ประลองงั้นรึ…เรื่องตลกอะไรกัน!
ถ้าซือหยูอ่อนแอกว่าเขาจริงๆ ถ้าซือหยูเป็นคนขี้ขลาดอย่างที่เขาคิด ถ้าซือหยูทนเขาไม่ได้แม้กระบวนท่าเดียว…
เจ้าตำหนักเสี่ยวกวงยังจะบอกว่านี่เป็นการประลองอยู่หรือไม่?
เขารู้ว่าซือหยูแข็งแกร่งกว่าที่เขาคิดอยู่มากจึงเลือกที่จะหนี
ในที่สุดเจ้าตำหนักเสี่ยวกวงก็เขาใจว่าจิตสังหารของซือหยูไม่ใช่ความโกรธแค้นอย่างที่เขาคิด
เมื่อเขาย้อนกลับไปคิด เขาก็รู้สึกได้ถึงความหนาวเย็น…ความหวาดกลัวตาย!
“เดี๋ยวก่อน! ข้าก็แค่มาเพราะหวังดีในเรื่องงานประชุมวิหคเพลิงในสามวันข้างหน้า ข้าแค่เข้าใจผิดกับคนของเจ้า เรื่องที่ทำลายตำหนักและทำร้ายคนของเจ้าเป็นอุบัติเหตุ ทำไมเจ้าจะต้องขู่ฆ่าข้าด้วย?”
จนถึงตอนนี้ เขาไม่ได้แสดงความเสียใจแม้แต่น้อย เขายังคงพูดแก้ตัว
ชุดของซือหยูร่ายรำ เขาหายไปจากในที่ที่ยืนอยู่ฃ
เมื่อปรากฎตัวอีกครั้ง แสงสีม่วงได้ฉาบใบหน้าทำให้เขาดูเหมือนผู้คุมสวรรค์ อัสนีทำลายทุกสิ่งในเส้นทางรวมถึงเจ้าตำหนักเสี่ยวกวง ร่างของเขากระเด็นไปไกล สร้างเส้นโค้งอันสวยงาม
ซากสิ่งของที่ถูกอัสนีแผดเผาเต็มตำหนักหยินหยูไปหมด
และยังมีกลิ่นเนื้อไหม้!
ร่างที่กระแทกกำแพงกำลังอยู่ในหุบเหวแห่งความตาย เขาเหลือแค่ลมหายใจสุดท้าย
คนในตำหนักหยินหยูอ้าปากค้าง
ทั้งคู่มีฐานพลังเท่ากันแต่เจ้าตำหนักเสี่ยวกวงนั้นทำอะไรเจ้าตำหนักหยินหยูไม่ได้เลย
ซือหยูเดินเข้าไปหาและพูดอย่างใจเย็น
“ถ้าหากการทำลายตำหนักและฆ่าคนของข้าเป็นเรื่องเข้าใจผิด เช่นนั้นการที่ข้าฆ่าเจ้าก็นับได้ว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิดเหมือนกัน!”
เปรี๊ยะ–
เปรี๊ยะ–
อัสนีก่อตัวที่ปลายดัชนีของเขาอีกครั้ง สีหน้าของซือหยูเยือกเย็นและโหดเหี้ยม
“พูดออกมา ใครกันที่ให้เจ้าทำเช่นนี้? เขาต้องการอะไร? ถ้าเจ้าพูดจบข้าจะส่งเจ้าไปสบาย”
ซือหยูสีหน้าเย็นชา
ถ้าเจ้าตำหนักเสี่ยวดวงไม่เป็นบ้าก็ยากที่จะคิดได้ว่าคนธรรมดาจะมาทำลายตำหนักของคนอื่นและฆ่าคนทั้งยังลักพาตัวสตรีอย่างไร้เหตุผล
แม้เจ้าตำหนักเสี่ยวกวงจะหยาบคายอยู่บ้าง แต่การทำลายตำหนักอย่างไร้เหตุผมนั้นก็บ้าเกินไป
แล้วถ้าหากนิสัยเขาเป็นเช่นนั้น แล้วเหตุใดรองเจ้าตำหนักคนอื่นที่อ่อนแอกว่ากลับยังปลอดภัย แต่ซือหยูถึงถูกปฏิบัติเช่นนี้เล่า?
