ตอนที่ 270 เอาใจภรรยา
ตอนที่ 270 เอาใจภรรยา

หัวหน้าขันทีได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากคนรอบข้าง ความมั่นในหัวใจของก็พลันทะยานพุ่งขึ้นอย่างแรง และเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “องค์ชายสาม คุณหนูใหญ่จ้าวผู้นี้ไม่เห็นพระสนมอยู่ในสายตา ท่านโปรดหลีกทางให้พวกเราด้วย ให้พวกเราได้สั่งสอนนางด้วยเถิด!”

สายตาของผู้คนที่อยู่รอบข้างเห็นฉีเฉิงเฟิงจับแขนซูหวานหว่านเอาไว้ แล้วก็จึงเอ่ยขึ้นอีกด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เมื่อครู่ข้าพูดว่าอะไร เจ้าอยากจะให้ข้าทวนอีกรอบงั้นรึ?”

แววตาสุกใสของฉีเฉิงเฟิงพลันเย็นยะเยือกลง สายตานั้นทำให้หัวใจของขันทีผู้นั้นสั่นสะท้าน หากเมื่อลองคิดดู ความหมายเมื่อครู่ของฉีเฉิงเฟิง…คือไม่ให้พวกเราแตะต้องตัวซูหวานหว่านหรอกหรือ แต่ว่าพระสนมสั่งให้พวกเขาสั่งสอนนาง! เช่นนี้หน้าผากของเขาจึงมีเหงื่อไหลซึมออกมา “องค์ชายสาม แต่ว่านี่คือคำสั่งของพระสนม ท่านกำลังทำให้พระสนมอับอาย!”

เหล่าขันทีอ้างชื่อสือซีเอ๋อร์ออกมาแล้ว ฉีเฉิงเฟิงจะไม่ฟังเลยหรือ? ทุกคนกลั้นหายใจมองฉากสนุกตรงหน้า แต่ก็เห็นฉีเฉิงเฟิงยังคงนิ่งเงียบ ใบหน้าเต็มไปด้วยความไม่พอใจ

“องค์ชาย สตรีนางนี้ไม่เคารพข้า อีกทั้งยังไม่เคารพอัครเสนาบดีสือ เจ้าลงโทษนางแทนข้าเถอะ!” สือซีเอ๋อร์กล่าว คนรับใช้ยกเก้าอี้เข้ามา นางนั่งลงและมาไปที่ฉีเฉิงเฟิงด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความรอคอย

ผู้คนที่อยากรู้อยากเห็นเริ่มวิพากวิจารณ์อีกครั้งอย่างอดไม่ได้ “โอ้ สวรรค์! ข้าว่านะ องค์ชายสามจะต้องสั่งสอนคุณหนูใหญ่จ้าวแน่! อย่างไรเสียพระสนมก็คือแม่แท้ ๆ ของตนเอง! ส่วนอัครเสนาบดีสืออย่างไรก็คือน้าของตนเอง!”

“คุณหนูใหญ่จ้าวช่างเลวร้ายจริง ๆ เช่นนี้แล้วต้องโดนชายที่ตนเองรักสั่งสอนเสียแล้ว!”

“…”

ซูหวานหว่านได้ยินคำพูดเหล่านี้ ก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองฉีเฉิงเฟิง เมื่อเห็นคิ้วของเขาขมวดแน่น หัวใจก็รู้สึกอึดอัดขึ้นมา และอดคิดไม่ได้ว่าฉีเฉิงเฟิงคงจะเชื่อฟังคำพูดของพระสนม จึงเอ่ยว่า “องค์ชายสาม คาดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะเป็นลูกแหง่ติดแม่ วันข้างหน้าข้าขอให้เจ้ากับพระสนมมีวันที่ดีด้วยกันก็แล้วกัน! หลังจากนี้หวังว่าจะไม่ได้พบกันอีก!”

“ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าพูดอะไรแบบนี้!” ฉีเฉิงเฟิงรู้สึกไร้หนทาง และดึงซูหวานหว่านเข้ามาในอ้อมกอดของตนเองเบา ๆ ชายหนุ่มก้มลงลูบผมซูหวานหว่านแผ่วเบา และเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าเย็นชา “เจ้าพูดดี ๆ ว่าใครคือลูกแหง่ติดแม่กัน”

นางยังต้องอธิบายอีกเหรอ? หญิงสาวรู้สึกหงุดหงิด ไม่อยากเอ่ยคำใด แต่ตอนที่เห็นดวงตาเปร่งประกายของฉีเฉิงเฟิงก็อดไม่ได้ที่จะใจอ่อน “เจ้าเชื่อฟังแม่ของเจ้าขนาดนี้ นางให้เจ้าทำอะไรเจ้าก็ทำเช่นนั้น ทำตามนางทุกอย่าง เชื่อฟังนางทุกอย่าง เช่นนี้ไม่ใช่ลูกแหง่เหรอ หากไม่ใช่จะเรียกว่าอะไร?”

