บทที่ 167 ประกาศทั้งแผ่นดิน

บุหลันเคียงรัก

ภายในวังสวรรค์ยังคงเหมือนเช่นแต่ก่อน งดงามและสงบเงียบ ราวกับไม่ได้มีการคุ้มกันแน่นหนาขึ้นเพราะเทพที่เสื่อมเป็นมารตนหนึ่งเลย

 

 

เสวียนอี่ถูกวางลงบนเตียง คราบเลือดทั้งร่างถูกเหล่าเทพีรับใช้ล้างจนสะอาดแล้วเปลี่ยนเป็นชุดยาวตัวบางอ่อนนุ่ม นางนอนตาปิดสนิทราวกับกำลังจะตื่นขึ้นมาอย่างนั้น

 

 

ฝูชางพิงอยู่ข้างเตียงและใช้นิ้วทั้งห้าสางผมให้นางช้าๆ และมองไปยังองค์ชายน้อยและมหาเทพจงซานที่เตียงตรงข้าม

 

 

แผลจากลูกธนูของโฮ่วอี้กลับรุนแรงถึงเพียงนี้ สถานเบาคือหมดสติไปหลายเดือน สถานหนักคือดับสูญทันที อาการขององค์ชายน้อยยังดี แต่ที่หนักคือมหาเทพจงซาน หน้าอกเขาถูกยิงทะลุเป็นรู ยามนี้ราวกับเปลวเทียนกลางสายลมที่พร้อมจะดับได้ทุกเมื่อ

 

 

ด้านหลังนั้นมหาเทพไป๋เจ๋อกับเทพบูรพากำลังจิบชากันเงียบๆ นับตั้งแต่ที่ฝูชางเล่าเรื่องทั้งหมดออกมาแล้ว พวกเขาก็นั่งจิบชาเงียบๆ ไปสามกาแล้ว ตอนนี้กำลังต้มกาที่สี่อยู่

 

 

เพราะฉุนจวินรับฝูชางเป็นนายแล้ว ต่อให้เป็นเทพบูรพาก็ยังไม่สามารถเอาองค์หญิงตระกูลจู๋อินที่ซ่อนอยู่ภายในนั้นออกมาได้ พวกเขารออยู่ในวังเหยียนเหอมาห้าวันแล้ว เดิมก็เตรียมใจเอาไว้แล้ว แต่กลับคิดไม่ถึงว่าเรื่องราวที่แท้จริงกลับเริ่มมาตั้งแต่ยุคก่อนก่อนหน้านี้

 

 

มหาเทพไป๋เจ๋อพลันเอ่ยปากทำลายความเงียบ “ท่าทางอย่างนี้ขององค์ชายน้อยและมหาเทพจงซาน เห็นได้แล้วว่าขนหัวใจของมหาเทพตระกูลชิงหยางก่อนหน้านี้ถูกเก็บกลับไปแล้วสินะ”

 

 

พูดแล้วเขาก็ไม่รอให้ฝูชางกล่าวอะไร แต่ลุกขึ้นแล้วเดินออกไปนอกห้อง ไปหาเทพขุนนางแล้วกล่าวสั่งการอะไร เขากลับมาในภายในตำหนัก เดินไปริมเตียงแล้วลูบมือของเสวียนอี่ ผ่านไปนาน จึงถอนหายใจออกมาด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความเสียดายระคนเห็นใจ “เกล็ดมังกรไม่มีเหลือแล้ว”

 

 

ทั้งวันตาเฒ่าไป๋เจ๋อกลับติดใจแต่เรื่องพวกนี้

 

 

เทพบูรพานิ่งคิดไปครู่หนึ่ง แล้วกล่าวถามว่า “มหาเทพไป๋เจ๋อ เรื่องนี้ท่านว่าองค์จักรพรรดิสวรรค์จะทรงจัดการอย่างไร”

 

 

จากนิสัยของจักรพรรดิสวรรค์ที่ผ่านมา คิดว่าคงอยากจะกดเรื่องนี้เอาไว้ที่สุด แต่เกรงว่าคราวนี้คงจะยาก

 

 

