อาการของมหาเทพจงซานทรุดลงทุกวัน เสวียนอี่ก็ยังคงนอนหลับไม่ได้สติ มหาเทพไป๋เจ๋อได้ส่งจดหมายไปยังเมืองฉยงซางนานแล้ว แต่กลับไร้การตอบกลับ คิดว่ามหาเทพชิงหยางที่ไร้หัวใจคนนี้คงคิดจะทรมานตระกูลจู๋อินให้ถึงที่สุด
ไท่เหยากล่าวเสียงเข้มว่า “จริงๆ แล้วข้าว่า เขาคงไม่สนใจเรื่องชื่อเสียงเสียหายนักหรอก”
เดิมชื่อเสียงของเซ่าอี๋ก็ไม่เคยดี ถึงแม้จะกล่าวว่าเทพก็เสเพลหลงระเริงกันฝังในกระดูกอยู่แล้ว แต่ว่าเทพที่เสเพลมักจะไม่ใช่เทพมีชื่อเสียงอะไร หากว่าเขาสนใจคงเพลาๆ ลงบ้างแล้ว บวกกับเพื่อให้ได้อย่างที่ตนต้องการกลับไม่สนวิธีการ อีกทั้งยังเป็นถึงมหาเทพรุ่นก่อนๆ ที่ถือกำเนิดใหม่มาอีก เขามีลางสังหรณ์ว่าต่อไปเซ่าอี๋คงไม่เพียงแต่จะไม่เปล่าเปลี่ยวเงียบเหงา คิดว่าอาจจะยิ่งเสพสุขปล่อยตัวตามใจยิ่งกว่าตอนนี้เสียอีก
กู่ถิงโมโหจนไม่อยากกล่าวถึงเขาแล้ว จึงเปลี่ยนหัวข้อ “ในเมื่อเสวียนอี่ถูกรับเข้ามาในวังสวรรค์แล้ว ศิษย์พี่หญิงจื่อซีเองก็ควรจะถูกปล่อยตัวออกมาได้แล้วสินะ”
ไท่เหยากลับยิ่งขมวดคิ้ว “ปล่อยตัวออกมาตั้งแต่เมื่อสามวันก่อนหน้านี้แล้ว แต่นางกลับไม่ยอมออกไป”
ภายหลังเขายังไปที่คุกสวรรค์อีกครั้งด้วย และพูดเรื่องราวทั้งหมดทั้งมวลให้จื่อซีฟัง นางฟังไปก็น้ำตาไหลไปเงียบๆ เมื่อฟังจบกลับไม่มีน้ำตาอีกแล้ว แต่ใบหน้าของนางกลับสงบราบเรียบแทน
“เสวียนอี่ยังไม่ตื่นสินะ” นางนั่งเหยียดตรงอยู่บนพื้นที่เยือกเย็นของคุกสวรรค์ นางก้มหน้าต่ำราวกับนักโทษที่กำลังชดใช้ความผิด “นางฟื้นขึ้นมาเมื่อไหร่ ข้าก็จะออกไปจากที่นี่เมื่อนั้น”
ดังนั้น กระทั่งไท่เหยาเองก็ยังได้แต่ต้องถอนหายใจ
ศิษย์ตำหนักหมิงซิ่งในรุ่นพวกเขานี้มีศิษย์หญิงทั้งหมดสี่คน สามคนต่างก็ถูกเซ่าอี๋ทำเสียจนหลงใหลคลั่งไคล้เสียสติไปหมด กู่ถิงไม่รู้ว่าควรจะแสดงอารมณ์ไหนออกมาดี มองอย่างนี้ กลับเป็นมารตัวน้อยเสวียนอี่ที่มีสายตาเฉียบคมที่สุด นางเพียงพัวพันกับฝูชางแทบเป็นแทบตายอยู่คนเดียวเท่านั้น
เขาจึงได้แต่ต้องเปลี่ยนหัวข้ออีกรอบ หวังว่าคราวนี้จะไม่ไปเกี่ยวกับเซ่าอี๋อีก “เสวียนอี่นอนหลับไปนานไม่ยอมตื่นนี่มันอะไรกัน อาจารย์ได้กล่าวอะไรบ้างไหม”
นับตั้งแต่ที่พานางกลับมาวังสวรรค์ จนถึงตอนนี้ผ่านมาประมาณสิบวันแล้ว ปกติหากพลังเทพหมดก็ไม่ได้นอนหลับกันนานขนาดนี้ อาการอย่างนี้ดูแล้วไม่ดีนัก
