บทที่ 140 เตรียมการในจังหวะสุดท้าย
จี้ลั่วอวี่คือศิษย์ชั้นปีที่ 6 แห่งสถาบันมังกรซ่อนเร้น เป็นศิษย์ชั้นปีที่ 6 คนเดียวที่ได้รับเลือก เป็นน้องเล็กที่สุดในหมู่มนุษย์ อีกทั้งยังอ่อนแอที่สุดด้วย เขามีหมายเลขศิษย์อันดับที่ 40 ดังนั้นคนอื่น ๆ จึงเรียกเขาว่าน้องสี่สิบ
แต่ซูเฉินกลับเห็นว่าน้องสี่สิบผู้นี้สำคัญที่สุด
ประเมินตามเกณฑ์การคัดเลือกของสถาบันมังกรซ่อนเร้น ยิ่งศิษย์ผู้นั้นอ่อนแอเพียงไหน ก็ยิ่งมีความสามารถเฉพาะตัวเป็นเอกลักษณ์มากขึ้นเท่านั้น
จี้ลั่วอวี่ก็ไม่ต่าง ที่เขาได้รับเลือกเป็นเพราะเขามีทักษะสายเลือดอันเป็นเอกลักษณ์ นั่นคือวิชาสัมผัสพลังงานสูญ
วิชาประเภทพลังงานสูญนั้นหายาก แม้จะถ่ายทอดผ่านสายเลือด แต่ผู้ใช้จำต้องมีระดับพลังถึงขั้นจึงจะสามารถใช้ได้
ทักษะสายเลือดของจี้ลั่วอวี่ก็เช่นกัน เขาไม่รู้วิชาการเปลี่ยนพลังงานสูญ การแยกพลังงานสูญ หรือเขาสุเมรุหดตัว กระทั่งซูเฉินยังรู้วิชาหอคอยพิสุทธิ์เคลื่อนกายที่ใช้เคลื่อนย้ายร่างกายไปในระยะสั้นได้ แต่จี้ลั่วอวี่ไร้วิชาเช่นนั้น
เขาทำได้เพียงอย่างเดียวคือการสัมผัสความผันผวนของพลังงานสูญและรู้ว่าในพลังงานนั้นมีสิ่งรบกวนหรือไม่
แม้จะฟังดูไร้ประโยชน์ แต่ทักษะวิชาเช่นนี้ เมื่ออยู่ในซากโบราณนับว่าล้ำค่านัก
ทันทีที่ซากโบราณเปิดออก พลังงานสูญจะเริ่มผันผวนรุนแรง ความสมดุลลดต่ำลงเรื่อย ๆ จนสุดท้ายไม่อาจคงสภาพ ต้องสลายหายไป
มีเพียงคนที่สามารถสัมผัสความผันผวนของมันได้จึงจะสามารถบอกเวลาที่มันจะสลายตัวและชี้ทางออกที่ปลอดภัยให้ได้
การรู้ว่าเมื่อไรซากโบราณจะทลายลงนั้นสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เพราะเรื่องนี้จะควบคุมสิ่งที่ทุกคนลงมือในเวลาที่เหลืออยู่ก่อนพลังงานสูญจะสลายไป
หากวางแผนไว้ 30 วัน แต่พลังงานสูญกลับสลายลงภายใน 10 วัน เช่นนั้นแผนการก็อาจจะล่มตั้งแต่ยังไม่ทันเริ่ม แรงกายแรงใจที่ทุ่มไปเสียเปล่า และหากมีใครพบลมพลังงานสูญตอนที่มันกำลังจะสลายลงเข้าก็อาจออกไปอย่างปลอดภัยได้ยาก
แผนที่วางไว้จะใช้งานได้จริงก็ต่อเมื่อรู้ว่าพลังงานสูญจะคงอยู่ได้อีกนานเท่าไร
ดังนั้นซูเฉินจึงเน้นย้ำว่าต้องปกป้องจี้ลั่วอวี่ให้ปลอดภัย อย่าให้เป็นอะไรไปได้ เพราะเขาต้องการความช่วยเหลือจากคนผู้นี้มากที่สุด เขาเป็นประเภทที่ต้องเตรียมการทุกอย่างให่เรียบร้อยก่อนจึงจะลงมือทำได้
แต่ถึงกระนั้นซูเฉินก็ไม่ห่วงจี้ลั่วอวี่มากมายนัก ก่อนเข้ามาทุกคนต่างกำชับให้จี้ลั่วอวี่รู้จักเอาตัวรอดไว้ก่อนเท่านั้น แหวนกักเก็บของเขามีแต่ของที่ใช้หลบหนี เช่น คัมภีร์เคลื่อนย้าย คัมภีร์ป้องกัน ยันต์เกราะแสงและของอื่น ๆ อีกมาก หากไม่โชคร้ายถูกเผ่าคนเถื่อนล้อมไว้สักหลายคนก็คงไม่เป็นอะไร
