บทที่ 271 พิสูจน์ความบริสุทธิ์
หลินเป่ยเฉินเบิกตาโต
ตาลุงชุดเกราะเหล็กคนนั้นแข็งแกร่งถึงขนาดนี้เชียวหรือ
เพียงตวัดกระบี่ครั้งเดียว นักฆ่าร่างเล็กซึ่งกำลังส่งเสียงร้องคำรามอย่างดุร้าย ก็ตัวขาดเป็นสองท่อน
จังหวะนั้น หลินเป่ยเฉินหัวใจกระตุกวูบ
ถ้าเปลี่ยนเป็นเขาเองต้องตกอยู่ใต้คมกระบี่นั้นบ้างเล่า
“โฮก…”
ปรากฏหมอกควันสีดำลอยขึ้นมาจากซากศพสองท่อนของมือสังหารร่างเล็ก หมอกควันเหล่านั้นรวมกลุ่มกันกลายเป็นสัตว์ประหลาดสี่ขาตัวหนึ่ง
พลังลมปราณปีศาจแผ่ออกมาอย่างรุนแรง มันส่งเสียงคำรามดุร้าย ก่อนที่จะวิ่งเข้าไปโจมตีใส่ชายในชุดเกราะเหล็กอีกครั้ง
เคล้ง!
ชายในชุดเกราะเหล็กระเบิดเสียงหัวเราะชอบใจในขณะที่ตวัดกระบี่แนวขวาง
วูบ!
สัตว์ประหลาดสีดำตัวนั้นถูกฟันร่างกายขาดกระจายเป็นสองส่วน
พลังลมปราณปีศาจของมันจางหายลงไปเล็กน้อย
หลังจากนั้น ดูเหมือนว่ามันจะรับทราบแล้วว่าตนเองไม่ใช่คู่มือของชายในชุดเกราะเหล็ก สัตว์ประหลาดสีดำสามารถเชื่อมต่อร่างกายที่ขาดออกจากกันได้อย่างง่ายดาย ก่อนที่มันจะหันหน้าเปลี่ยนเป้าหมายไปเล่นงานพวกของหลิงจุนเซวียนสามพ่อลูกที่ยืนอยู่อีกฝั่งหนึ่งแทน
มันเจตนาหลีกเลี่ยงนักพรตหญิงชิน
ด้วยว่าเจ้าสัตว์ประหลาดสัมผัสได้ถึงพลังลมปราณอันแข็งแกร่งและบริสุทธิ์ ส่งผลให้มันเกิดความตื่นกลัว นี่คือสัมผัสที่มีแต่ปีศาจเท่านั้นจะรับรู้ ซึ่งตลอดชีวิตมานี้ มันก็ไม่เคยต้องหลีกหนีผู้ใดอย่างนี้มาก่อน
ฟุบ!
หลิงอู๋กระโดดลงมาจากหลังคาบ้านร้าง
ในระหว่างที่ทิ้งตัวลงมาจากกลางอากาศ ชายหนุ่มก็ชักกระบี่ออกมาและตวัดฟาดฟันอย่างรุนแรง
คมกระบี่สาดประกายวาววับ
นี่คือกระบวนท่าเดียวกับที่ชายวัยกลางคนในชุดเกราะเหล็กใช้ออกมา
แต่พลังลมปราณของหลิงอู๋ยังไม่แข็งแกร่งเท่า
กระบวนท่ากระบี่เดียวกันนี้ ชายวัยกลางคนในชุดเกราะเหล็กใช้ออกมาด้วยความชำนาญ ไม่ทราบเลยว่าต้องมีกี่ชีวิตที่ต้องดับสูญลงไปภายใต้คมกระบี่ยักษ์ของเขา
ถึงแม้หลิงอู๋จะไม่ได้มีพลังทำลายล้างเท่ากับชายวัยกลางคน แต่คมกระบี่ของเขาก็รุนแรงมากพอ ที่จะสังหารศัตรูได้อย่างไม่มีปัญหา
หลินเป่ยเฉินเบิกตาโต
นี่คือครั้งแรกที่เขาเห็นหลิงอู๋แสดงฝีมือที่แท้จริงออกมา
บุตรชายคนที่สองของท่านผู้ว่าการประจำเมืองมีฝีมือแข็งแกร่งเกินกว่าที่หลินเป่ยเฉินคิดเอาไว้
