโชกโชน
ไป๋ไห่ชินกล่าวต่อไปด้วยน้ำเสียงสุภาพ
“แต่ในเมื่อเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับพวกปีศาจ หลินเป่ยเฉินสมควรแล้วที่จะต้องถูกสืบสวน”
ไป๋ไห่ชินมีลักษณะท่าทีเหมือนคนที่ทำตัวเป็นกลาง ไม่เข้าข้างฝ่ายใด
แต่เขาพูดในสิ่งที่ทุกคนรู้ดีอยู่แล้ว
บัดนี้ หลินเป่ยเฉินตกเป็นผู้ต้องสงสัยหลัก ก่อนที่เฉาพั่วเถียนจะพูดอะไรออกมาเสียอีก
แต่เมื่อเฉาพั่วเถียนย้ำเตือนถึงความน่าสงสัยทุกประการ โดยที่มีจอมยุทธ์คนสำคัญของเมืองมารวมตัวกันอยู่มากมาย นั่นก็เท่ากับเป็นการปั่นป่วนให้สถานการณ์ของหลินเป่ยเฉินยากลำบากมากขึ้น
“ฮ่าฮ่า ท่านแม่ทัพตวน ข้าคิดว่าคุณชายเฉากล่าวถูกต้องแล้ว หลินเป่ยเฉินมีความน่าสงสัยเกินไปจริงๆ เราจะปล่อยเขาไปไม่ได้เด็ดขาด”
ชายวัยกลางคนในชุดสีแดงคนหนึ่งพูด
เขามีใบหน้าที่ราบเรียบธรรมดา ไม่โดดเด่นสะดุดตาผู้ใด สิ่งเดียวที่น่าสนใจก็คือคิ้วหนาบนหน้าผากเชื่อมต่อกันเป็นเส้นเดียว ดูแปลกตาไม่ใช่น้อย
“อาจารย์หู พูดแบบนี้ท่านหมายความว่าอย่างไร?”
ฉู่เหินคำรามด้วยความไม่สบอารมณ์ “สถานศึกษากระบี่ที่หกของท่านยังไร้ยางอายไม่พออีกหรือ นอกจากรับลูกศิษย์ชั่วคราวมาเพื่อส่งตัวเข้าแข่งขันอย่างไม่ยุติธรรมแล้ว พวกท่านถึงกับกล้าใส่ความลูกศิษย์ของสถานศึกษาอื่นๆ ด้วยหรือ?”
ชายวัยกลางคนในชุดเสื้อคลุมสีแดงมีนามว่าหูอู๋อวี่ เป็นอาจารย์ระดับสูงจากสถานศึกษากระบี่ที่หก
“อาจารย์ฉู่ ข้ากำลังพูดถึงเหตุการณ์ที่มีปีศาจออกอาละวาด ไม่ได้พูดถึงการแข่งขันค้นหาผู้มีพรสวรรค์ประจำเมืองสักหน่อย” หูอู๋อวี่ตอบเสียงเรียบ “สองเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกัน อย่านำมันมารวมกันสิ”
หลิงไท่ซวีที่ไม่เคยพูดคำใดมาก่อน ยิ้มแย้มกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นตามความคิดของอาจารย์หู เรื่องนี้ควรจัดการอย่างไรดี?”
หูอู๋อวี่ตอบกลับเสียงเย็นชา “สำหรับคนที่ตกเป็นผู้ต้องสงสัยว่าจะเป็นสาวกปีศาจ เราจะปล่อยเขาไปไม่ได้ หลินเป่ยเฉินจะต้องถูกส่งตัวเข้าเรือนจำโดยทันที เขาจะต้องได้รับการสอบสวนอย่างหนัก และก่อนที่การสอบสวนจะยุติลง หลินเป่ยเฉินก็จะต้องอยู่ในสถานที่คุมขังห้ามไปไหนเด็ดขาด”
ฉู่เหินหัวเราะในลำคอ พูดด้วยน้ำเสียงเหยียดหยาม “ผายลมมารดาท่านเถอะ…เป็นเช่นนั้น แล้วเขาจะแข่งขันต่อไปได้อย่างไร?”