“อาจารย์เพียงแค่คาดเดา อาการของเสวียนอี่ไม่เหมือนกับราชาก้งกงในตอนนั้น ร่างของนางไม่ได้สร้างไอขุ่นมัว แต่เป็นเพราะดูดกลืนทะเลหลีเฮิ่นมา จึงไม่นับว่านางกลายเป็นเผ่ามาร แต่ว่าก็ไม่ถือว่าเป็นเทพ ตอนนี้หลับใหลไม่ได้สติ บางทีอาจจะเป็นเพราะนางโมโหจนใช้พลังทั้งหมดจนเกลี้ยง เห็นว่าคราวนี้ในร่างว่างเปล่าไม่มีอะไร ไม่รู้สึกถึงทั้งพลังเทพและไอขุ่นมัว”
กู่ถิงฟังอย่างไม่เข้าใจนัก อะไรคือ “ใช้จนหมด” และอะไรคือ “ว่างเปล่าไม่มีอะไร” ทำไมฟังดูแล้วไม่ดีนัก เขาอดที่จะสูดลมหายใจลึกไม่ได้ “คงไม่ใช่ว่าจะนอนตลอดไม่ตื่นหรอกนะ”
เหยียนสยาเคาะหัวเขาจากด้านหลัง “ปากอีกา![1] ศิษย์น้องหญิงเล็กไม่เป็นอย่างนั้นหรอก!”
กู่ถิงรู้ตัวว่าตนพูดผิดไป จึงยิ้มแล้วกล่าวทันทีว่า “ไม่ใช่แน่นอน แม้จะทำเพื่อศิษย์พี่หญิงจื่อซี นางก็คงไม่มีทางที่จะหลับไม่ตื่นหรอก”
ยิ่งกว่านั้นยังมีฝูชางอีก พูดตามตรง ตอนนี้นึกย้อนดูแล้ว มีเพียงแค่ตอนที่ฝูชางอยู่กับเสวียนอี่เท่านั้นที่แววตาและอารมณ์ของฝูชางจะดูมีชีวิตชีวาเป็นพิเศษ ตอนแรกเริ่มที่เขารู้จักฝูชาง เขาเย็นชา นิ่งขรึมและโดดเดี่ยว
แต่ก่อนเขาไม่หวังเลยว่าฝูชางกับเสวียนอี่จะไปด้วยกันได้ ตอนนี้เขากลับหวังอย่างมากว่า พวกเขาทั้งสองจะสามารถอยู่ด้วยกันไปตราบนานเท่านาน
…
ฝึกฝนกระบี่ตลอดทั้งเช้าที่ริมสะพานแก้วสีเขียว ฝูชางลูบเหงื่อแล้วกลับไปยังวังเหยียนเหอ จึงได้เห็นมหาเทพเจ๋อที่มักจะกล่าวว่ายุ่งตลอดเวลานั้นกลับมาแต่เช้า และนั่งจิบชาอ่านหนังสืออยู่บนเก้าอี้อย่างไม่มีอะไรทำ ตอนนี้เขาสงสัยแล้วว่าที่อาจารย์กล่าวว่ายุ่งก่อนหน้านี้นั้นอาจจะเป็นแค่ข้ออ้าง
ดูแล้วองค์ชายน้อยที่อยู่บนเตียงตรงข้ามน่าจะเพิ่งได้สติ เขานั่งเหยียดตรง ไม่ได้สวมเสื้อ เผยร่างท่อนบนที่กำยำผึ่งผายออกมา บาดแผลที่บ่าซ้ายของเขาแม้ว่าจะไม่ใหญ่ แต่ว่าบ่าทั้งบ่ากลับเต็มไปด้วยเลือดสดๆ นี่ก็คือความแค้นเคืองของมนุษย์ที่แฝงมากับลูกธนูของโฮ่วอี้ เกรงว่าต้องใช้เวลาหลายสิบปีถึงจะสามารถขจัดได้หมด
อารมณ์ขององค์ชายน้อยดูแล้วไม่ได้ดีขึ้นเลยสักนิด หว่างคิ้วเต็มไปด้วยความเศร้า แววตาของเขามองสลับไปมาระหว่างร่างของท่านพ่อและน้องสาวตัวน้อยอยู่เงียบๆ