ชัดเจน…นี่เป็นความตั้งใจของเจ้าตำหนักเสี่ยวกวง
แต่ซือหยูไม่เคยเจอเขามาก่อนและไม่มีเรื่องผิดใจต่อกัน นั่นก็หมายความว่าต้องมีคนที่คิดร้ายกับซือหยูขอให้เขาทำเช่นนี้
ส่วนเรื่องแรงจูงใจนั้น…ไม่มีผู้ใดรู้
เจ้าตำหนักเสี่ยวกวงที่ร่างเต็มไปด้วยโลหิตแทบจะไม่เหลือสติอยู่เพราะความเจ็บปวดรุนแรง
มาถึงขั้นนี้ เขาได้พบกับสิ่งที่เรียกว่า ‘ตายทั้งเป็น’
“เป็นรองเจ้าตำหนักลำดับหนึ่ง! เขาอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้!”
เจ้าตำหนักเสี่ยวกวงสรุปอย่างรวดเร็ว
รองเจ้าตำหนักลำดับหนึ่งก็คือเจ้าตำหนักเฉินคง!
เขตเฉินคงนั้นเป็นเขตที่ติดกับเขตหยินหยู
พื้นที่ระหว่างทั้งสองเขตคือดินแดนของโจรสลัดวารีทมิฬ
นอกจากนี้ ทั้งสองเขตไม่ได้เรื่องขัดแย้งต่อกัน ซือหยูไม่เคยเจอเขาด้วยซ้ำ
ซือหยูคิดอยู่นานว่าเขาไปทำอะไรเจ้าตำหนักเฉินคงหรือไม่
แต่หลังจากที่คิดแล้ว เขาก็ส่ายหน้า
เขาไม่เคยทำอะไรเจ้าตำหนักเฉินคงเลย
เขาไม่เข้าใจว่าทำไมอีกฝ่ายถึงทำให้เจ้าตำหนักเสี่ยวกวงกล้าทำเช่นนี้
“เขาต้องการอะไรรึ?”
แววตาซือหยูแสดงจิตสังหาร
เจ้าตำหนักเสี่ยวกวงแทบจะพูดไม่ออก
“เขาอยากแสดงอำนาจ…”
ซือหยูหัวเราะ หัวเราะอย่างเย็นชา
“แล้วทำไมเขาไม่มาด้วยตัวเองแทนที่จะส่งคนอย่างเจ้ามาล่ะ?”
“เพราะว่าเจ้าไม่คู่ควรให้เขาต้องลงมือเอง แค่ข้าก็พอ”
ซือหยูเข้าใจแล้ว
คนที่เขาไม่เคยเจอต้องการจะแสดงอำนาจแต่ไม่สนใจที่จะจัดการเอง จึงส่งคนที่อ่อนแอกว่ามา
เหตุผลเรียบง่ายเช่นนี้เองรึ? แค่แสดงอำนาจเท่านั้นรึ? ถึงต้องฆ่าและทำลายตำหนักเช่นนี้?
แสดงอำนาจอะไรกัน!
ซือหยูมองท้องนภาและถอนหายใจ
“เหตุใดถึงมีแต่คนที่ไม่รู้อะไรมาที่นี่เพื่ออ้อนวอนขอความตายจากข้ากัน?”
คนแรกคือเฟิงฉิง จากนั้นก็เป็นซื่อเหยา ตามด้วยซางเจี้ยน แล้วก็ยังเป็นคนที่ถูกเรียกว่ารองเจ้าตำหนักลำดับหนึ่ง!
“ดูเหมือนว่าข้ายังฆ่าคนไม่พอสินะ ข้ายังโหดร้ายป่าเถื่อนไม่พอสินะ!”
ซือหยูมองท้องนภาอย่างดุร้าย
“ถ้าเป็นเช่นนั้น ข้าก็จะสังหารจนสวรรค์พลิกฝ่ามือ! ข้าจะสังหารให้ทุกคนได้เห็น!”
วันนี้เขาโชคดีที่กลับมาช่วยฉีหยุนเซี่ยงได้ทันเวลาและแก้แค้นให้เหล่าทหารได้ในทันที
แต่ในอนาคตเขาอาจจะไม่ได้โชคดีเช่นนี้ เขาไม่อยากให้เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นเป็นครั้งที่สอง เขาจำเป็นร้องโหดร้ายไร้ปรานีเพื่อเป็นการเตือนแก่ผู้อื่น
“เอาล่ะ เจ้าพักได้แล้ว”
ปั้ง–
ซือหยูสะบัดดัชนีส่งคลื่นพลังวิญญาณไปจบชีวิตของเสี่ยวกวง
เจ้าตำหนักเสี่ยวกวงถูกสังหาร
นับแต่วันนี้ไป นามของรองเจ้าตำหนักอีกคนได้ลูกลบทิ้ง!