ชิวเทียน ชายชราร่างอ้วนกลมที่ยืนอยู่ข้างกายหูอู๋อวี่กระตุกยิ้มมุมปาก กล่าวว่า “ตนเองถูกกล่าวหาว่าเกี่ยวข้องกับปีศาจ ยังมีหน้าจะแข่งขันต่อไปอีกหรือ? นี่พวกเจ้ากำลังฝันกลางวันอยู่หรือไง? หากผู้ที่เป็นสาวกปีศาจสามารถเอาชนะการแข่งขันค้นหาผู้มีพรสวรรค์ประจำเมืองได้สำเร็จ ไม่ทราบเลยว่านี่จะเป็นเรื่องตลกที่ถูกหัวเราะไปอีกกี่สิบปี”
“หมูอ้วนตายซาก เจ้าไม่มีสิทธิ์มาพูดมากที่นี่”
ฉู่เหินพยายามระงับอารมณ์
เขาไม่อยากกวนน้ำให้ขุ่น
ยิ่งโต้เถียงกันมากเท่าไหร่ สถานการณ์ของหลินเป่ยเฉินก็ยิ่งย่ำแย่มากเท่านั้น
ในแผ่นดินตงเต้า การเป็นสาวกปีศาจคือโทษร้ายแรงถึงแก่ชีวิต ต่อให้บุคคลผู้นั้นเคยสร้างเกียรติยศให้แก่ประเทศชาติอย่างไรบ้าง ก็ไม่สามารถปล่อยปละละเว้นเด็ดขาด
ชิวเทียนใบหน้ากระตุกด้วยความโกรธแค้น
เขาเกลียดเวลาที่มีคนมาเรียกตนเองว่าหมูอ้วนที่สุด
อีกอย่าง ไม่มีโอกาสไหนเหมาะสมมากไปกว่านี้อีกแล้ว
แต่ยังไม่ทันที่ชายชราร่างอ้วนจะได้กล่าวคำใดต่อ โมเฉิงกวน ซึ่งเป็นอาจารย์ใหญ่จากสถานศึกษากระบี่ที่สองก็กล่าวออกมาว่า “อาจารย์หูพูดจามีเหตุผลนัก”
“เมื่อสงสัยว่าจะเป็นสาวกปีศาจ เราคงปล่อยเขาไปไม่ได้แล้ว”
“อย่างน้อยหลินเป่ยเฉินก็ต้องพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเองให้ได้ก่อน”
บรรดาคนใหญ่คนโตของเมืองหยุนเมิ่งเริ่มพูดไปในทิศทางเดียวกัน
ไม่มีใครอยู่เคียงข้างหลินเป่ยเฉินเลยสักคน
แต่นั่นเป็นสิ่งที่เข้าใจได้ นับจากอดีตจนถึงปัจจุบัน พวกเขาล้วนจัดการสาวกปีศาจด้วยความเด็ดขาดมาเสมอ
นักพรตหญิงชินยังคงยืนอยู่บนยอดเสาหิน แสงจันทร์สาดส่องลงมาอาบไล้ร่างบอบบางของนาง ดวงตาคู่งามนั้นจ้องมองวงหน้าของหลินเป่ยเฉิน คล้ายว่ากำลังมองหาเบาะแสอะไรบางอย่าง
จังหวะนั้น หลิงไท่ซวีพูดออกมาด้วยใบหน้าที่ยังยิ้มแย้มว่า “แต่หากข้าพาตัวหลินเป่ยเฉินกลับไปในคืนนี้ พวกท่านจะทำอย่างไร?”
