ภาคที่ 2 บทที่ 141 เสียสละ

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 141 เสียสละ

ซูเฉินยังคงล่ออสูรร้ายอยู่ริมป่าต่อไปคล้ายเก็บผลไม้สุกแล้ว

เมื่อมีความต่างพลังมากเช่นนี้ การต่อสู้ก็คล้ายกับการปลิดผลไม้ลงจากต้นเท่านั้น

หากไม่ใช่เพราะกลัวจะสร้างความปั่นป่วนวุ่นวายเกินควร จนล่ออสูรกายภายในป่าออกมาจนหมด ซูเฉินก็คงพุ่งเข้าไปล่าสังหารมันด้านใน ไม่จำเป็นต้องใช้ธูปล่อสัตว์อสูรอยู่เช่นนี้

หลังจากธูปหมดดอก เขาก็กำจัดอสูรร้ายที่อยู่เขตริมผาไปจนสิ้น

ดังนั้นชายหนุ่มจึงเริ่มเดินเข้าป่าแล้วเก็บหญ้าลมสงบ

การปรุงยาประเภทลมระดับสูงจำเป็นต้องใช้หญ้าลมสงบที่มีอายุอย่างน้อย 10 ปี

หญ้าลมสงบจริง ๆ แล้วหาไม่ยากเท่าไร แต่ต้นที่มีอายุถึง 10 ปีต่างหากที่หายาก เป็นเพราะมันมีราคาสูงมาก หญ้าลมสงบเพียงต้นสองต้นก็มีค่าเท่ากับหินพลังต้นกำเนิดร้อยก้อนแล้ว

ทว่าภายในป่าแห่งนี้ หญ้าลมสงบอายุกว่า 10 ปีหาได้ง่ายมาก บางต้นก็มีอายุเป็นร้อยปี ปกติแล้วต้นหญ้าไม่สามารถอยู่ได้นานเช่นนั้น แต่หญ้าลมสงบสามารถมีอายุได้นับร้อยปี

ซูเฉินรีบเก็บหญ้าลมสงบโดยไม่สนใจสิ่งใด

ของเหล่านี้เป็นสมบัติล้ำค่าทั้งสิ้น

ภายในซากโบราณแห่งนี้มีสมบัติอยู่สองชนิด ชนิดแรกคือของโบราณที่เจ้าของคนก่อนทิ้งไว้ ส่วนอีกชนิดคือพวกดอกไม้และสมุนไพรที่ขึ้นอยู่ในสภาพแวดล้อมปิดเช่นนี้

ชนิดหลังบางคราก็ล้ำค่ากว่าชนิดแรก เพราะบางครั้งของโบราณที่ถูกทิ้งไว้นับหมื่นปีก็อาจไม่หลงเหลือมูลค่า ในขณะที่ดอกไม้และสมุนไพรสามารถเติบโตได้เรื่อย ๆ

แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะหาสมุนไพรอายุหมื่นปีได้ง่ายดายนัก

ในสถานที่ที่มีสภาพแวดล้อมสมบูรณ์เช่นนี้ สมุนไพรอายุหมื่นปีที่ยังอยู่รอดปลอดภัยนั้นหาได้ยากนัก อสูรร้ายเองไม่ใช่พวกไร้สมอง สมุนไพรล้ำค่าเช่นนี้พวกมันย่อมเด็ดกินอย่างไม่ลังเล

แต่สมุนไพรร้อยปียังพอพบเห็นได้ทั่วไป

ชายหนุ่มพบของดีไม่น้อย

เช่น เขาพบต้นกระดิ่งเสียงเหยี่ยว เครื่ื่องเทศสังข์หยก และสมุนไพรอื่น ๆ ที่เขาไม่คิดว่าจะพบเจอในที่แห่งนี้ บัดนี้พวกมันได้กลายเป็นของที่เขาเก็บได้ไปแล้ว

พบของที่ไม่คาดคิดเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ เพราะอย่างไรเอกสารเหล่านั้นก็ไม่อาจระบุของล้ำค่าภายในได้ทั้งหมด หากแต่ของไม่คาดคิดเหล่านี้ก็ต้องใช้โชคในการพบบ้าง

