บทที่ 513 รำลึกถึงอดีต

บทที่ 513 รำลึกถึงอดีต

ขณะที่เธอหวนนึกถึงอดีต ดวงอาทิตย์ก็ค่อย ๆ ลอยขึ้นเหนือหมู่เมฆ

“พี่เขย มาเร็วเข้า! อย่ามัวแต่ยืนนิ่งแล้วมาหาถวนถวนเร็ว”

เมื่อมองเห็นแสงสว่างจ้า หลี่หรงก็รีบเอ่ยขึ้น

เธอหยิบกล้องขึ้นมาถ่ายรูปรัว ๆ

“ครบแล้ว!”

หลี่หรงมองดูชายในกล้องถ่ายรูปและถอนหายใจ

หลังจากผ่านมาเป็นเวลานาน ในที่สุดเธอก็ได้ทำตามคำสัญญาที่ให้ไว้แล้ว

“พี่เขย มาถ่ายรูปด้วยกันเถอะ”

หลังจากที่วิ่งเต้นถ่ายรูปไปทั่ว เธอก็รีบเข้าไปร้องขอพี่เขยต่อ

อวี้ฮ่าวหรานพยักหน้าและดูเหมือนจะนึกบางสิ่งขึ้นได้

‘…อวี้ฮ่าวหราน ถ้าฉันตกลงไปเธอจะทำยังไงเหรอ??’

‘…กระโดดลงไปกับเธอ’

‘โง่หรือไงถึงกระโดดลงมาตายด้วย แล้วจะหาฉันเจอได้ยังไง?’

‘…อย่างน้อยฉันก็จะได้อยู่กับเธออีกสักพัก ฉันหาเพื่อนดี ๆ แบบเธอได้ยากมากนะ…’

ท่ามกลางแสงสีทองอร่าม ความทรงจำพลันหลั่งไหลเข้ามาในหัวของเขา

เขาเคยมาที่นี่!

พวกเขามาเที่ยวด้วยกันกับเพื่อน ๆ และหลี่เม่ยในตอนนั้นยังแค่เป็นเพื่อนสนิทกันเท่านั้น ไม่ใช่คู่รักอย่างในตอนนี้

ความทรงจำผุดขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง และภาพเมื่อหลายร้อยปีก่อนก็ทำให้อวี้ฮ่าวหรานตกตะลึง

“พี่เขย ก่อนที่พี่สาวจะจากไป เธอขอให้ฉันมาบอกพี่ว่าเธอจะไม่มีวันเสียใจที่เข้ามาในชีวิตพี่!”

คำพูดนั้นดึงเขาออกจากภวังค์และเงยหน้าขึ้น

แต่หลี่หรงก็พูดขึ้นเสียก่อน

“นี่คือสิ่งที่พี่บอกฉันก่อนที่เธอจะไป”

เมื่อเธอเห็นท่าทีของอีกฝ่ายก็อดพูดเสริมไม่ได้

ณ วินาที ข้างหลังเธอคือดวงตะวันสีทองครึ่งดวงที่ค่อย ๆ ลอยสูงขึ้นมาจากทะเลเมฆ

ทันใดนั้นก็มีแสงแปลกประหลาดดูราวสายรุ้งปรากฏขึ้นเหนือหมู่เมฆอย่างเงียบเชียบ

ผู้คนโดยรอบต่างก็ตกตะลึงไปตาม ๆ กัน

“แสงพระพุทธเจ้า! บังเอิญจริง ๆ ที่พวกเรามาวันนี้!”

“บางทีปีนี้เธออาจจะโชคดีก็ได้นะ”

“ไม่มีสิ่งที่เรียกโชคหรอก ว่ากันว่ามีให้ดูแค่ปีละไม่กี่วันเอง”

“…”

เสียงพูดคุยกันทำให้หลี่หรงรีบกลับหลังหันไปทันที และอดตกตะลึงกับแสงอันงดงามท่ามกลางท้องฟ้าไม่ได้

เธอจำได้ว่าในคืนนั้น พี่สาวของเธอบอกว่าวันนั้นก็มีแสงพระพุทธเจ้าด้วยเหมือนกัน

“บังเอิญจัง”

ภาพแสนสวยงามตรงหน้าทำให้หลี่หรงอดพึมพำออกมาไม่ได้

ที่อีกฝ่ายหนึ่ง

เหนือป่าไม้ไร้ที่สิ้นสุด ผู้หญิงในเสื้อสีขาวยืนอยู่บนแท่นหินในถ้ำและมองไกลออกไป

“ฉันรู้ว่าเธอยังมีชีวิตอยู่…แต่ทำไมถึงไม่กลับมาล่ะ?”

