ภาคที่ 2 บทที่ 142 ผ่าตัด

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 142 ผ่าตัด

เมื่อเจียงหานเฟิงมองซูเฉินที่เคลื่อนร่างผีเยวี๋ยนหงเข้าไปในถ้ำแล้ว เขาก็ชะงักไป ก่อนจะกัดฟันแน่น “บัดซบ ถ้าต้องทำข้าก็ต้องทำได้สิ ข้าไม่เชื่อว่าตนเองจะทำไม่ได้ !”

เจียงหานเฟิงหยิบของมากมายออกจากแหวนต้นกำเนิดและเริ่มวางค่ายกลทันที

เขาก็เหมือนกับซูเฉิน เจียงหานเฟิงไม่ได้นำแผ่นรูปแบบต้นกำเนิดสมบูรณ์ติดตัวมาด้วย แต่นำของในการสร้างมันติดตัวมาแทน ไม่เช่นนั้นการนำปรมาจารย์ค่ายกลเข้ามาด้วยก็ไร้ประโยชน์

แต่เขาไม่ได้คาดการณ์เช่นซูเฉินที่เตรียมของทุกอย่างมาล่วงหน้า พยายามปรับใช้ให้ได้กับทุกสถานการณ์

เจียงหานเฟิงไม่ได้เชี่ยวชาญการวางค่ายกลปกปิดมากนัก แต่ถึงตอนนี้เขาก็ไร้ทางเลือก

ผีเยวี๋ยนหงและซูเฉินก็ไร้ทางเลือกเช่นกัน

ซูเฉินไม่ได้เชี่ยวชาญการแพทย์เท่าการปรุงยา แต่เขาจะยอมถอยเช่นนี้ไม่ได้

เขาเล็งมีดด้วยความระมัดระวังก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึก หากแต่เขากลับไม่กล้าลงมีด

ผีเยวี๋ยนหงเข้าใจความรู้สึกซูเฉินจึงเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้ม “ลงมือเถอะ หากข้าโชคร้ายตายเสียที่นี่ ข้าจะไปล้างแค้นคนเถื่อนพวกนั้นเอง”

“ท่านตายแล้วจะไปล้างแค้นได้อย่างไร” ซูเฉินเอ่ยตอบ

“ข้าก็เลียนแบบเผ่าวิญญาณ กลายร่างวิญญาณเป็นร่างเนื้ออย่างไรเล่า”

“แต่นั่นเป็นเพราะพวกเขามีเครื่องมือกลายวิญญาณ ใครจะรู้ว่าเขาอาจไม่คิดเหมือนท่าน อีกทั้งทำแล้วอาจจะไม่สำเร็จอีกด้วย”

“เจ้าเยาะเย้ยข้าหรือ ?”

“ข้าเยาะเย้ยท่านอย่างไร ? เพียงพูดความจริงเท่านั้น คุ้มค่าแล้วหรือที่จะไปริษยาสิ่งมีชีวิตครึ่งคนครึ่งผีเช่นนั้น ?”

“ใครว่าข้าริษยามัน ? เจ้าผ่าร่างข้าแยกก็มากพอแล้ว ตอนนี้ยังจะบิดเบือนสิ่งที่ข้าพูดอีกหรือ ?”

สองคนคุยไปแล้ว การผ่าตัดก็เริ่มขึ้น

การผ่าตัดนี้ไร้ยาชาให้ใช้ ผีเยวี๋ยนหงใช้เพียงพลังใจอันกล้าแข็งของผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดในการทนรับความเจ็บปวดเท่านั้น แม้จะเจ็บจนคล้ายกับฟ้าจะถล่มดินจะแยก ผีเยวี๋ยนหงก็ฝืนทนความเจ็บปวดด้วยการใช้บทสนทนาเป็นตัวดึงความสนใจ

และเมื่อมีดกรีดลงไปลึกขึ้น ผีเยวี๋ยนหงก็ยิ่งพูดเร็วขึ้น แต่ซูเฉินกลับเงียบลงเรื่อย ๆ

เขาตั้งสติมั่นคงขึ้น การเคลื่อนไหวเริ่มช้าลง

ผีเยวี๋ยนหงอดคิดไม่ได้ว่าตอนนี้ซูเฉินพยายามช่วยหรือพยายามทรมานเขาอยู่กันแน่

พริบตาหนึ่งเขารู้สึกว่าเขายอมตายไปเสียแบบนี้ดีกว่ายอมทนความเจ็บปวดสาหัส

และเมื่อความเจ็บปวดดีดมาถึงจุดสูงสุด ผีเยวี๋ยนหงกระทั่งคิดจะเด้งขึ้นมาบีบคอซูเฉิน เอาไส้รัดคออีกฝ่ายแล้วรัดคอให้ตายไปเสียตรงนั้น