เขาเก็บสมุนไพรวัตถุดิบต่อไปเรื่อย ๆ ในหัวก็มีสูตรยานับไม่ถ้วนแวบเข้ามาไม่ขาดสาย

สำหรับเขาแล้ว วัตถุดิบที่เขาพบนั้น จะดีที่สุดคือสามารถนำมาปรุงเป็นยาได้ ไม่ว่าจะเป็นยาชนิดใดก็ตามแต่

และหากต้องการก็สามารถนำมันมารวมกับของที่เขามีติดตัวเข้ามาแล้วได้อีก

หากแย่ที่สุดคือสมุนไพรทำยาเหล่านี้เป็นได้เพียงวัตถุดิบส่วนผสมที่ไม่อาจนำมาใช้ได้

ซูเฉินจึงละเลียดหาของอย่างไม่รีบร้อน ไม่ปล่อยสิ่งใดรอดพ้นสายตาไปได้

หลังจากสำรวจเขตรอบ ๆ ป่าแล้ว ซูเฉินก็จุดธูปล่อสัตว์อสูรอีกดอก

เขาค่อย ๆ ทำเช่นนี้วนไปเรื่อย ๆ ก่อนจะเดินลึกเข้าไปในป่า

ยิ่งเขาเก็บของได้มากเท่าไร ยาที่เขาสามารถปรุงได้ก็มีมากขึ้นเท่านั้น

แต่ส่วนมากเป็นเพียงยาระดับต่ำ ของเหล่านี้มีไม่มากที่สามารถนำมาปรุงยาระดับสูงได้

ในตอนที่เขากำลังกวาดของแถบนั้นจบเรียบอยู่นั้น ก็พลันเห็นกลุ่มควันลอยขึ้นมาบนฟากฟ้า

มันคือยันต์ส่งข้อสารที่ซูเฉินทิ้งไว้ในถ้ำ หากมีควันเช่นนี้แสดงว่าผู้ที่มาคงบาดเจ็บหนัก ยอมเปิดเผยตนเองเพื่อให้ซูเฉินรีบกลับไปโดยไว

ดังนั้นซูเฉินจึงหันหลังกลับ เร่งฝีเท้าสุดกำลัง ระหว่างทางก็ระวังการซุ่มโจมตีไปด้วย

แม้เผ่าคนเถื่อนจะไม่ได้ฉลาดปราดเปรื่องมากมายนัก แต่ก็รู้จักการซุ่มโจมตีและกลยุทธ์ง่าย ๆ มากมายหลังจากที่ต่อสู้กับเผ่ามนุษย์มาหลายปี หากแต่เรื่องการปรุงยาและค่ายกลพลังต้นกำเนิดนั้นยังยากเกินกว่าพวกเขาจะเข้าใจ

เมื่อกลับมาที่ถ้ำ ซูเฉินก็พบกับคนสองคนที่รอเขาอยู่

คนหนึ่งชื่อเจียงหานเฟิง อีกคนหนึ่งชื่อผีเยวี๋ยนหง เจียงหานเฟิงคือศิษย์ชั้นปีที่ 8 ที่เชี่ยวชาญค่ายกล ผีเยวี๋ยนหงคือศิษย์ชั้นปี 10 ที่เชี่ยวชาญด้านการระบุสมุนไพร แต่สิ่งที่เขา ‘เชี่ยวชาญ’ นั้นจะว่าไปแล้วก็ไม่ตรงสักเท่าไร เพียงเลือกไปอย่างนั้น เพราะระหว่างฝึกทุกคนต้องมีด้านที่เชี่ยวชาญ อีกทั้งวิชาปรุงยาของเขาเทียบขั้นอวิ๋นเป้าไม่ได้ด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นไม่ต้องกล่าวถึงซูเฉิน