ขณะที่พึมพำกับตัวเอง แขนของเธอก็สั่นเครือเล็กน้อย

“ผ่านมามากกว่า 3 ปี เขาคงไม่กลับมาแล้ว”

แม่ชีในชุดคลุมสีเรียบคนหนึ่งพลันปรากฏกายขึ้นจากด้านหลังทางเข้าถ้ำ และกล่าวอย่างอ่อนโยน

“เขาเป็นฝ่ายจากไปเอง ทำไมต้องพยายามขนาดนี้ด้วยล่ะ?”

เธอมองไปยังลูกศิษย์ของตัวเองอย่างอดเป็นกังวลไม่ได้

มีวิธีการอย่างหนึ่งคือ ควบคุมอีกฝ่ายด้วยขอบเขตพลังและปล่อยให้ฝึกฝนอย่างหนักเป็นเวลาสั้น ๆ

แต่เมื่อพละของอีกฝ่ายพัฒนาขึ้นอย่างมหาศาล ขอบเขตพลังก็เป็นเพียงแค่ทางออกชั่วคราวเท่านั้น

เธอต้องทำให้ลูกศิษย์ของตนตัดใจจากชายคนนั้นให้ได้

แต่สิ่งที่ทำให้เธอต้องปวดหัวคือ ข่าวสารมากมายระบุว่าชายคนนั้นกลับมาแล้วและยังสบายดีอีกด้วย…

“ด้วยพรสวรรค์ของเธอ ความสำเร็จที่จะได้ในอนาคตนั้นไร้ที่สิ้นสุด ยังไงเธอกับผู้ชายคนนั้นก็อยู่กันคนละโลกอยู่แล้ว”

แม่ชียังคงเสนอแนะต่อไปด้วยความเกลียดชังชายผู้นั้นอย่างถึงที่สุด

ในเมื่อออกไปเองตั้งแต่แรกแล้วจะกลับมาทำไมในตอนนี้?

เธอกลัวว่าหากเป็นแบบนี้ หลังจากที่ได้ยินเรื่องราว เด็กโง่คนนี้จะละทิ้งการฝึกฝนและทำให้เส้นทางชีวิตของตัวเองล่าช้า

ดวงตาแสนงดงามของหลี่เม่ยหลับตาลงเล็กน้อยเมื่อได้ยินดังนั้น แต่ในหัวใจของเธอไม่หวั่นไหวแม้แต่น้อย

“พอเถอะท่านอาจารย์ ลูกศิษย์เองก็มีทางของตัวเองเหมือนกัน”

สำหรับเธอแล้ว เป้าหมายสูงสุดในการฝึกฝนและเข้าสู่ขั้นก่อรากฐานคือเพื่อตามหาอวี้ฮ่าวหรานให้ได้ดียิ่งขึ้นเท่านั้น

“ฉันรู้ว่าเธออยากตามหาเขาไปจนสุดขอบโลก แต่ลองคิดดูดี ๆ แล้วหรือยัง?”

ผู้เป็นอาจารย์ยังคงไม่ยอมแพ้

“ถ้าพลังจิตวิญญาณของเธอแข็งแกร่ง และถึงสุดท้ายจะหาชายคนนั้นเจอแต่หากเขาไปแต่งงานกับคนอื่น ซ้ำยังมีลูกกับภรรยาใหม่ล่ะ เธอจะทำยังไง?”

คำพูดเหล่านี้เหมือนมีดแทงใจดำหลี่เม่ย และมันทำให้เธอสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง

เวลาผ่านไปสักพัก ดวงตางดงามคู่นั้นก็ค่อย ๆ เปิดออกอีกครั้ง…

“ฉันจะอยู่เคียงข้างเขา แค่ได้เห็นเขาก็รู้สึกดีขึ้นแล้ว”

“แล้วถ้าเขาไม่สนใจ เธอจะยอมถอยกลับมาเพื่อภรรยากับลูกใหม่ของเขางั้นเหรอ?”

หลังจากได้ยินคำถามนี้ หลี่เม่ยก็ปิดปากเงียบในที่สุด แต่ความเงียบไม่ได้แปลว่ายอมแพ้!