“ปูนบำเหน็จแก่ครอบครัวทหารที่ตกตาย อย่าให้พวกเขาต้องเช็ดน้ำตาหลั่งจากที่เช็ดคราบโลหิต”
ซือหยูเดินเข้าไปตรวจสอบทหารทั้งสาม
สองคนพิการไปครึ่งร่างมิอาจรักษานอกจากจะมีโอสถฟื้นฟูกายา แต่ซือหยูได้ใช้โอสถทั้งหมดไปแล้ว ไม่มีโอกาสฟื้นฟูกายาหลงเหลืออยู่บนโลกอีก
พวกเขาบาดเจ็บสาหัสเช่นนี้ก็เพราะซือหยู ซือหยูต้องรับผิดชอบ
เหล่าทหารช่วยเหลือกันและกันและเริ่มฟื้นฟูตำหนักหยินหยูขึ้นใหม่
“ผู้เฒ่าฟางไปพักเถอะ ขอบคุณที่เข้ามาขวางเมื่อสักครู่”
ซือหยูช่วยผู้เฒ่าฟางออกมาจากซากกำแพง
แต่ที่ทำให้ซือหยูตกใจก็คือแม้จะด้วยพลังของเจ้าตำหนักเสี่ยวกวง ฟางไห่เซิงที่อยู่แค่ขอบเขตมังกรกลับบาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้น
พลังโจมตีนั้นแข็งแกร่งน้อยกว่าที่ตาเห็นงั้นรึ?
“ท่านเจ้าตำหนักไม่ต้องห่วงข้าหรอก ท่านควรไปดูแลแม่นางฉีจะดีกว่า ครึ่งเดือนที่ท่านไม่กลับมา นางเป็นห่วงท่านทุกวันคืน”
ฟางไห่เซิงโบกมือและยิ้มอย่างโล่งใจ
เขามองผู้เฒ่าฟางเดินจากไป ซือหยูรู้สึกแบบเดียวกับที่เคยเห็นเขาในครั้งแรก
ครั้งแรกที่ซือหยูเห็นผู้เฒ่าฟางนั้นเขารู้สึกแบบเดียวกับที่พบหยุนย่าสีครั้งแรก แต่เขาก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงรู้สึกแปลกๆเช่นนั้น
แต่เมื่อสังเกตดูใกล้ๆเขาก็ไม่พบอะไร
“ฟางไห่เซิงผู้นี้…”
ส่วนลึกในแววตาของซือหยูแสดงความสับสน
ซือหยูคุกเข่าข้างฉีหยุนเซี่ยงและมองดูบาดแผลของนาง
“ข้าไม่เป็นไร เคราะห์ดีที่เจ้ามาทันเวลา”
ฉีหยุนเซี่ยงหน้าแดง นางเขินอาย
ซือหยูพยักหน้า
“เจ้าไม่เป็นไรก็ดีแล้ว ข้าทำให้เจ้าลำบากมาตลอดครึ่งเดือนแม้ตัวจะไม่อยู่”
“ข้าคิดไว้แล้วล่ะ…”
เสียงของนางอ่อนโยน
ทันใดนั้นเอง ดูเหมือนว่านางจะคิดอะไรขึ้นมาได้ นางรีบพูด
“ใช่แล้ว! วันนี้ข้ามีข่าวดี!”
“ข้าได้ข่าวของทั้งแม่นางเซี่ยจิงหยูกับท่านพ่อ!”
ซือหยูตกใจ สิ่งแรกสุดที่เขาทำเมื่อเข้ามายังเขตหยินหยูคือส่งคนไปรวบรวมข้อมูล สุดท้ายเขาก็ได้ข้อมูลเมื่อผ่านไปหลายเดือนแล้วรึ?
นี่เป็นข่าวดีที่สุดที่เขาเคยได้ยินในช่วงนี้เลยทีเดียว
“พวกเขาอยู่ที่ใดกัน บอกข้ามาเร็ว!”
ซือหยูร้อนรน
ฉีหยุนเซี่ยงพูดอย่างเป็นสุข
“แม่นางเซี่ยจิงหยูมีโอกาสสูงมากว่าจะอยู่ที่ตำหนักหลักของอาณาจักรทมิฬ! ตามข้อมูล แม่นางเซี่ยถูกแนะนำให้ไปตำหนักหลักเพื่อทดสอบการคัดเลือกเข้าเป็นจ้าวแห่งความมืดเพราะพรสวรรค์ดั่งเทพของนาง ดูเหมือนว่านางจะอยู่ที่นั่น”
ตำหนักหลักงั้นรึ? ซือหยูตกใจ
นั่นคือศูนย์กลางของอาณาจักรทมิฬ และยังเป็นจุดที่เหล่าผู้มีพรสวรรค์ในทวีปเฉินหลงมารวมตัวกัน