หลังจากสั่งเรื่องราวต่าง ๆ ใหจ้าวซินรับทราบแล้ว ซูเฉินก็ส่งยาเคลื่อนกายดั่งลมระดับต่ำ 2 ขวด ยาฟื้นพลัง 2 ขวดให้อีกฝ่ายก่อนจะแยกกัน
ส่วนเขากลับมาที่ถ้ำเพื่อรอคนอื่น ๆ
ระหว่างรอเขาไม่มีอะไรทำ ดังนั้นจึงเริ่มทำการทดลองกับศพของเผ่าคนเถื่อนทั้งสอง เพียงครึ่งวันก็มีความเข้าใจมากขึ้นอีกขั้น
หากแต่เขาต้องการส่วนผสมบางอย่างเพื่อพิสูจน์ความเข้าใจเหล่านั้น
ซูเฉินเดิมทีวางแผนออกเดินท่องป่าอยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่รีรออีก ทิ้งจดหมายและยันต์ส่งสารไว้ในถ้ำ เขียนไว้ว่าให้รอเขาอยู่ที่นี่ก่อนจะเดินทางเข้าสู่ป่า
หลังจากกลับมาในป่าอีกครั้ง เขาก็ไม่เดินดุ่ม ๆ เข้าไปอีก อย่างแรกเขาประเมินทิศทางลม จากนั้นเดินทางไปริมป่าก่อนจะจุดธูปดอกหนึ่ง
กลิ่นธูปเริ่มลอยฟุ้งคลุ้งไปในป่าใหญ่
มันคือธูปล่อสัตว์อสูร มีผลชะงัดกว่ายาล่อสัตว์อสูรนัก อีกทั้งยังสามารถควบคุมให้ล่อได้เฉพาะอย่าง อาทิเช่น ล่อมาเฉพาะอสูรร้ายได้ด้วย
ไม่นานอสูรร้ายตัวหูยาวสีขาวตัวหนึ่งก็เดินออกมาจากป่า
ซูเฉินไม่รู้ว่ามันเป็นอสูรร้ายประเภทไหน หลังจากมันแพร่พันธุ์อยู่ในพลังงานสูญมานับหมื่นปี อสูรร้ายเหล่านี้จึงแตกต่างจากพวกที่อยู่ด้านนอกมาก ดังนั้นจึงไม่แปลกที่มันจะดูประหลาดไปสักหน่อย
แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาสังเกตเรื่องพวกนี้
เขาควงขวานในมือ จากนั้นก็กระดิกนิ้วเรียกมันเข้ามา
อสูรหูขาวไม่ได้พุ่งเข้ามาในพลัน แต่มันจ้องซูเฉินนิ่ง
ไม่แน่ว่ามันอาจอยากสังเกตคู่ต่อสู้ของมันก่อน หากแต่ธูปล่อสัตว์อสูรทำให้มันอดใจไว้ไม่ได้
ในที่สุดมันก็ทนไม่ไหว พุ่งเข้าใส่ชายหนุ่ม
ขวานรบถูกซัดออกมา คลื่นพลังรุนแรงพุ่งออกไป
อาวุธของเผ่าคนเถื่อนมีขนาดใหญ่เทอะทะ ใช้งานลำบาก แต่ก็ใช้จัดการกับอสูรร้ายที่ปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ไม่ได้เท่าไรได้ดี พวกมันใช้เพียงกำลังต่อสู้เท่านั้น
มันเงื้อกรงเล็บปัดขวานรบออกไป หากแต่พริบตากรงเล็บมันก็ขาดเป็นสองส่วน โลหิตพุ่งออกมาทันใด
อสูรร้ายร้องลั่นออกมาแล้วถอยไป
หลังจากรู้กำลังอีกฝ่ายแล้วมันจึงคิดหนี
หากแต่ขวานในมือซูเฉินยังคงไล่ตามมันไป ผ่าร่างอสูรหูขาวจากด้านหลังแยกออกเป็นสองส่วน
หลังจากซัดขวานสองครั้งสังหารอสูรร้ายได้แล้ว ซูเฉินก็โยนขวานทิ้ง จากนั้นเดินเข้ายังซากมันแล้วเริ่มดูดซับพลังต้นกำเนิด
