บทที่ 166 จุดเดือดของโทสะ

บุหลันเคียงรัก

เงาร่างของไท่เหยาองค์ชายเก้าของจักรพรรดิสวรรค์ปรากฏขึ้นในสายตาของเหล่าเทพ ในมือของเขาถือกล่องหยกโปร่งใสเอาไว้หนึ่งกล่อง นี่ก็คือหนังสือราชโองการของจักรพรรดิสวรรค์

 

 

มหาเทพโกวเฉินขมวดคิ้วขึ้น องค์ชายเก้าของจักรพรรดิสวรรค์เคยเป็นศิษย์ของมหาเทพไป๋เจ๋อมาก่อน เขาย่อมเดินเส้นทางเดียวกับอาจารย์ของเขา เขานำเอาราชโองการของจักรพรรดิสวรรค์มา จะต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่ เขาจึงกล่าวเสียงดังทันทีว่า “องค์ชายเก้า ท่านลองดูสถานการณ์ตรงหน้าก่อน สู้กันจนถึงขนาดนี้แล้ว จักรพรรดิสวรรค์คงไม่ได้สั่งให้พวกเราหยุดลงตอนนี้หรอกนะ”

 

 

ไท่เหยาลอบถอนหายใจ แน่นอนว่าเขาเองก็รู้ดีว่าชื่อเสียงของตระกูลจู๋อินในแดนเทพนี้ไม่ดีนัก คราวนี้มีโองการมาและสามารถกำราบพวกเขาจนราบคาบได้ แน่นอนว่าคงไม่ยอมปล่อยไปแน่

 

 

ในฐานะจักรพรรดิสวรรค์ การไกล่เกลี่ยระหว่างเทพที่มีอำนาจนั้นทำได้ยากจริงๆ เสวียนอี่เสื่อมเทพกลายเป็นมารคือเรื่องจริง เทพเสื่อมเป็นมารจะยอมปล่อยไปไม่ได้ก็เป็นเรื่องจริง แม่ทัพผู้คุมทั้งหนึ่งร้อยยี่สิบคนกว่าครึ่งนั้นต่างก็ส่งคำร้องมาให้เพื่อขอให้ออกคำสั่งปราบมาร อำนาจยิ่งใหญ่เช่นนี้ ก็คือลูกธนูที่พาดอยู่บนคันธนูและได้แต่ต้องปล่อยมันออกไปเท่านั้น

 

 

หากว่าเป็นเทพเล็กๆ  แค่ไม่นานก็คงสามารถจัดการแก้ไขได้แล้ว แต่ว่ากลับเป็นตระกูลจู๋อินผู้นำหมื่นมังกร ถ้าฆ่าองค์หญิงของพวกเขา มหาเทพกับองค์ชายน้อยจะยอมอยู่เฉยๆ หรือ ต่อไปยังอยากจะมีชีวิตที่สงบราบรื่นกันอีกหรือ หรือว่าจะทำลายตระกูลจู๋อินทั้งตระกูลจริง สถานการณ์ตรงหน้านี้ยังลากเอาตระกูลหวาซวีเข้ามาเกี่ยวข้องอีก ตระกูลสายเลือดสูงศักดิ์และมีน้อยคนก็มีกันแค่ไม่กี่ตระกูล กำจัดไปหนึ่งก็น้อยลงไปหนึ่ง หากกำจัดไปหมดภายหลังหากว่ามีราชาปีศาจที่ร้ายกาจปรากฏออกมาอีก จะต้องฝากความหวังไว้กับของชั้นรองอย่างโกวเฉินกับชิงหยวนเหล่านี้หรือ

 

 

ไท่เหยามองไปยังร่างของเหล่านักรบที่ยังไม่ทันจะกลายเป็นไอบริสุทธิ์เหล่านั้นบนทะเลเมฆ เพราะรู้สึกว่ามันน่าอนาถเกินไป เขาจึงไม่กล้ามองมากนัก เขาหันหน้ากลับมาแล้วกล่าวว่า “มหาเทพโกวเฉิน ตอนแม่ทัพผู้คุมส่งคำร้อง ไม่ได้กล่าวไว้ว่าจะใช้ลูกธนูของโฮ่วอี้ ทำให้นักรบบริสุทธิ์มากมายขนาดนี้ต้องดับสูญ เกรงว่าคงไม่ใช่แค่หายนะจากเทพเสื่อมเป็นมารกระมัง”