คมกระบี่สาดประกายต่อเนื่อง
สัตว์ประหลาดสีดำถูกตัดเป็นสองท่อนอีกครั้ง
มันส่งเสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด
พลังลมปราณปีศาจเจือจางลงไปมากกว่าเดิม
แต่ในทันใดนั้น หลินเป่ยเฉินก็ได้เห็นสิ่งที่ไม่น่าเชื่อที่สุด
สัตว์ประหลาดสีดำตัวนี้เป็นเหมือนสิ่งมีชีวิตที่ไม่มีวันตาย ไม่ว่าจะถูกฟันตัวขาดไปสักกี่ครั้ง มันก็สามารถรวมร่างขึ้นมาใหม่ได้เสมอ แต่ว่าลำแสงสีดำที่แผ่ออกมาจากร่างกายก็จะเบาบางลงไปเรื่อยๆ เช่นกัน
นี่หมายความว่าถ้ามันถูกฟันตัวขาดต่อไปเรื่อยๆ สุดท้ายพลังในตัวก็จะหมด และเจ้าสัตว์ประหลาดก็จะตายไปเอง
หลินเป่ยเฉินไม่เคยพบเห็นสิ่งมีชีวิตใดน่าขนลุกมากเท่านี้มาก่อน ดูเหมือนว่ามันจะไม่มีร่างกายเป็นของตัวเองด้วยซ้ำ ถึงต้องสิงสู่อยู่ในร่างกายผู้อื่นอย่างนี้
มันทำให้เขานึกถึงสัตว์ประหลาดที่ชื่อว่า ‘วีนอม’ ในหนังฮอลลีวูดตระกูลมาร์เวลขึ้นมาทันใด
จังหวะนั้นเอง
วูบ! วูบ!
เงาร่างคนหลายสิบชีวิตทิ้งตัวลงมาจากรอบทิศทาง เพียงไม่นาน พวกเขาก็ปรากฏตัวบนหลังคาของบ้านร้างที่อยู่โดยรอบสถานที่เกิดเหตุต่อสู้
หลินเป่ยเฉินจดจำได้ดีว่าคนกลุ่มนั้นเป็นผู้ใดบ้าง เริ่มต้นจากหลี่สงฟู่ เจ้ากรมกระทรวงศึกษาประจำเมือง ต่อด้วยผู้ติดตามของเขาอีกหลายคน นอกจากนั้นก็ยังมีอาจารย์จากสถานศึกษาต่างๆ รวมถึงอาจารย์ใหญ่จากสถาบันของเขาอย่างหลิงไท่ซวี ที่มาพร้อมกับพวกของฉู่เหิน หลิวฉีไห่และพานเว่ยหมิน
แต่ที่คิดไม่ถึงก็คือเซียนกระบี่จากเมืองไป๋หยุน อย่างไป๋ไห่ชิน ก็มาที่นี่พร้อมกับลูกศิษย์สุดที่รักเฉาพั่วเถียนด้วยเช่นกัน
นับดูแล้วมีคนปรากฏตัวเกือบ 100 คนเลยทีเดียว
และยังคงมีผู้คนปรากฏตัวขึ้นไม่หยุด
ว่าแต่บรรดาจอมยุทธ์ระดับสูงของเมืองหยุนเมิ่งมารวมตัวทำอะไรกันที่นี่นะ?
หลินเป่ยเฉินพยายามคิดหาคำตอบ
ทันใดนั้น เจ้าสัตว์ประหลาดก็ลอยตัวขึ้นไปบนท้องฟ้า มันพยายามหาหนทางหลบหนีอยู่หลายครั้ง
แต่เมื่อมียอดฝีมือมารวมตัวกันเยอะขนาดนี้ มันจะสามารถหลบหนีได้อย่างไร?
หลังถูกฟันตัวขาดไปรอบแล้วรอบเล่า ร่างกายของหลินเป่ยเฉินก็มีแสงสว่างลดน้อยลงทุกที ท้ายที่สุด เจ้าสัตว์ประหลาดสีดำก็ระเบิดตัวแตกกระจายกลายเป็นฝุ่นผง ถูกสายลมโชยพัดหายไป
“ค่ายกลพิฆาตปีศาจ!”