แต่เขาเชี่ยวชาญอยู่อย่างหนึ่ง คือการต่อสู้

ผีเยวี๋ยนหงมีสายเลือดอสูรปฐมกาลฟันแยก 1 ใน 8 สายเลือดราชันอสูรในหมู่มนุษย์ทั้ง 40 คนที่เข้าซากโบราณมา เป็นสายเลือดที่ทรงพลังยามต่อสู้ ทำให้เขากลายเป็นคนที่สามารถประจันหน้ากับเผ่าคนเถื่อนตัวต่อตัวได้

หากแต่ตอนนี้ซูเฉินกลับพบว่าผีเยวี๋ยนหงมีเลือดท่วมตัว ใกล้จะสิ้นใจเต็มที

เมื่อเห็นซูเฉินกลับมา เจียงหานเฟิงก็อวดครวญทันที “ศิษย์พี่สาม ท่านมาเสียที ศิษย์พี่แปดบาดเจ็บ รอท่านมานานแล้ว”

เจียงหานเฟิงนั้นเป็นพวกตลกโดยธรรมชาติ มีนิสัยไร้กังวล ผูกมิตรกับทุกคนได้โดยง่าย

หลังจากที่อาจารย์ฝึกมอบหมายเลขศิษย์ให้แต่ละคนแล้ว เจียงหานเฟิงก็เริ่มเรียกคนอื่น ๆ ว่า ‘ศิษย์พี่’ หรือไม่ก็ ‘ศิษย์น้อง’ ตามหมายเลขศิษย์ อาจารย์ฝึกไม่ได้มอบหมายเลขศิษย์ตามความอาวุโส แต่มอบตามลักษณะนิสัยและความแข็งแกร่ง ดังนั้นการเรียกชื่อของเจียงหานเฟิงจึงทำให้ทุกคนสับสนไม่น้อย

อาทิเช่น แม้ผีเยวี๋ยนหงจะอายุมากกว่าซูเฉิน เจียงหานเฟิงกลับเรียกผีเยวี๋ยนหงกลายเป็นศิษย์น้องของซูเฉินไปโดยปริยาย

แต่เช่นนี้ก็ยังดีกว่าเรียกว่า “หมายเลขที่…” ดังนั้นทุกคนจึงยอมตกลงไปตามนั้น

หากแต่วันนี้เจียงหานเฟิงที่มักจะเล่นตลกชวนหัวกับคนอื่นกลับกำลังตวาดลั่น

ซูเฉินรีบปราดเข้าไปข้างกายผีเยวี๋ยนหงทันที หลังจากส่งพลังต้นกำเนิดสายหนึ่งเข้าร่างผีเยวี๋ยนหงไป สีหน้าก็เคร่งเครียดยิ่งขึ้น “กระดูกหัก 4 แห่ง อวัยวะภายในบางชิ้นขาดสะบั้น อีกทั้งยังเกิดพลังตีกลับจากพลังต้นกำเนิดขาดสมดุล…… หากเป็นเช่นนี้ต่อไปคงรักษาชีวิตเอาไว้ไม่ได้ !”

บาดแผลของผีเยวี๋ยนหงสาหัสกว่าที่เห็นนัก !

ผีเยวี๋ยนหงยกยิ้ม “ช่วยไม่ได้นี่ พวกเราเผชิญหน้ากับเผ่าคนเถื่อนถึง 3 คนในคราเดียว”

เขายังยิ้มออกได้

“3 รุม 1 ? ไม่แปลกที่แผลสาหัสเช่นนี้” ซูเฉินถอนใจ

ซูเฉินเข้าใจดีว่าเผ่าคนเถื่อนแข็งแกร่งเพียงไหน

“ไม่ใช่ 3 รุม 1 ข้าเองก็อยู่ด้วย” เจียงหานเฟิงขัดขึ้น

ซูเฉินถอนใจอีก “หากเจ้าไม่อยู่ด้วย ศิษย์พี่แปดของเจ้าอาจจะมีสภาพดีกว่านี้”

เจียงหานเฟิงนั้นคล้ายจ้าวซิน อ่อนแอกว่าผีเยวี๋ยนหงมาก ระหว่างต่อสู้คงจะเป็นภาระเสียมากกว่าได้ช่วย

ดังนั้นเจียงหานเฟิงจึงพูดไม่ออก

ผีเยวี๋ยนหงเอ่ยขึ้น “จั่่วหนิงตังก็อยู่ด้วย”

ซูเฉินชะงักไป “เขาไม่รอดหรือ ?”