 

 

รู้อยู่แล้วว่าต้องมาไม้นี้ มหาเทพโกวเฉินสั่นศีรษะ “เป็นมหาเทพชิงหยวนผู้เดียวที่จัดการเรื่องนี้ ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องการสังหารเทพที่เสื่อมเป็นมารเลย”

 

 

ไท่เหยายิ้ม แล้วเปิดกล่องหยกออกพร้อมกล่าวเสียงดังว่า “จักรพรรดิสวรรค์มีราชโองการ ให้รีบเก็บธนูโฮ่วอี้กลับทันที ให้จับเป็นเทพที่เสื่อมเป็นเผ่ามาร ห้ามทำร้ายนาง”

 

 

ทำไมตระกูลจักรพรรดิสวรรค์ตระกูลนี้ก็เป็นพวกเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาเหมือนกันด้วยเล่า มหาเทพโกวเฉินกล่าวเสียงเข้มว่า “สู้อย่างยากลำบากมาตั้งนาน จักรพรรดิสวรรค์กลับมาบอกให้หยุดมือ! องค์ชายเก้า ให้ท่านรู้ไว้เลยว่า มหาเทพจงซานอาจจะไม่รอดแล้ว ข้าว่าถอนรากถอนโคนเลยจะดีกว่า!”

 

 

ไท่เหยาขมวดคิ้วมุ่น จากนั้นก็คลายออกทันทีพลางกล่าวเสียงต่ำว่า “เทพมังกรจู๋อินมีลมหายใจยาวนาน คงไม่ถึงกับจะดับสูญทันที ส่งกลับไปแดนเทพบางทีอาจจะยังช่วยเหลือได้”

 

 

เขาพยักหน้าเป็นเชิงทำความเคารพแล้วไม่กล่าวอะไรมากอีก คิดจะร่อนลงไปยังริมผา ข้างๆ ก็มีมหาเทพคนอื่นกล่าววิเคราะห์เรื่องว่า “องค์ชายเก้า เทพที่เสื่อมกลายเป็นเผ่ามารนั่นเพราะว่าดูดกลืนเอาพลังมืดจู๋อินในทะเลหลีเฮิ่นไปถึงได้กลายเป็นอย่างนี้ ตอนนี้ดูแล้วราวกับทะเลหลีเฮิ่นเดินไปเดินมาได้อย่างไรอย่างนั้น หากว่าพานางกลับไปที่แดนเทพ เกรงว่าคงไม่เหมาะนักกระมัง”

 

 

ไท่เหยากล่าวเสียงนุ่มว่า “ทะเลหลีเฮิ่นคือสิ่งที่แดนเทพสร้างขึ้น สุดท้ายอย่างไรก็ต้องให้แดนเทพเป็นคนจัดการ”

 

 

เขาลงมาจากเมฆร่อนลงมายังริมผา เงยหน้ามองเป็นปราณกระบี่แปลงเป็นเทพขนาดใหญ่องค์นั้นเข้า แววตาก็มองไปยังเทพบุตรชุดขาวใต้ต้นตี้หนี่ว์ซาง ฝูชางนั่งพิงต้นไม้อยู่ ใบหน้าและริมฝีปากของเขาซีดขาวราวกับหิมะ

 

 

ไท่เหยากล่าวเสียงต่ำว่า “ศิษย์น้องฝูชาง อาจารย์รออยู่ที่โลกเบื้องบน”

 

 

ปราณกระบี่แปลงเป็นเทพถอยออกไปราวกับคลื่นน้ำ เงาร่างเพรียวสีขาวราวหิมะที่ถูกเลือดอาบย้อมไปกว่าครึ่งร่างก็ถูกลมบริสุทธิ์พัดลงมาช้าๆ แล้วกลับกลายเป็นลมเย็นสายหนึ่งพุ่งไปทางมหาเทพจงซานกับองค์ชายน้อยทันที

 

 

เหล่าเทพต่างถอยไปหนึ่งก้าวอย่างระวัง แล้วจับจ้องไปยังองค์หญิงที่ย่อตัวอยู่ข้างกายท่านพ่อกับท่านพี่ของนาง นางใช้แขนเสื้อที่ยังจัดว่าสะอาดเช็ดเลือดที่จับตัวเป็นน้ำแข็งบนร่างของพวกเขา