พลัน นักพรตหญิงชินที่ยืนอยู่ในความเงียบมาเนิ่นนาน ก็ระเบิดเสียงคำรามออกมาอย่างไม่มีสัญญาณเตือน ในมือขวาของนางปรากฏคันฉ่องโบราณขึ้นมาหนึ่งชิ้น
คันฉ่องสะท้อนแสงจันทร์ก่อเกิดเป็นค่ายกลลมปราณที่แปลกประหลาดมหัศจรรย์ สัตว์ประหลาดที่ร่างกายระเบิดเป็นฝุ่นผง ถูกสายลมเวทมนตร์ดึงดูดให้เข้าไปอยู่ในคันฉ่องโดยที่มันไม่สามารถขัดขืนได้เลย
เมื่อเห็นดังนั้น ทุกคนก็ค่อยๆ ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
แล้วพวกเขาก็หันมามองหน้าหลินเป่ยเฉินเป็นตาเดียว
“เจ้ามาทำอะไรอยู่ที่นี่?”
ฉู่เหินไม่สนใจสายตาของผู้ใด คำรามเสียงดังขณะเดินเข้ามายักคิ้วหลิ่วตาให้แก่หลินเป่ยเฉิน
หลินเป่ยเฉินรู้ดีว่าอาจารย์ฉู่กำลังส่งสัญญาณให้เขาได้มีโอกาสอธิบายตัวเองว่าเกิดอะไรขึ้นในคืนนี้ ดังนั้น เด็กหนุ่มจึงเล่าเรื่องราวทั้งหมดตั้งแต่ต้น เริ่มจากการถูกบุกลอบสังหารกลางดึกที่ตำหนักไม้ไผ่ จนถึงการติดตามนักฆ่าหน้าเด็กออกจากสถานศึกษากระบี่ที่สามมาจนถึงหมู่บ้านร้างแห่งนี้
หลินเป่ยเฉินชี้มือไปยังซากศพของมือสังหารร่างแคระ แล้วกล่าวว่า “นักฆ่าผู้นี้คือคนที่ลงมือก่อเหตุในหุบเขาชายแดนเหนือเมื่อวันนั้น และก่อนจะเริ่มการแข่งขันค้นหาผู้มีพรสวรรค์ประจำเมือง มันก็เคยพยายามลอบสังหารข้าน้อยที่ตำหนักไม้ไผ่มาแล้วหนึ่งครั้ง!”
“เจ้านี่มันโง่เขลาจริงๆ เลยนะ” ฉู่เหินขมวดคิ้วด้วยสีหน้าหนักใจ “บัดนี้มีปีศาจออกอาละวาด เจ้ายังกล้าติดตามมันมาถึงที่เปลี่ยวร้างเช่นนี้ อย่าได้อยู่ที่นี่อีกต่อไปเลย กลับไปพร้อมกับข้าดีกว่า”
พูดจบ ชายชราก็ลากแขนหลินเป่ยเฉินกำลังจะเดินจากไป
“ช้าก่อน” ชายวัยกลางคนในชุดเกราะเหล็กพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเนิบนาบ เย็นยะเยือก ปราศจากความตื่นเต้นตกใจ “ตอนที่ข้ามาถึง ข้าเห็นนักฆ่าผู้นี้กำลังคุกเข่าทำความเคารพให้แก่เจ้า…เพราะฉะนั้น เจ้าจะไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น”
ว่าไงนะ?
เมื่อได้ยินประโยคนั้น สีหน้าของทุกคนก็เปลี่ยนแปลงไปทันที
ผู้ที่ถูกปีศาจสิงสู่ นอกจากจะมีพลังปีศาจแล้ว ร่างกายและจิตใจก็จะถูกปีศาจควบคุมโดยสมบูรณ์
นี่คือหนึ่งในเหตุผลที่ทางจักรวรรดิต้องการกวาดล้างสาวกปีศาจให้หมดสิ้นไปโดยเร็ว
เพราะถ้าเกิดถูกปีศาจสิงสู่ขึ้นมาแล้ว ก็จะไร้หนทางแก้ไข
โดยเฉพาะพวกปีศาจที่มาจากนอกแผ่นดิน พวกมันไม่มีที่มาที่ไป เลือกสิงสู่ผู้คนอย่างไร้เป้าหมาย
สำหรับกับพวกมันแล้ว สิ่งมีชีวิตทุกชนิดในโลกนี้ ล้วนแต่เป็นร่างให้มันอยู่อาศัยได้ทั้งสิ้น
พวกมันไม่เคยต้องก้มหัวให้ผู้ใดมาก่อน
แล้วทำไมมันถึงต้องคุกเข่าทำความเคารพหลินเป่ยเฉินด้วยล่ะ?