ใช่แล้ว นี่คือจุดประสงค์ที่แท้จริงของซูเฉิน เขาต้องการดูดซับพลังต้นกำเนิดเพื่อเพิ่มพื้นฐานการบ่มเพาะพลัง
การปรุงยาเป็นเพียงแผนหนึ่งส่วน อีกหนึ่งส่วนคือการฝึกตนให้แข็งแกร่งขึ้นแล้วทะลวงสู่ด่านกลั่นโลหิตให้ได้
ที่ทั้งสองเผ่าห้ามไม่ให้ผู้เชี่ยวชาญด่านกลั่นโลหิตเข้ามายังซากโบราณเป็นเพราะเกรงกว่าคลื่นพลังผันผวนรุนแรงจะไปรบกวนพลังงานสูญ ทำให้มันสลายลงเร็วยิ่งขึ้น
หากแต่ต้องเข้ามากันเป็นกลุ่มใหญ่เท่านั้นจึงจะมีผลกระทบรุนแรง ผู้เชี่ยวชาญด่านกลั่นโลหิตเพียงคนหรือสองคนส่งผลกระทบต่อพลังงานสูญเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
และแน่นอนว่าทั้งสองฝ่ายก็ต้องวางแผนรัดกุม ดังนั้นจึงกำหนดว่าพื้นฐานการบ่มเพาะพลังของแต่ละฝ่ายจะถูกจำกัดไว้ที่ 90 ดาราเหลืองหรือน้อยกว่านั้น
ระหว่าง 90 ดาราเหลืองและถึงขั้นทะลวงด่านนั้นจำต้องบ่มเพาะพลังอีก 10 ดาราเหลืองเท่านั้น สำหรับคนส่วนมากต้องใช้เวลา 1 ปีในการทะลวง กระทั่งคนที่มีความสามารถที่สุดยังอาจใช้เวลาอย่างน้อยครึ่งปี
ซากโบราณคงอยู่ได้ไม่นานถึงเพียงนั้น ดังนั้นจึงไม่อาจมีคนที่สะมารถทะลวงด่านภายในพลังงานสูญได้เป็นแน่
แต่ข้อกำหนดเหล่านี้ไม่อาจหยุดยั้งดวงตาของซูเฉินได้
เมื่อครั้งยังฝึกฝนอยู่ ซูเฉินก็เพิ่มพื้นฐานการบ่มเพาะพลังจนถึง 90 ดาราเหลือง จากนั้นก็พยายามควบคุมมันไว้เพื่อไม่ให้เสียสิทธิ์ในการเข้าซากโบราณ
หลังจากเข้าซากโบราณมาได้แล้ว เขาจึงไม่จำเป็นต้องเกรงกลัวอะไรอีก 10 ดาราเหลืองนั้น เพียงสังหารอสูรร้ายสักร้อยหรือสองร้อยตัวก็พอแล้ว
ดังนั้นเขาจึงต้องรีบหาตัวจี้ลั่วอวี่ หากพบตัวอีกฝ่าย เขาจะสามารถรู้ได้ว่าพลังงานสูญจะคงอยู่ได้อีกนานเท่าไร และการทะลวงด่านของเขาจะส่งผลถึงมันมากเท่าไร
ยกตัวอย่างเช่น หากพลังงานสูญแห่งนี้สามารถคงอยู่ได้อีก 3 วัน ซูเฉินก็จะทิ้งแผนการทะลวงพลังและออกล่าหาสมบัติแทน
แต่หากมันอยู่ได้มากกว่าสิบวัน เขาก็จะเตรียมทะลวงสู่ด่านกลั่นโลหิต
หลังจากดูดซับพลังต้นกำเนิดจากอสูรหูขาวแล้ว ซูเฉินก็จัดการร่างของมัน อสูรร้ายเหล่านี้อาศัยอยู่ในพื้นที่แยกเช่นนี้มานับหมื่นปี ทำให้เกิดการวิวัฒนาการจนแตกต่างจากอสูรข้างนอกนัก การค้นคว้าเกี่ยวกับมันอาจทำให้เกิดการค้นพบใหม่ได้
เขาเพิ่งจะจัดการศพมันเสร็จเมื่ออสูรร้ายอีกตัวหนึ่งพุ่งออกมาจากป่า
พละกำลังของซูเฉินในตอนนี้ หากไม่เผชิญหน้าเข้ากับอสูรระดับสูงเช่นโคลนยักษ์ เขาก็ไม่เกรงกลัวอสูรร้ายธรรมดาตัวใดอีก
เขาไม่รีรอ ลงมือสังหารและดูดซับพลังต้นกำเนิดจากมันทันที ทุกอย่างเป็นไปด้วยความราบรื่น ซูเฉินเริ่มลงมือบ่มเพาะพลังต่อไปเรื่อย