เธอแค่รู้สึกว่าไม่มีความจำเป็นให้พูดเรื่องนี้ต่อไปอีกแล้ว

คนนอกไม่เข้าใจถึงความรู้สึกระหว่างเธอกับอวี้ฮ่าวหราน และเธอเชื่อสุดหัวใจว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะเกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้น

เมื่อเห็นดังนั้น แม่ชีก็ถอนหายใจเบา ๆ

เธอไม่คิดว่าจะเปลี่ยนความคิดของศิษย์คนนี้ได้ด้วยคำพูดแค่ไม่กี่คำ

สิ่งที่ถูกจดจำมากที่สุดในโลกใบนี้คืออารมณ์

มีเพียงเวลาเท่านั้นที่จะกำจัดความรู้สึกออกไปได้

ต้องใช้เวลาอย่างน้อยมากกว่า 20 ปีในการฝึกฝนจนถึงขั้นก่อรากฐาน

ระยะเวลานี้ยาวนานพอที่ลูกสาวของหลี่เม่ยจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ และพอที่ผู้ชายจะลืมความรู้สึกทั้งหมดไป

“คนทั่วไปทนกาลเวลาไม่ไหวหรอก”

หลังจากที่ถอนหายใจ แม่ก็หยุดพูดและหันหลังเดินกลับเข้าไปในถ้ำ

น่าเสียดายที่เธอไม่รู้ว่าผู้ชายพูดถึงนั้นยืนอยู่เหนือเทพเจ้าทั้งปวงมามากกว่า 300 ปี แต่เขาก็ยังไม่ลืมความรู้สึกของตัวเอง!

เมืองฮ่วยอัน

“ฮ่า ๆ! โจวเฟยหู่! คิดว่าเราไม่รู้เหรอว่าแกคิดอะไร?”

ชายคนหนึ่งยืนหัวเราะเสียงดังลั่นอยู่ด้านนอกสำนักงานใหญ่แก๊งพยัคฆ์เวหา

คนหลายร้อยคนมารวมตัวกันที่นี่ และห้อมล้อมสำนักงานใหญ่แก๊งพยัคฆ์เวหาไว้

โจวเฟยหู่กล่าวกับสมาชิกหลักมากกว่าร้อยคนด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง

“แกไม่ใช่กองกำลังเมืองฮ่วยอันของพวกเรา! พวกแกมาจากไหน? ทำไมต้องมาแทรกแซงเรื่องนี้ด้วย?”

เรื่องนี้มาถึงจุดที่แย่ที่สุดแล้ว!

ไม่นานหลังจากที่หวังเหยียนจากไป กองกำลังขนาดเล็กมากมายก็มารวมตัวกันและโจมตีแก๊งพยัคฆ์เวหา!

เดิมทีกองกำลังเหล่านี้ไม่สามารถทำอะไรได้

แต่สิ่งที่น่าตกตะลึงที่สุดคือ เบื้องหลังกองกำลังเหล่านี้คงจะมีใครสักคนคอยชักใหญ่อยู่แน่!

ในระยะประชิด ศัตรูมีผู้ฝึกกำลังภายในอยู่อย่างน้อยสิบสองคน!

พละกำลังระดับสูงนั้นน่าสะพรึงกลัวอย่างถึงที่สุด!

นอกจากนี้พวกเขายังมีข้อได้เปรียบด้านจำนวนคนด้วย ดังนั้นแล้วภายในเวลาไม่กี่วัน แก๊งพยัคฆ์เวหาจะต้องถอยทัพและถูกห้อมล้อมโดยกลุ่มมากมาย ทำให้ไม่อาจบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ

และทั้งหมดนี้เป็นเพราะการแทรกแซงของกองกำลังประหลาด!

“และพวกแก! ทำไมถึงไปอยู่กับกลุ่มนอกแทนแก๊งพยัคฆ์เวหาล่ะ?”

โจวเฟยหู่มองดูคนราวสิบคน ข้างกายชายคนนั้นด้วยความไม่พอใจ

“ฮึ! แกคิดว่าพวกเราโง่เหรอ? อยู่เฉย ๆ ให้พวกไร้สมองดิ้นอยู่บนพื้นเหมือนหมาบ้าแล้วค่อยกวาดไปทีเดียว แก๊งพยัคฆ์เวหาของแกตะกละเกินไปแล้ว!”

ชายวัยกลางคนคนหนึ่งกล่าวอย่างเหยียดหยาม