ผีเยวี๋ยนหงส่ายหัว

ซูเฉินรู้สึกราวกับใจร่วงหล่น

จั่วหนิงคือศิษย์ชั้นปี 10 อันดับที่ 23 แต่ฝีมือเขาสูงกว่านั้นมาก อีกทั้งยังมีนิสัยตรงไปตรงมา เป็นบุรุษน่านับถือ หากใครต้องการความช่วยเหลือเขาก็จะช่วยอย่างสุดความสามารถ

เคราะห์ร้ายที่เขาเป็นคนแรกที่ต้องสละชีพภายในซากโบราณแห่งนี้

แม้เขาจะรู้ดีว่าการเข้าซากโบราณมาเช่นนี้หมายความว่าต้องมีการสูญเสีย แต่ก็ยังรู้สึกเศร้าเสียใจที่ต้องเสียสหายร่วมภารกิจไปไม่ได้

ท่าทีขี้เล่นของเจียงหานเฟิงหายไปจนสิ้น เขาพึมพำออกมา “หากข้าแข็งแกร่งกว่านี้หรือไม่ทำตัวเป็นภาระ ศิษย์พี่ยี่สิบสามก็คงไม่ตาย……”

“ไม่ใช่ความผิดของเจ้า” ซูเฉินตบไหล่เขา “เจ้าก็มีหน้าที่ของเจ้า หากไม่อยากให้หารเสียสละของจั่วหนิงตังต้องสูญเปล่าก็จงทำตามหน้าที่ของตนเสีย”

“แต่พวกเรายังไม่ทันได้ขึ้นเขา จะทำอะไรได้เล่า ?” เจียงหานเฟิงเอ่ยแล้วบุ้ยปาก

“เจ้าอยู่ตรงนี้ก็ทำประโยชน์ได้ บาดแผลเหล่าผีสาหัสมาก ใช้ยารักษาอย่างเดียวไม่ได้ ตอนนี้คือได้แต่ผ่าตัดแล้วเย็บอวัยวะภายใน ชำระล้างเลือด จากนั้นปรับการไหลเวียนของพลังต้นกำเนิดในร่าง ทำเช่นนี้ข้าต้องมีสมาธิสูงมาก ห้ามมีใครรบกวน ยันต์ส่งสารที่เจ้าใช้ต้องดึงพวกเผ่าคนเถื่อนคนอื่น ๆ มาเป็นแน่ พวกมันจมูกไวนัก เมื่อข้าผ่าร่างเขาพวกมันต้องได้กลิ่นเลือดแน่นอน อาจตามกลิ่นเลือดมาที่นี่ได้ ดังนั้นข้าต้องขอแรงเจ้าช่วยสร้างค่ายกลปกปิดเพื่อป้องกันไม่ให้เผ่าคนเถื่อนหาสถานที่นี้พบ”

“แต่ข้าไม่เชี่ยวชาญค่ายกลปกปิด เป็นศิษย์พี่หม่าที่เชี่ยวชาญ……” เจียงหานเฟิงยังคงเอ่ยเสียงแผ่ว

“หมายเลขสามสิบสาม !” ซูเฉินเอ่ยเสียงแข็ง “ข้าไม่หวังให้คนที่ต้องการปรากฏตัวยามข้าต้องการหรอก ! หากเจ้าไม่อยากให้ศิษย์พี่แปดของเจ้าต้องตายก็ต้องลงมือทำให้ดีที่สุด ! จะช่วยเขาได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว !”

เจียงหานเฟิงถึงกับใจสั่น แต่ก็ยังใช้หน้ามึน ๆ นั่นพยักหน้ารับไป