บรรยากาศตกอยู่ในความเงียบทันที
นับว่าชายชราไร้ยางอายเกินไปแล้ว
ดวงตาของทุกคนลุกวาวด้วยความไม่พอใจ
หลิงไท่ซวีอาจจะมีภาพลักษณ์ไม่ค่อยได้เรื่องได้ราวในเมืองหยุนเมิ่ง แต่ชื่อเสียงนอกเมืองของเขายังคงยิ่งใหญ่เกรียงไกร ถ้าเกิดต้องปะทะฝีมือกับหลิงไท่ซวีขึ้นมาจริงๆ เกรงว่าทุกคนคงลำบากแล้ว
“รายงานท่านแม่ทัพ ผลชันสูตรศพออกมาแล้วขอรับ ชายชุดดำเหล่านี้คือนักฆ่าไร้หน้า พวกมันตายเพราะถูกคมกระบี่ทิ่มแทงและ…”
นายทหารคนหนึ่งจากหน่วยนักรบเมฆาเดินเข้ามารายงาน แต่เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ สีหน้าของเขาก็เกิดความลังเลเล็กน้อย
ท่านแม่ทัพตวนตวนออกคำสั่งว่า “พูดออกมา”
“ขอรับ บนบาดแผลกระบี่เต็มไปด้วยไอปีศาจ จึงยืนยันได้แล้วว่านักฆ่ากลุ่มนี้ถูกปีศาจสังหาร” นายทหารหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “และมันเป็นปีศาจตัวที่ท่านแม่ทัพสังหารไปเมื่อสักครู่นี้นั่นเองขอรับ”
ทุกคนส่งเสียงอุทานออกมาด้วยความตกใจ
แม้แต่สีหน้าของฉู่เหินและคณะก็เปลี่ยนแปลงไปทันที
“อืม เข้าใจแล้ว”
เฉาพั่วเถียนได้ยินดังนั้นก็ยกมือชี้หน้าหลินเป่ยเฉินและตะโกนออกมาว่า “เจ้าบอกว่าตนเองไล่ตามนักฆ่าออกมาจากที่พักใช่หรือไม่ ข้าเชื่อเจ้านะ เรื่องนี้จริงไม่จริงหาคำตอบได้ง่ายมาก แต่เจ้าประมาทเกินไป เจ้าตกหลุมพรางของพวกนักฆ่า เมื่อเห็นว่าชีวิตของเจ้ากำลังตกอยู่ในอันตราย ปีศาจตนนั้นจึงปรากฏตัวออกมาช่วยเหลือเจ้า ใครจะไปรู้เลยว่าพวกเราจะมาถึงที่เกิดเหตุรวดเร็วขนาดนี้? สุดท้ายความลับของเจ้าก็ถูกเปิดเผย ฮ่าฮ่า หลินเป่ยเฉิน สวรรค์ไม่ได้เข้าข้างเจ้าอีกต่อไปแล้ว”
ทุกคนที่ได้รับฟังดังนั้น ต่างก็คิดว่าเด็กหนุ่มผมทองพูดจามีเหตุผล
หลายคนรู้ดีว่าเฉาพั่วเถียนกับหลินเป่ยเฉินเป็นศัตรูคู่แค้นกันมาตลอด เขาย่อมไม่ปล่อยให้โอกาสที่จะได้เล่นงานฝ่ายตรงข้ามหลุดมือไปง่ายๆ
แต่การกล่าวหาของเฉาพั่วเถียนในครั้งนี้ มีเจตนาที่จะเอาหลินเป่ยเฉินให้ถึงแก่ความตาย
ทว่า หลายคนก็ต้องยอมรับ คำพูดของเฉาพั่วเถียนใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
แม้แต่ฉู่เหินก็ไม่รู้จะโต้แย้งอย่างไรดี
ช่างร้ายกาจเหลือเกิน
เฉาพั่วเถียนเป็นลูกศิษย์ของเมืองไป๋หยุน มีสถานะแตกต่างจากคนทั่วไป ถึงเขาจะกล่าวหาโดยไม่มีหลักฐาน แต่เมื่อมีชื่อเสียงของเมืองแห่งเซียนกระบี่คอยหนุนหลัง ทุกสิ่งทุกอย่างก็เกินควบคุม และสถานการณ์ของหลินเป่ยเฉินก็ยิ่งยากลำบากมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า
ต่อให้พวกเขาจะบอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในหุบเขาชายแดนเหนือ มันก็พิสูจน์อะไรไม่ได้ และไม่สามารถปฏิเสธข้อกล่าวหาของเฉาพั่วเถียนได้อยู่ดี
ขณะนี้ คำพูดที่ออกมาจากปากเด็กหนุ่มวัย 15 ปีอย่างเฉาพั่วเถียนมีน้ำหนักมากกว่าทุกคน
ไป๋ไห่ชินยืนอยู่ด้านข้างไม่พูดคำใด
หัวคิ้วของเขาขมวดเล็กน้อย
นักพรตหญิงชินมองหน้าหลินเป่ยเฉิน ไม่มีใครทราบว่านางกำลังคิดอะไรอยู่
ดวงตาของทุกคนจ้องมองมาที่หลินเป่ยเฉินเป็นจุดเดียว
แต่สีหน้าของหลินเป่ยเฉินกลับปราศจากความหงุดหงิดและไม่ปรากฏความตื่นกลัวแม้แต่น้อย
“เจ้ามีหลักฐานพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเองหรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินยิ้มกริ่ม พูดว่า “ข้าว่าข้ามีหลักฐานอยู่นะ”