แต่เขาก็อดทนจนมันสิ้นสุดลงได้

ผีเยวี๋ยนหงยังคงมีแรงใจแข็งแกร่งมุ่งมั่น ฝืนอดทนผ่านจุดที่เจ็บปวดที่สุดมาได้ด้วยแรงใจกล้าแกร่งไม่ธรรมดา เมื่อซูเฉินบอกว่าการผ่าตัดเสร็จสิ้นแล้วและเริ่มเย็บแผลบนร่าง ผีเยวี๋ยนหงที่ไม่ปล่อยให้น้ำตาสักหยดไหลออกมาก็พลันแหกปากขึ้น

“บัดซบเอ๊ย ครั้งหน้าข้ายอมตายดีกว่ายอมให้เจ้าช่วย !” ผีเยวี๋ยนหงร้องลั่น

“ท่านคิดว่าข้าอยากทำหรือ ? บัดซบ หากสำเร็จก็เป็นเพราะร่างกายและจิตใจท่านกล้าแข็ง แต่หากไม่สำเร็จเช่นนั้นก็เป็นข้าที่สังหารท่านกับมือ ! แม่งเอ๊ย !” ซูเฉินสบถออกมาอย่างหาได้ยาก

ผีเยวี๋ยนหงต้องทนรับความเจ็บปวดแสนสาหัสจากร่างกาย ส่วนซูเฉินก็ต้องทนรับความกดดันหนักหน่วงภายในจิตใจ ดังนั้นจึงต้องหาที่ระบายมันออกมา

เขาต้องค่อย ๆ รักษาผีเยวี๋ยนหงในขณะที่ใช้พลังต้นกำเนิดควบคุมการไหลเวียนของเลือดในร่างผีเยวี๋ยนหงเพื่อป้องกันไม่ให้เขาเสียเลือดมากเกินไป เขาต้องแบ่งความสนใจไปหลายแห่งยิ่ง หากผิดพลาดสักนิดอาจหมายถึงชีวิตได้

ต้องขอบคุณหงหมิง !

เป็นเพราะการเสียสละของเขา ซูเฉินจึงเข้าใจร่างกายมนุษย์มากขึ้น

ในโลกแห่งนี้ ความรู้ทางการแพทย์เช่นนี้ไม่เคยได้รับการสืบทอดส่งต่อ เขาได้วิชาเหล่านี้มาจากการอ่านตำราแพทย์นับไม่ถ้วน และทำการทดลองกับร่างมนุษย์หลายต่อหลายครั้ง

อาจกล่าวได้ว่าซูเฉินได้ใช้ความคิดตนเองผนวกรวมกับทฤษฎีเดิมและสร้างเส้นทางใหม่ขึ้นมาบนใต้หล้าที่ไม่เคยมีการผ่าตัดเกิดขึ้นมาก่อน

ซูเฉินไม่มีใครกรุยทางสายนี้ให้ ดังนั้นจึงต้องออกเดินทางเพียงลำพัง เขาไม่รู้ว่าการถ่ายเลือดคืออะไร เขารู้เพียงว่าสามารถใช้พลังต้นกำเนิดควบคุมการเสียเลือดได้ เขาไม่รู้ว่ายาชาสำคัญเพียงไหน แต่ดูจากความเจ็บปวดของผีเยวี๋ยนหงและใบหน้าเจ็บปวดแสนสาหัสของเขาแล้ว ในใจเขาก็พลันนึกสูตรยาบรรเทาความเจ็บปวดขึ้นมาในพลัน

ครั้งแรกเริ่มขึ้นหลายครั้ง ลงมือทำหลายหน

หากสำเร็จได้ก็เป็นเรื่องดียิ่ง

ผีเยวี๋ยนหงอ่อนแอลงมากหลังจากซูเฉินเย็บปิดแผลบนร่างเขา หลังจากดื่มยาฟื้นพลังเข้าไปเขาก็หลับสนิททันที

ไม่มีใครนำผ้าห่มติดตัวมาด้วย ดังนั้นซูเฉินจึงใช้หญ้าลมสงบที่เก็บมาใช้เป็นผ้าห่มชั่วคราว วางห่มไว้บนร่างอีกฝ่ายแทน

หญ้าลมสงบเมื่อถูกเลือดแล้วจะเสียมูลค่าทันที แต่ซูเฉินไม่ใส่ใจแล้ว

เขาจับชีพจรผีเยวี๋ยนหงดูอีกครั้ง หลังจากมั่นใจแล้วว่าทุกอย่างดูปกติดี ซูเฉินก็เดินโซซัดโซเซไปที่หน้าปากถ้ำ

ที่ด้านนอก เจียงหานเฟิงกำลังเฝ้ายามอยู่ ไม่กล้าแม้กะพริบตา

เขายืนตัวเครียดขึงตั้งใจเป็นอย่างยิ่ง

เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยืนตัวแข็งอยู่บนค่ายกล จึงถามขึ้นด้วยความสงสัย “เจ้าทำอะไรของเจ้า ?”