มหาเทพไป๋เจ๋อยังจะราดน้ำมันลงบนกองเพลิงอีก “มองไปพวกเขาก็ไม่ได้ดีขึ้น พักผ่อนดีๆ เถอะ”
ชิงเยี่ยนไม่แม้แต่จะสนใจเขา
มหาเทพไป๋เจ๋อลอบถอนหายใจ แปลกจริง หรือว่าเขาคาดการณ์ผิดไป ที่คาดเดาจากคำกล่าวของจื่อซี ทั้งๆ ที่เซ่าอี๋รู้สึกกับเสวียนอี่ต่างออกไปแท้ๆ แต่ก็ยังอำมหิตขนาดส่งเสวียนอี่ไปบนเส้นทางแห่งการดับสูญ หรือว่าครั้งนี้เขาก็ยังจะใจดำอีกงั้นหรือ มหาเทพชิงหยางรุ่นก่อนๆ คนนี้ ช่างมีใจที่อำมหิตต่ำช้าราวกับเหล็กหินเยี่ยงนี้จริงๆ
ฝูชางนั่งลงข้างเตียงแล้วลูบผมของเสวียนอี่ นางยังไม่ตื่น แต่เปลี่ยนท่านอนเป็นท่าตะแคงข้างแล้ว ฝ่ามือขาวราวหยกวางลงไปตรงหน้าอก เขากุมนิ้วหนึ่งของนางเอาไว้และลูบไล้อย่างแผ่วเบา
กลับได้ยินชิงเยี่ยนกล่าวเสียงต่ำว่า “ได้ยินว่าอาอี่ฆ่ามหาเทพชิงหยวนกับมหาเทพโกวเฉินไป เป็นเรื่องจริงหรือ”
ฝูชางพยักหน้าเงียบๆ เขาไปขวางไว้ไม่ทัน ไม่อย่างนั้นนางก็คงจะไม่ถึงกับหลับไม่ตื่นอย่างนี้
ชิงเยี่ยนหลับตาลง น้องสาวตัวน้อยของเขาคนนี้มักจะเก็บงำทุกอย่างไว้ในใจเสมอ และก็มักจะมีแต่นางที่ไปทำตลอด พวกเขาถึงจะเข้าใจความรู้สึกของนางที่ไม่เคยกล่าวออกมาเหล่านั้น
“รอให้จักรพรรดิสวรรค์ตัดสินเรื่องนี้เสร็จสิ้นแล้ว เจ้าก็พาเสวียนอี่ไปเถอะ” ชิงเยี่ยนกล่าวเสียงเย็น “อย่าให้นางอยู่ที่เขาจงซาน ที่นั่นไม่ใช่ที่ที่ดี”
ฝูชางเงียบไปครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “ที่นั่นคือบ้านของนาง”
ก็แค่บ้านที่พังทลายเท่านั้น น้องสาวตัวน้อยปีนี้เพิ่งจะมีอายุได้แค่สามหมื่นสามพันปีเท่านั้น เทพธิดาทั่วๆ ไปตอนที่มีอายุเท่านี้ยังคงแง่งอนออดอ้อนท่านพ่อท่านแม่ของตนอยู่เลย แต่นางกลับไปที่ทะเลหลีเฮิ่นตามลำพังเพื่อท่านพ่อและพี่ชาย ทรมานตัวเองเสียจนเป็นอย่างนี้ เห็นท่านแม่ดับสูญไปกับตา แล้วยังต้องมาเห็นท่านพ่อดับสูญกับตาอีก เขาจงซานไม่ใช่ที่ที่ดีเลย ให้นางอยู่เขาชิงซานที่เขียวขจีของวังเทพบูรพาอย่างไร้ความทุกข์ความกังวลเถอะ
“ท่านพ่อกำลังจะดับสูญ เรื่องงานแต่งของอาอี่ข้าจะเป็นผู้จัดการเอง ข้ายกนางให้เจ้าแล้ว”
ชิงเยี่ยนกล่าวจบก็ไม่กล่าวอะไรอีก พลิกตัวนอนลงบนเตียงแล้วหลับตาลงอีกครั้ง