เดิมทีเรื่องที่ไปฆ่าองค์หญิงตระกูลจู๋อินก็ทำไปอย่างวู่วาม เรื่องที่มหาเทพชิงหยวนปล่อยลูกธนูโฮ่วอี้ออกมาก็ยังมารู้ภายหลัง ทางฝั่งนี้องค์หญิงนิสัยประหลาดก็ยังเข่นฆ่าไปมาก ยังรวมไปถึงแม่ทัพผู้คุมไปถึงเก้าคนรวมถึงชิงหยวนและโกวเฉินด้วย แน่นอนว่าเหล่านักรบทั้งหลายไม่พอใจมาก มหาเทพจงซานใกล้ดับสูญ ตระกูลจู๋อินยิ่งไม่พอใจ จักรพรรดิสวรรค์อยากจะปิดบังเรื่องนี้ไว้ ไม่ว่าฝั่งไหนก็ล่วงเกินทั้งนั้น เป็นอย่างนั้นกลับยิ่งไม่ดี จะให้สถานการณ์วุ่นวายไม่ได้

 

 

มหาเทพไป๋เจ๋อยิ้ม นิสัยและการจัดการเรื่องราวของจักรพรรดิสวรรค์ในปัจจุบันเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนแล้ว เขาเด่นในด้านเปลี่ยนไปตามสถานการณ์และใจโลเล ไร้ความเด็ดขาดและการอ่านสถานการณ์ให้ชัดเจน สุดท้ายเรื่องนี้เกรงว่าก็ยังต้องมาปรึกษากับตน

 

 

“เปิ่นจั้วว่า หาโอกาสเอาเรื่องทั้งหมดทั้งหมดทั้งมวลประกาศให้รู้โดยทั่วกันก็ไม่เลว” เขามองไปยังเสวียนอี่บนเตียง “ไม่ว่าอย่างไร ศิษย์คนนี้ของเปิ่นจั้วก็ได้ทำความดีความชอบครั้งใหญ่ที่ยอดเยี่ยมมากเรื่องหนึ่งจริงๆ”

 

 

เทพบูรพาลอบส่ายหัว พูดแบบขอไปทีก็คิดจะถูไถไปหรือ หากตระกูลจู๋อินรับมือได้ง่ายอย่างนี้ ก็คงไม่ทำให้เหล่าเทพทั้งหลายแค้นมาได้นานหลายปีเยี่ยงนั้นแล้ว

 

 

มหาเทพไป๋เจ๋อดีดนิ้ว ถ้วยชาก็ลอยเข้ามาในฝ่ามือ “หายนะทะเลหลีเฮิ่นเกิดขึ้นมาจากสามฝ่ายโดยบังเอิญ ตอนนี้ตระกูลจู๋อินแก้ไขต้นเหตุปัญหาที่ใหญ่ที่สุดของทะเลหลีเฮิ่นไปได้ ทำให้ร่างกายกลายมาเป็นอย่างทุกวันนี้ แดนเทพไม่มีทางไม่สนใจ ตระกูลชิงหยางนั่นก็จะให้เขายืนดูอยู่วงนอกไม่ได้ ในเมื่อสร้างขึ้นจากสามฝ่าย ก็ต้องให้สามฝ่ายรับผิดชอบ จะลำบากก็แต่คนรุ่นหลังของตระกูลจู๋อินเหล่านี้ แต่ก็ไม่มีทางเลือกแล้วเช่นกัน”

 

 

เทพบูรพากลับมีท่าทีประหลาดใจ “มหาเทพชิงหยางที่ถือกำเนิดใหม่ผู้นั้นเกรงว่าท่านมหาเทพไป๋เจ๋อคงต้องยอมให้เขาสามส่วนสินะ”

 

 

ยังไม่ต้องพูดถึงอายุที่แท้จริงและศักดิ์ฐานะ แค่สามารถถือกำเนิดใหม่ได้ ก็เพียงพอที่จะกลายเป็นตำนานได้แล้ว จักรพรรดิสวรรค์เองเกรงว่าก็คงไม่สั่งให้เขาทำอะไร เรื่องเหล่านี้เขาเป็นผู้สร้างขึ้นกับมือ ทั้งยังเพิ่มความแค้นให้กับตระกูลจู๋อิน แล้วจะยอมมาหาความยุ่งยากให้ตัวเองอีกหรือ ยิ่งไปกว่านั้นมองจากจุดยืนของทั้งแดนเทพแล้ว อันที่จริงไม่จำเป็นต้องเข้ามายุ่งกับเรื่องนี้ ถือเสียว่าเป็นการแก้แค้นกันของสองตระกูลจะดีกว่า