 

 

อยู่ที่เขาจงซานดีออก หากว่าไม่มา ก็จะไม่บาดเจ็บ และไม่ต้องเลือดไหล ยิ่งไม่ต้องเอาชีวิตมาทิ้งอีก จริงๆแล้วนางไม่อยากเห็นใครเอาชีวิตมาทิ้งเพื่อนางเลยจริงๆ มีแค่ท่านแม่คนเดียวก็พอแล้ว

 

 

เสวียนอี่มองรูที่หน้าอกของท่านพ่อรูนั้นนิ่งๆ นับตั้งแต่ท่านแม่ดับสูญไป เขาก็ปิดตัวอยู่แต่ในตำหนักฉางเซิงไม่ออกมา ชิงเยี่ยนเองก็ถูกเขาทำให้โมโหจนหนีออกไป ความรู้สึกที่นางมีให้เขานั้นอันที่จริงก็ไม่นับว่าเป็นความสัมพันธ์ระหว่างบิดากับบุตรสาวที่ลึกซึ้งอะไรนัก การที่นางเข้าไปในทะเลหลีเฮิ่นตามลำพัง เหตุผลส่วนใหญ่ก็เพื่อชิงเยี่ยน

 

 

แต่ว่านางก็ไม่อยากให้เขาต้องดับสูญ ให้เขามีชีวิตไปอย่างนี้ ไปทำเรื่องไร้มารยาทกับเหล่าเทพธิดาต่อไป ไปทำตัวเหลวไหลสร้างความหนักใจให้กับบุตรสาวบุตรชายก็ได้ ใครใช้ให้นางกับชิงเยี่ยนโชคไม่ดีต้องมามีท่านพ่อที่เหลวไหลไร้สาระอย่างนี้เล่า

 

 

แต่ว่าลมหายใจของเขาก็ยังแผ่วลงไปเรื่อยๆ รอยเลือดเหล่านั้นเองไม่ว่าเช็ดเท่าไหร่ก็ไม่หมด ก่อนหน้านี้นางยังหวังให้เซ่าอี๋เก็บขนหัวใจกลับไป ตอนนี้กลับหวังว่าจริงๆแล้วเขาจะยังไม่ได้เก็บกลับไป อย่าให้ท่านพ่อดับสูญ สถานการณ์ตรงหน้านี้นางรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวจริงๆ

 

 

ไท่เหยาเดินมาหยุดอยู่ด้านหลังนาง พยายามพูดอย่างนุ่มนวลที่สุด “ศิษย์น้องหญิงเล็ก กลับไปแดนเทพเถอะ เรื่องที่เกิดขึ้นพวกเรารู้หมดแล้ว จะต้องไม่ให้เจ้าเป็นอะไรไปแน่”

 

 

นางไม่กลัวว่าตนเองจะเกิดเรื่อง เรื่องที่นางกลัวปรากฏอยู่ตรงหน้านางแล้ว

 

 

ไอขุ่นมัวบ้าคลั่งและเข้มข้นมากมายพุ่งออกไปจากแผลที่หลังของนางราวกับเมฆสีดำ เหล่าเทพต่างพากันขมวดคิ้ว ไท่เหยาเองก็อดที่จะถอยหลังไปหลายก้าวไม่ได้ กำลังจะกล่าวอะไร บนฟ้าพลันมีเวทมากมายปรากฏขึ้น ยามนี้เหล่าแม่ทัพผู้คุมคงไม่สนใจชีวิตแล้วฝืนลงมือแล้ว

 

 

กำแพงน้ำแข็งสีดำไร้รูปปรากฏขึ้นที่ริมผา เวทของเหล่าเทพไม่สามารถทำลายมันลงได้ ร่างสีขาวราวหิมะที่เดิมนั่งย่อตัวอยู่นั้นพลันลุกขึ้นยืน ท้องฟ้าพลันมืดลงอย่างฉับพลัน เหล่านักรบรู้สึกเพียงว่าบนฟ้าราวกับมีพายุหิมะกำลังถาโถมเข้ามา แต่ละคนพลันถูกแช่แข็งไปราวกับเป็นรูปปั้นสลักทันที