งานแต่งที่เศร้าใจอย่างนี้ จะต้องไม่ใช่สิ่งที่องค์หญิงมังกรอยากได้แน่ และยิ่งไม่ใช่สิ่งที่เขาอยากได้ด้วย เขาหวังจะให้นางแต่งเข้ามาที่วังเทพบูรพาด้วยสีหน้ายิ้มแย้มเต็มไปด้วยความสุข ไม่ใช่เต็มไปด้วยหยาดน้ำตา เพียงแต่ เรื่องทุกเรื่องที่นางประสบนั้น เกรงว่าคงยากที่จะยิ้มออกมาได้อย่างไร้ทุกข์ไร้กังวลแน่
ฝ่ามือของฝูชางแนบไปกับใบหน้าที่อ่อนนุ่มเยือกเย็นของนาง ปลายนิ้วแตะลงไปบนขนตาหนาของนางทีละเส้นๆ ตอนนี้อย่าเพิ่งตื่นขึ้นมาเลย นอนต่อเถอะ ไม่อย่างนั้นเห็นมหาเทพจงซานดับสูญไป นางก็ต้องเสียใจอีก
เสียงฝีเท้ารีบร้อนดังมาจากสะพานแก้วสีเขียว เทพขุนนางผู้หนึ่งรีบเดินเข้ามาในวังเหยียนเหอแล้วโค้งคารวะ “มหาเทพไป๋เจ๋อ มีแขกมา”
อ้อ มาแล้วหรือ มหาเทพไป๋เจ๋อรีบวางหนังสือมือลง แล้วกระโดดลงจากเก้าอี้ไม้ “เชิญเข้ามา”
ไม่นาน ก็เห็นเทพในชุดคลุมยาวสูงศักดิ์สีดำสลับทององค์หนึ่งเดินบนสะพานแก้วสีเขียวมาช้าๆ อัญมณีสีแดงเพลิงที่หน้าผากของเขาสั่นไหวไปตามจังหวะการเดิน ผมยาวที่มักจะปล่อยยาวสยายลงมา วันนี้กลับใช้ด้ายสีทองมัดเปียเส้นหนึ่งแล้วพาดไว้ที่ไหล่ซ้าย ปลายของมันห้อยหงส์หินโมราที่ประณีตงดงามเอาไว้ด้วย
เสียงฝีเท้าเข้ามาใกล้เรื่อยๆ เสียงของเซ่าอี๋ก็พลันดังขึ้น “อาจารย์ ไม่ได้เจอกันนานเลย”
มหาเทพไป๋เจ๋อมองพื้นด้วยท่าทีนิ่งขรึมและลึกล้ำ ใบหน้าที่ทั้งคุ้นเคยและแปลกหน้า เขาถูกมหาเทพที่มีศักดิ์ฐานะมากกว่าตนผู้นี้เรียกว่าอาจารย์มาหลายพันปี คราวนี้ฐานะเปิดเผยออกมาแล้ว เขากลับยังเรียกตนว่าอาจารย์อีก
นิสัยของเขาตนไม่ได้ชอบนัก และยังไม่ชอบนิดๆ ด้วย แต่ว่าแผนการละเอียดรอบคอบที่เขาวางมา ใช้วิธีที่ทั้งต่ำช้าและเยือกเย็นไร้น้ำใจ ทำเรื่องใหญ่สะเทือนฟ้าสะเทือนดินภายใต้หนังตาของเหล่าเทพอย่างเงียบเชียบ ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ
มหาเทพไป๋เจ๋ออดไม่ได้กล่าวว่า “ถือกำเนิดใหม่รู้สึกอย่างไรบ้าง”
เซ่าอี๋ชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะหลุดหัวเราะออกมา “ตอนนี้พูดเรื่องนี้ดูจะไม่ค่อยถูกเวลาไปสักหน่อยกระมัง”
อืม ไม่ค่อยถูกเวลานัก มหาเทพไป๋เจ๋อชี้ไปภายในตำหนักแล้วกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ทำเรื่องที่เหมาะต่อเวลาเถอะ”
—
[1]ปากอีกา : หมายถึงปากปีจอ ปากเสีย