ต่อให้ไม่ต้องมีใครพูดคำใดออกมา หลินเป่ยเฉินก็รู้แล้วว่าตนเองตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่สู้ดีเข้าเสียแล้ว
บัดนี้ นายทหารจากหน่วยนักรบเมฆาอีกกลุ่มใหญ่ ก็เดินทางมาถึงพอดี
ตามด้วยหน่วยมือปราบประจำเมืองก็มาถึงแล้วเช่นกัน
“หน่วยนักรบเมฆาปิดล้อมที่นี่ไว้หมดแล้ว ผู้ใดไม่เกี่ยวข้อง ขอให้ถอยออกไปในรัศมี 50 วา”
ชายวัยกลางคนในชุดเกราะเหล็กพูดเสียงดังกังวาน
ไม่มีผู้ใดกล้าปฏิเสธคำสั่งของเขา
นายทหารจากหน่วยนักรบเมฆาปิดล้อมสถานที่แห่งนี้ไว้ทุกด้านแล้วจริงๆ
หลังจากนั้น พวกเขาก็ได้ยินเสียงโล่เหล็กปะทะกันดังโช้งเช้ง ปรากฏว่ากลุ่มนายทหารนำโล่เหล็กมาเรียงต่อกันกลายเป็นกำแพงขนาดใหญ่ ปิดล้อมพื้นที่ทุกด้านไว้เสมือนป้อมปราการเหล็กไหลที่มีชีวิต
นายทหารเหล่านี้เป็นยอดฝีมือมากประสบการณ์จากสนามรบ การเคลื่อนไหวทุกจังหวะของพวกเขา ล้วนเต็มไปด้วยประสิทธิภาพยอดเยี่ยม
“เจ้าชื่ออะไร?”
ชายวัยกลางคนในชุดเกราะเหล็กมองหน้าหลินเป่ยเฉิน ด้วยสายตาเหมือนอยากจะเฉือนเนื้อเถือหนังเขาทั้งเป็น
“ข้าน้อยมีนามว่าหลินเป่ยเฉินขอรับ” เด็กหนุ่มตอบกลับไป
“อ๋อ เจ้าคือหลินเป่ยเฉินเองหรือ?”
ในดวงตาของชายวัยกลางคนเป็นประกายขึ้นมาเล็กน้อย
“เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในคืนนี้มันบังเอิญมากเกินไป ลำพังเพียงคำพูดของเจ้า ข้าคงไม่สามารถเชื่อถือได้ทั้งหมด ข้าจำเป็นต้องสืบสวนเรื่องนี้ดูก่อน หวังว่าเจ้าจะให้ความร่วมมือ ตราบใดที่เจ้าสามารถพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเองได้ ข้าก็จะปล่อยตัวเจ้าไป”
น้ำเสียงของเขาอ่อนโยนลงเล็กน้อย
“เขาคนนี้จะเป็นผู้บริสุทธิ์ได้อย่างไรกันขอรับ?”
เฉาพั่วเถียนที่ยืนดูเหตุการณ์อยู่ห่างๆ อดไม่ได้ต้องส่งเสียงตะโกนออกมาว่า “ข้าสงสัยหลินเป่ยเฉินมานานแล้ว ว่าเขาจะต้องเกี่ยวข้องกับพวกปีศาจแน่นอน แต่ข้าไม่สามารถหาหลักฐานมาเอาผิดเขาได้ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในคืนนี้ ยืนยันแล้วว่าสิ่งที่ข้าคิดนั้นถูกต้อง ใต้เท้าขอรับ ข้ารับประกันเลยว่าหลินเป่ยเฉินจะต้องเป็นสาวกปีศาจแน่นอน เหตุการณ์ในคืนนี้เขาเป็นคนบงการขึ้นมา หรือแม้แต่การฆาตกรรมใต้เท้าฟางเจิ้นหรู่ ก็ต้องเกี่ยวข้องกับเขาด้วยเช่นกัน”