 

 

มหาเทพไป๋เจ๋อมองไปยังเสวียนอี่บนเตียงต่อ แล้วกล่าวเสียงเนิบนาบว่า “เปิ่นจั้วเดาว่า แปดเก้าในสิบส่วนเขาคงจะยินยอม”

 

 

ขณะกำลังพูดอยู่นั้น ประตูตำหนักก็พลันเปิดออก เทพขุนนางเดินเข้ามาแล้วโค้งคารวะ “มหาเทพไป๋เจ๋อ องค์จักรพรรดิสวรรค์เชิญท่านให้ไปเฝ้าที่ตำหนักไท่เหอขอรับ”

 

 

ต้องการจะปรึกษาเขาจริงๆ ด้วย ต่อไปคงได้พูดเรื่องประหลาดพิสดารที่เริ่มพัวพันมาจากยุคก่อนก่อนหน้านี้แน่ มหาเทพไป๋เจ๋อดื่มชาหมดถ้วยรวดเดียว ก่อนจะหมุนตัวจากไป

 

 

เทพบูรพาถอนหายใจเบาๆ หันกลับไปมองฝูชาง เขากำลังมององค์หญิงมังกรบนเตียงนิ่ง สายตาเช่นนี้ เขาไม่เคยเห็นมาก่อน

 

 

เขาเดินไปข้างเตียง พินิจมององค์หญิงที่ทำให้ฝูชางหลงใหลจนแทบคลั่งผู้นี้อย่างละเอียด

 

 

ตัวเองกับนางได้เจอหน้ากันเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น ในความทรงจำนางคือองค์หญิงน้อยที่มีเรื่องราวในใจมากมายผู้หนึ่ง ตระกูลจู๋อินมักจะชอบทำอะไรประหลาด ไม่เหมาะสมเป็นคู่ชีวิต เขาไม่ได้ชอบมากนัก เมื่อรวมกับที่ฝูชางเปลี่ยนไปไม่น้อย เขาจึงยิ่งไม่ชอบเข้าไปอีก

 

 

แต่ว่านางมีหัวใจบริสุทธิ์มีเมตตา จุดนี้เขาชอบมาก คราวนี้นอนหลับแล้ว ไอสังหารเยือกเย็นที่ฉาบทับบนใบหน้าไม่มีแล้ว มองแล้วเสมือนกับเทพธิดาตัวน้อยที่บริสุทธิ์ไร้เดียงสามิปาน

 

 

เทพบูรพามองไปที่ฝูชาง คิดว่าตระกูลหวาซวีหากได้ปักใจกับผู้ใดแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องยืนกรานถึงที่สุด จุดนี้ฝูชางเหมือนกับเขาไม่มีผิดเพี้ยน

 

 

เขาตบบ่าของฝูชาง แล้วกล่าวเสียงอบอุ่น “ในเมื่ออยากจะอยู่เป็นเพื่อนนาง ก็อยู่ไปดีๆ แล้วกัน ข้าไปก่อนแล้ว”

 

 

เห็นฝูชางลุกขึ้นคารวะ เขาก็ยิ้มแล้วกล่าวอีก “ปราณกระบี่แปลงเป็นมังกรก่อนหน้านี้ไม่เลวเลย ท่านแม่เจ้าเองก็ชื่นชมไม่ขาดปากทีเดียว”

 

 

วิถีกระบี่ตระกูลหวาซวีจะต้องรุ่งโรจน์ในมือของเขาแน่นอน ไม่ว่าเหตุผลที่ดิ้นรนนั้นคืออะไรก็ตาม

 

 

 

 

เพราะการปราบเทพเสื่อมเป็นมารครั้งที่แล้วเกิดเรื่องไม่คาดฝันอย่างใหญ่หลวง ทำให้นักรบดับสูญไปมากมาย กอปรกับที่ราชามารที่โลกเบื้องล่างต่างพากันหลบซ่อนตัว ไม่ยอมออกมาสร้างความวุ่นวาย นักรบทั้งหนึ่งร้อยยี่สิบหน่วยต่างก็ได้รับคำสั่งให้กลับมาแดนเทพ และจากนั้นข่าวลือมากมายก็ค่อยๆ ปะทุขึ้นมา