 

 

เกล็ดหิมะสีดำขนาดใหญ่ร่วงลงมาราวกับห่าฝน ครอบคลุมท้องฟ้าไปกว่าครึ่ง ดวงตะวันที่สว่างไสวนั้นอยู่ฟากหนึ่ง

 

 

ยังไม่พอ นางอยากจะให้ทั่วทั้งจักรวาลนี้ถูกหิมะกลืนกินจนมิด

 

 

ระเบียบสวรรค์แล้วอย่างไร หน้าที่ของเหล่าเทพแล้วอย่างไร นางแน่ใจว่านางไม่เคยสนใจมาก่อน นางก็เห็นแก่ตัวอย่างนี้ ให้ความสำคัญกับสิ่งที่นางให้ความสำคัญเท่านั้น เหล่านักรบตรงหน้านางเหล่านี้ต่างมาแตะต้องจุดเดือดของนาง ดังนั้นก็ต้องรับโทสะของเทพมังกรจู๋อินเสีย

 

 

พายุหิมะสีดำสนิทขยายอาณาเขตกว้างขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดก็บดบังดวงตะวันที่สว่างไสวครึ่งหนึ่งนั้นจนมิด ท้องฟ้ามืดสนิท เป็นอย่างนี้ดีแล้ว

 

 

มังกรน้ำแข็งราวกับแก้วสีดำขนาดใหญ่ทั้งหนึ่งร้อยแปดตัวล้อมหน้าผาทั้งหมดไว้ ท่ามกลางความมืดมิดนี้ เหล่าเทพเห็นเพียงมหาเทพโกวเฉินและมหาเทพชิงหยวนที่ยังหมดสติอยู่ไกลๆ ถูกมังกรฝูงหนึ่งรัดเอาไว้ แทบจะรัดพวกเขาจนแตกในพริบตา กระทั่งร้องยังร้องไม่ได้ ต่อจากนั้นฝูงมังกรก็พุ่งไปยังเหล่าเทพผู้คุมที่เมื่อครู่ลงมือกับนาง จนเลือดสาดไปเต็มทั้งฟ้าดิน

 

 

ท่ามกลางเสียงอึกทึกของพายุหิมะและมังกรน้ำแข็ง มีเพียงไท่เหยาเท่านั้นที่ร้องตะโกนออกมาเสียงดังอย่างร้อนรน “ศิษย์น้องหญิงเล็ก! ศิษย์น้องหญิงเล็ก! อย่าทำอย่างนี้! รีบหยุดมือเร็ว!”

 

 

อืม นางเองก็ทำต่อไปไม่ได้แล้วเช่นกัน เหมือนกับอยู่ในทะเลหลีเฮิ่น พลังทั้งหมดไม่มีเหลือแล้ว หากว่าตอนนี้นางอายุสามแสนปีก็คงดี เช่นนั้นแล้วใครก็อย่าคิดจะหนีไปจากที่นี่ได้เลย

 

 

พายุหิมะที่บ้าคลั่งกับมังกรน้ำแข็งพลันถอยกลับไปในพริบตา ร่างของเสวียนอี่โงนเงน แล้วล้มลงไปท่ามกลางสายตาของเหล่าเทพ

 

 

ใต้ต้นตี้หนี่ว์ซางพลันมีแสงสีทองสว่างวาบ มังกรทองที่กลายจากปราณกระบี่สั่นสะท้านแล้วพุ่งเข้าไป มันอ้าปากกว้าง แล้วกลืนเอาร่างที่เต็มไปด้วยคราบเลือดนั่นลงท้องไปอีกครั้ง กระบี่วิเศษแห่งสวรรค์สีน้ำเงินกลับเข้ามาในฝ่ามือของฝูชาง มันส่งเสียงร้องดังสนั่นอยู่นาน แล้วจึงสงบลง

 

 

เทพบูรพากลับยกมือขึ้นทันที รวบร่างของฝูชางที่อ่อนยวบลงไปเข้ามา จากนั้นก็ลูบบนฉุนจวินเบาๆ แววตาเขานั้นคล้ายทอดถอนใจ คล้ายตกตะลึง กระนั้นกลับยังแฝงไปด้วยความชื่นชมบางส่วนด้วย