“หื้อ?” ความสังสัยในสายตาของเขาพลันจางหายไป หลังจากนั้นก็ยื่นมือข้างนึงไปลูบจมูกของซูหวานหว่าน “ข้ายอมแล้ว หากเจ้าเกลียดลูกแหง่เช่นนี้ งั้นข้าจะไม่ฟังคำพูดของนางแล้ว

คำพูดนี้ต่างหากทำให้พวกสอดรู้สอดเห็นตกใจ และก็ทำให้พระสนมตกใจเช่นกัน “องค์ชาย เจ้าจะไม่ฟังคำพูดของแม่เพียงเพราะผู้หญิงคนนี้รึ?”

พระสนมเอ่ยออกมาเช่นนี้ ทันใดนั้นก็คิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงเอ่ยออกมาด้วยความขุ่นเคือง “ไม่ใช่ว่าเจ้าไปฉีเป่ยเมื่อบ่ายแล้วหรอกหรือ? เหตุใดถึงมาอยู่ที่นี่ได้? อย่าบอกว่าเพื่อผู้หญิงคนเดียวเจ้าเลยไม่ไปฉีเป่ย? เจ้าทำให้เข้ารู้สึกผิดหวังมากจริง ๆ”

“ท่านแม่ ท่านพูดเช่นนี้…” แต่ละคำเอื้อนเอ่ยออกมาอย่างช้า ๆ ตอนแรกพวกเขาคิดว่าฉีเฉิงเฟิงจะเอ่ยขอโทษ แต่แล้วก็ได้ยินฉีเฉิงเฟิงพูดว่า “สิ่งที่ท่านพูดนั้นถูกต้องแล้ว”

พูดจบ ฉีเฉิงเฟิงก็จับมือซูหวานหว่านขึ้นมาเป่าลมใส่เพื่อคลายความหนาวให้นาง “พวกเรากลับบ้านกันเถอะ”

“ได้” ซูหวานหว่านตอบตกลง จากนั้นก็พาแม่จ้าวและฉีเฉิงเฟิงเดินจากไป

เมื่อมีฉีเฉิงเฟิงเดินตามไป ขันทีเหล่านั้นก็ไม่กล้าเข้ามาขัดขวาง สือซีเอ๋อมองแผ่นหลังของฉีเฉิงเฟิงและคนอื่นเดินจากไป ใบหน้าของนางก็หมองหม่นลง นางสบตากับอัครเสนาบดีสือ เอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “เมื่อวานไม่ได้เชิญข้ามาเพื่อดูเรื่องสนุกงั้นหรอ? แล้วเห็นใดถึงให้ข้าดูเรื่องสนุกของตนเองแทน?”

“พระสนม หญิงคนนี้ร้ายกาจและเจ้าเล่ห์นัก พวกเรายังต้องการแผนการอื่น!” อัครเสนาบดีสือกล่าว หน้าผากมีเหงื่อไหลซึมออกมาไม่หยุด อีกทั้งยังไม่กล้าพูดสิ่งใดมากนัก จึงทำได้เพียงเอ่ยด้วยน้ำเสียงสำนึกผิด

เรื่องราวที่เกิดขึ้นภายในวันนี้ได้ทำลายข่าวลือที่ว่าฉีเฉิงเฟิงเชื่อฟังคำพูดของพระสนมเสียจนสิ้น ในสายตาของหญิงสาวหลายคน ฉีเฉิงเฟิงกลายเป็นชายหนุ่มที่รักและเอาใจภรรยา

มีเพียงซูหวานหว่านที่สงสัยว่าฉีเฉิงเฟิงและพระสนมเป็นเพียงแม่ลูกกันในนาม เหตุใดพระสนมถึงบังคับให้ฉีเฉิงเฟิงลงมือกับคนที่รักต่อหน้าผู้อื่นไม่ได้? แล้วเหตุใดชายหนุ่มถึงไม่ไว้หน้าพระสนมต่อหน้าผู้อื่น?

เกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อกลับมาถึงบ้านตระกูลจ้าว ฉีเฉิงเฟิงก็ไม่ยอมอธิบายเรื่องเหล่านี้ให้กับซูหวานหว่านฟัง ชายหนุ่มพูดเพียงว่า “ทุกสิ่งที่เห็นด้วยตาของตนเองอาจจะไม่ใช่เรื่องจริงเสมอไป ข่าวลือที่ได้ยินมาก็ไม่ได้ผิดเสมอไป ความสัมพันธ์ระหว่างข้ากับพระสนมไม่ได้ดีอย่างที่ใคร ๆ กล่าว ตอนเข้าไปยังตำหนักองค์ชายสาม และออกจากวัง ปีหนึ่งได้พบนางเพียงสองสามครั้งเท่านั้น”

ระหว่างที่พูดแววตาของเขาก็เต็มไปด้วยความเหงา ซูหวานหว่านรู้เรื่องบางเรื่องก็ไม่ควรถาม จึงไม่ให้ฉีเฉิงเฟิงพูดอะไรออกมาอีก

พลันใดนั้นซูหวานหว่านก็คิดอะไรบ้างอย่างขึ้นมาได้ “เจ้ารู้เรื่องคดีศพไร้หน้าไม่กี่วันมานี้หรือไม่?”

“คดีนี้เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อเดือนก่อน” ฉีเฉิงเฟิงกล่าว คิ้วพลันขมวดเข้าหากัน “ไม่รู้แน่ชัดว่าคนฆ่าเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง คนในเมืองหลวงบอกว่าไม่เคยเห็นฆาตกรมาก่อน”

ซูหวานหว่านนึกถึงศพที่พบเจอในวันนี้ นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงบอกทักษะภาพลวงตาของสือฉินเอ๋อร์ให้ฉีเฉิงเฟิงได้รับรู้ และคิดว่าเรื่องนี้มีความเกี่ยวข้องกับสือฉินเอ๋อร์ แต่ยังรู้สึกว่ามันแปลกประหลาด ในวันที่นางทะเลาะกับอีกฝ่ายที่ข้างทะเลสาบ อย่างไรก็ตามนอกจากภาพลวงตาของสือฉินเอ๋อร์แล้ว ทุกอย่างก็เหมือนคนปกติทั่วไป พลังของนางไม่ได้มากกว่าคนทั่วไป ไม่สามารถฆ่าชายหนุ่มร่างกายสูงแปดฉื่อ และลากเข้าไปในตัวเมืองหลวงได้

แล้วไหนจะแรงจูงใจของคนทั้งสองอีก พระสนมกับอัครเสนาบดีต้องการอันใดจากนางกันแน่ เหตุใจพวกเขาจึงต้องการจะกำจัดนาง?

อย่างไรก็ตามทั้งสองไม่ได้พูดคุยกันเป็นเวลานาน ด้วยแม่จ้าวได้ให้คนมานำขนมมาให้พวกเขาสองกินรองท้องระหว่างรอมื้อเย็น

ฉีเฉิงเฟิงกินขนมไปหนึ่งคำ ทันใดก็คิดอะไรขึ้นมาได้จึงดึงซูหวานหว่านให้ลุกขึ้น “ข้าจะพาเจ้าไปดูอะไรบางอย่าง เจ้าต้องดีใจมากแน่ ๆ”

“อะไรงั้นเหรอ?” ซูหวานหว่านรู้สึกสงสัย แต่ฉีเฉิงเฟิงก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา ทำเพียงแค่ขยิบตาให้ซูหวานหว่าน “เจ้าไปถึงก็จะรู้เอง”

“เรื่องน่าตื่นเต้น?” หญิงสาวเอ่ยถาม และปล่อยให้ฉีเฉิงเฟิงลากขึ้นม้าไป

เมื่อผ่านหัวมุมบ้านตระกูลจ้าวไป ซูหวานหว่านก็เปิดม่านขึ้นพบกับหญิงสาวร่างกายมอมแมม ร่างกายผอมโซนอนอยู่มุมถนน เมื่อเห็นแบบนี้ซูหวานหว่านก็นิ่งงันไป นี่ไม่ใช่สือฉินเอ๋อร์ที่หายตัวไปหรอกเหรอ?

ซูหวานหว่านครุ่นคิดอีกครั้ง ก็สั่งให้รถม้าหยุดลงและเดินเข้าไปพร้อมกับฉีเฉิงเฟิง ทันใดนั้นหิมะก็ตกลงมา ทำให้นางรีบยกมือขึ้นมาปิดใบหน้า

เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ซูหวานหว่านก็พบว่าตนเองอยู่ภายในทะเลหิมะ ส่วนสือฉินเอ๋อร์ที่ถูกรายล้อมไปด้วยผู้คนได้หายไปแล้ว

ซูหวานหว่านรู้สึกปวดหัว ทันใดนั้นก็เห็นดาบเล่มหนึ่งส่องแสงแวววาวกำลังพุ่งตรงมาทางตน!!!