 

 

ข่าวที่องค์หญิงตระกูลจู๋อินที่เสื่อมจากเทพลงเป็นมารสังหารนักรบไปมากมายแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว จากที่ฆ่าไปเก้าก็เปลี่ยนไปเป็นเก้าร้อย จักรพรรดิสวรรค์ยังรับเอาตระกูลจู๋อินทั้งตระกูลเข้าไปในวังสวรรค์อีก ดูแล้วราวกับอยากจะกดเรื่องนี้เอาไว้อย่างนั้น ทำให้จิตใจของเทพบนแดนเทพต่างหวาดกลัวไม่สงบสุข

 

 

ได้ยินว่าหน่วยที่ถูกฆ่าเหล่านั้นต่างไปที่หน้าประตูวังสวรรค์เพื่อคัดค้านทุกวัน ขอร้องให้จักรพรรดิสวรรค์ส่งตัวเทพเสื่อมเป็นมารออกมา แล้วฆ่าทิ้งเสียเพื่อระงับโทสะของเหล่าเทพ สร้างความวุ่นวายอย่างใหญ่หลวง ทำให้ตอนนี้ประตูวังสวรรค์กล้าเปิดได้แค่บานเดียวเท่านั้น และตั้งแต่แรกจนจบ จักรพรรดิสวรรค์สวรรค์ก็ยังไม่มีท่าทีอะไร

 

 

“ล้วนแต่เป็นพวกที่กินอิ่มหนำสำราญไม่มีอะไรทำกันทั้งนั้น” กูถิงให้คำประเมินไว้ประโยคหนึ่งอย่างโมโห

 

 

หากไม่ใช่เพราะเสวียนอี่แก้ไขปัญหาของทะเลหลีเฮิ่น ตอนนี้คิดว่าพวกเขาก็คงยังต้องอยู่ที่โลกเบื้องล่างและวุ่นวายต่อสู้กับราชามารกันอย่างบ้าคลั่ง ยังจะมีเวลาว่างมาคัดค้านที่วังสวรรค์กันหรือ ยิ่งไปกว่านั้นตระกูลจู๋อินยังเป็นพวกให้ท้ายลูกหลานตัวเองด้วย ฆ่าหนึ่งคนทั้งตระกูลเคลื่อนไหว พวกเขาจะสู้กับตระกูลจู๋อินทั้งสามคนได้หรือ

 

 

ไท่เหยารับเอาส้มกลีบหนึ่งที่เหยียนสยาปอกแล้วยื่นมาให้ แย้มยิ้มแล้วกล่าวว่า “เรื่องที่จะประกาศให้ทั้งแผ่นดินรู้ เกรงว่าเสด็จพ่อคงจะยังลังเลอยู่ อย่างไรฐานะของเซ่าอี๋ก็พิเศษมาก”

 

 

เมื่อพูดถึงเซ่าอี๋ กู่ถิงก็รู้สึกว่าไม่รู้จะใช้อารมณ์ไหนมาบรรยายได้ขึ้นมา มหาเทพชิงหยางของรุ่นก่อนๆ ที่ถือกำเนิดใหม่ มาแอบลอบเป็นชู้กับคู่หมั้นของเขา ทำให้คู่รักคนปัจจุบันของเขาต้องลงไปตัดสัมพันธ์ที่โลกเบื้องล่าง เขาไม่สามารถกล่าวความรู้สึกในใจออกมาได้จริงๆ

 

 

“หากการกระทำทั้งหมดที่เขาทำถูกคนทั่วทุกสารทิศล่วงรู้เข้า ชื่อเสียงเขาได้ไม่เหลือชิ้นดีแน่” กู่ถิงกล่าวเสียงขึ้นจมูก “เขาคงบีบไม่ให้องค์จักรพรรดิสวรรค์กล่าวเรื่องนี้ออกมาสินะ”

 

 

ไท่เหยากลับส่ายหน้า “เปล่า เขา…จนถึงตอนนี้เขายังไม่โผล่หน้าออกมาเลย”