 

 

กระบี่วิเศษแห่งสวรรค์เล่มนี้รับเจ้านายแล้ว และนับจากนี้ไปจะยอมฟังคำสั่งจากเจ้านายแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น ไม่มีการทรยศ แม้เลือดจะอาบย้อมเหล่าเทพก็ตาม

 

 

วิถีกระบี่เลื่อนขั้นหลายต่อหลายครั้งอย่างไม่สนใจอะไร ก็เพื่อองค์หญิงมังกรในกระบี่ผู้นั้นสินะ

 

 

ลูกของเขา ดูท่าแล้วคงมีชะตาที่ต้องพัวพันกับองค์หญิงมังกรตระกูลจู๋อินจนถึงที่สุด นิสัยเอาแต่ใจดื้อดึงของเขาเหมือนแม่ของเขาไม่มีผิดเพี้ยน

 

 

เสี่ยวจิ่วที่หลบอยู่ไกลๆมานานรีบวิ่งมาที่ริมผาทันที มันร้องสะอื้นแล้วแบกฝูชางไว้บนหลังของมัน เทพบูรพาตบลงไปยังหัวที่ใหญ่ที่สุดของมัน และวางร่างของมหาเทพจงซานกับกับองค์ชายน้อยลงไป ตัวเขาเองก้าวขึ้นไปบนหลังราชสีห์ ก่อนจะหันกลับไปมองไท่เหยาพลางกล่าวเสียงทุ้มนุ่มว่า “เชิญองค์ชายเก้านำทางด้วย”

 

 

…การต่อสู้ปราบเทพที่เสื่อมลงไปเป็นมารที่เหลวไหลครั้งนี้เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน และจบลงอย่างกะทันหันเช่นกัน ที่สังหารเหล่าเทพมากมายจนดับสูญไปกลับเป็นธนูของโฮ่วอี้ดอกนั้น นี่เรียกได้ว่าเอาหินมาโยนใส่เท้าตัวเอง[1] จริงๆ คราวนี้โยนลงมาเจ็บเกินไปแล้ว หากว่ามหาเทพชิงหยวนยังมีชีวิตอยู่ วันหน้าเมื่อนึกย้อนถึงเรื่องนี้คิดว่าคงทั้งอับอายทั้งหมดหวังเป็นแน่

 

 

เหล่านักรบนิ่งงันกันไปนาน นักรบหน่วยติงเหม่าคนหนึ่งเอ่ยปากออกมาด้วยท่าทีหวาดกลัว “รัชทายาทฉางฉิน ต่อไปพวกเรา…”

 

 

รัชทายาทฉางฉินขี่ลมขึ้น ขมวดคิ้วแล้วกล่าว “กลับไปกันเถอะ! ยังอยากจะทำอะไรอีก”

 

 

หากว่าไม่มีธนูโฮ่วอี้ดอกนั้นล่ะก็…คิดมาถึงตรงนี้ รัชทายาทฉางฉินกลับหวาดหวั่นขึ้นมาบ้าง หากว่าไม่มีธนูโอ่วอี้ดอกนั้น สถานการณ์ตรงหน้านี้พูดไม่ได้จริงๆ ว่าจะเป็นเช่นไร พวกเขาจะสามารถกลับไปได้อย่างมีชีวิตหรือไม่ก็ยิ่งไม่อาจรู้ได้

 

 

 

 

ฝูชางฝันเห็นตนเองเดินช้าๆ ไปบนที่รกร้างนั่นอีกครั้ง ใต้ต้นตี้หนี่ว์ซางที่อยู่ไกลๆ กลับไม่มีเงาร่างเพรียวบางที่แสนเดียวดายนั้นอีกแล้ว

 

 

เขาเดินเข้าไปช้าๆ ฟังเสียงลมพัดผ่านใบไม้ไปอยู่เงียบๆ รู้สึกว่างเปล่าและหมดหวัง

 

 

แขนอ่อนนุ่มคู่หนึ่งค่อยๆ โอบกอดเขาจากด้านหลัง ไอเยือกเย็นของเทพมังกรจู๋อินวนเวียนอยู่รอบๆ

 

 