เจียงหานเฟิงตอบ “ข้ากำลังยืนบนฐานค่ายกล ข้าทำให้มันทำงานโดยสมบูรณ์ไม่ได้ มันปล่อยความผันผวนของพลังต้นกำเนิดออกมาอยู่ตลอด ข้าไม่มีทางเลือก ดังนั้นจึงต้องยืนอยู่ตรงนี้เพื่อดูดซับความผันผวนเข้าร่างข้ามาเอง

“เจ้าจะบอกว่าเจ้ายืนอยู่เช่นนี้ ใช้ร่างตนเองดูดซับความผันผวนของพลังต้นกำเนิดมาตลอดจนถึงตอนนี้หรือ ?” ซูเฉินตกตะลึง

ชีพจรพลังต้นกำเนิดนั้นไม่เป็นอันตราย แต่หากเข้าใกล้ก็สามารถทำให้พลังในร่างสะท้อนกลับได้ หากไม่รุนแรงก็อาจรู้สึกคลื่นเหียนเวียนหัวจากการที่พลังในร่างถูกหยุดชะงัก หากรุนแรงปานกลางก็อาจจะเกิดบาดแผลภายใน และหากรุนแรงมากก็อาจถูกพลังในร่างตีกลับได้

เจียงหานเฟิงยืนอยู่ฐานค่ายกลมาเป็นเวลานานเพื่อซ่อนสถานที่อยู่ของพวกเขาไว้……

เป็นตอนนั้นที่ซูเฉินพลันรู้สึกสะท้านในใจ

ร่างเจียงหานเฟิงสั่นระริก

ซูเฉินคว้าเจียงหานเฟิงและดึงเข้ามาด้านใน รีบตรวจสอบร่างกายเขาในพลัน

โชคดีที่ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรมาก พักผ่อนสักหน่อยก็หายดีได้

หากแต่เจียงหานเฟิงไม่ยอมจากไป “ข้าไปไม่ได้ หากข้าไปแล้วความผันผวนของพลังต้นกำเนิดก็จะแผ่ออกมา”

“เจ้าไปได้แล้ว เราไม่ต้องใช้มันอีกต่อไปแล้ว” ซูเฉินเอ่ยขึ้น

“ท่านจะบอกว่าศิษย์พี่แปดปลอดภัยแล้วหรือ ?” เจียงหานเฟิงดีใจเป็นล้นพ้น

“ถูกต้อง แต่ก็ยังต้องพักผ่อนอีกสักสองสามวัน เจ้าไปทำข้าวต้มเนื้อให้เขา ปรุงให้เหลวสักหน่อย ตอนนี้ร่างกายเขาต้องการสารอาหาร” ซูเฉินดึงร่างอสูรร้ายออกจากแหวนต้นกำเนิด โยนไปทางเจียงหานเฟิง แม้ผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดจะมีพลังเหนือมนุษย์ธรรมดา แต่ก็ไม่อาจหายดีได้หากขาดอาหาร

“รับทราบ !” เจียงหานเฟิงรับร่างอสูรร้ายมาแล้วรีบวิ่งไปทำอาหารทันที ความพะอืดพะอมจากความผันผวนของพลังต้นกำเนิดเมื่อครู่ยังอยู่ ดังนั้นเจียงหานเฟิงเมื่อเริ่มออกวิ่งก็ล้มก้นกระแทกพื้น ก่อนจะเด้งกลับขึ้นมาแล้ววิ่งเข้าไปในถ้ำอีกครา

ซูเฉินเห็นท่าทางซื่อบื้อเช่นนั้นแล้วก็อดหัวเราะไม่ได้

เขาค่อย ๆ ปีนขึ้นไปบนยอดเขาแล้วมองไปยังที่ไกล

ภาพของกู่ชิงลั่วพลันปรากฏขึ้นในใจ

ชิงลั่ว เจ้าอยู่ที่ไหนกัน ?

เจ้าเป็นอะไรหรือไม่ ?