ฝูชางพลันหมุนตัวกลับไป แต่แล้วกลับตื่นขึ้นมา สิ่งที่เข้ามาในสายตาคือยอดมุ้งสีอ่อนที่แปลกตายิ่งนัก เขานอนอยู่ในผ้าห่มที่อบด้วยเครื่องหอมจิ่วเหอ[2] น่าจะเป็นเพราะหน้าต่างวงเดือนไม่ได้ปิดไว้ ลมจึงพัดจนม่านพลิ้วปลิวไสว

 

 

เขาเปิดม่านแล้วลงจากเตียง นอกหน้าต่างวงเดือนแสงอาทิตย์สว่างไสว สะพานจากแก้วสีเขียว เสาจากแก้วสีดำ นี่คือทิวทัศน์ของวังสวรรค์

 

 

ประตูห้องพลันถูกเปิดออก เสียงฝีเท้าดังเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ผู้ที่เข้ามาด้านในกลับเป็นเทพขุนนางแปลกหน้าคนหนึ่ง เมื่อเห็นเขาตื่นแล้ว เทพขุนนางคนนั้นก็รีบร้อนคารวะ “ท่านเทพฝูชาง ข้าน้อยเสียมารยาทแล้ว”

 

 

ฝูชางพยักหน้าเป็นการตอบกลับ “ไม่ทราบว่าข้านอนหลับไปนานกี่วันแล้ว”

 

 

“นับตั้งแต่ที่มหาเทพไป๋เจ๋อส่งท่านมาที่วังสวรรค์ ท่านหลับไปห้าวันแล้วขอรับ”

 

 

เทพขุนนางโค้งตัวอีกครั้งแล้วกล่าว “มหาเทพไป๋เจ๋อสั่งการไว้ว่า หากเทพฝูชางตื่นแล้ว เชิญท่านเอากระบี่ฉุนจวินคู่กายท่าน ไปเข้าเฝ้าที่วังเหยียนเหอด้วย”

 

 

นิ้วของเขาชี้ไปที่โต๊ะเล็กใต้หน้าต่างอย่างเคารพ ชุดนักรบสะอาดกับฉุนจวินวางอยู่บนนั้น

 

 

เมื่อเทพขุนนางจากไป ฝูชางก็รีบเปลี่ยนชุด เมื่อจับไปที่ฉุนจวินกลับรู้สึกว่ามีอะไรไม่ถูกต้อง เขาจึงท่องคาถาทันที แล้วต่อมาเงาร่างเพรียวบางที่ถูกย้อมไปด้วยเลือดกว่าครึ่งนั่นก็อ่อนยวบร่วงลงมาในอ้อมอกเขา แน่นิ่งไม่ขยับ

 

 

นางยังไม่ตื่นอีกหรือ

 

 

ฝูชางเปิดผ้าสีดำที่ปิดตาของเสวียนอี่เอาไว้ออก เมื่อลองสังเกตดูสีหน้าอย่างละเอียดแล้ว นางกลับไม่ต่างจากยามปกติ ริมฝีปากแดงฟันขาว ลมหายใจผ่อนยาว เมื่อคลายชุดเปื้อนเลือดของนางออกแล้วใช้สายฝนชำระล้างรอยเลือดบนร่างนางจนสะอาด บนนั้นไร้รอยบาดแผล แผลที่ถูกทำร้ายด้วยธนูของมหาเทพโกวเฉินสมานกันดีแล้ว

 

 

แต่แม้ว่าเขาจะเขย่าร่างนางเบาๆแล้ว นางก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะตื่นขึ้นมาเลย

 

 

ฝูชางขมวดคิ้วมุ่น จัดเสื้อผ้าเปื้อนเลือดของนางให้เรียบร้อย ก่อนจะผลักประตูแล้วสาวเท้าก้าวออกไปอย่างรวดเร็ว

 

 

 

 

[1]เอาหินมาโยนใส่เท้าตัวเอง : เดิมคิดอยากจะทำร้ายคนอื่น แต่กลับกลายเป็นทำร้ายตนเองแทน

 

 

[2]เครื่องหอมจิ่วเหอ : เครื่องหอมที่เหล่าทวยเทพบนสวรรค์ใช้ในตำนานจีนโบราณตามความเชื่อของลัทธิเต๋า กล่าวกันว่าปรุงขึ้นจากเครื่องหอมหลายชนิด