ตำหนักหลักนั้นเป็นดั่งลางร้ายตั้งแต่ครั้งโบราณของทวีปเฉินหลง พวกเขายึดทั้งทวีปและดูถูกทุกสิ่งมีชีวิต
เทียบกันแล้ว สี่ตำหนักรองเป็นแค่แขนขาเท่านั้น
เซี่ยจิงหยูในตอนนี้อยู่ที่ตำหนักหลัก!
แต่เมื่อซือหยูนึกถึงระดับปัญญาอันน่ามหัศจรรย์ของนางเขาก็ไม่แปลกใจที่น่าเป็นผู้ถูกเลือก
ในตอนนี้ แม้นางจะไม่ได้รับเลือกให้เป็นจ้าวแห่งความมืด นางก็ยังคงได้ตำแหน่งสำคัญในตำหนักหลักอยู่ดี
ถ้าซือหยูได้มีโอกาสไปที่นั่น เขาจะต้องตามหานางอย่างแน่นอน
“แล้วพ่อเจ้าล่ะ?”
ซือหยูถาม
ฉีหยุนเซี่ยงตอบด้วยความยินดี
“ท่านพ่อปรากฏตัวในเขตวิหคเพลิงเมื่อครึ่งเดือนก่อน! อาจารย์หลินหยุนฮีอยู่กับท่านพ่อด้วย!”
เขตวิหคเพลิงรึ? ซือหยูเลิกคิ้ว บังเอิญยิ่งนัก งานประชุมวิหคเพลิงกำลังจะเริ่มขึ้นและฮีตงไล่ก็ปรากฏตัวที่นั่น
และหลินหยุนฮีก็ยังอยู่กับเขาอีกด้วย!
วันนั้นที่ฉีตงไล่รอดด้วยมิติบิดเบือนของซือหยู เขาคงจะได้กลับมาที่เมืองพันธมิตรและไปหาหลินหยุนฮี
ถ้าเช่นนั้นเขาก็น่าจะรู้แล้วว่าซือหยูได้กลายเป็นรองเจ้าตำหนักหยินหยู เขาคงจะรู้อีกเช่นกันว่าฉีหยุนเซี่ยงผู้เป็นบุตรสาวอยู่ในเขตหยินหยู
แล้วทำไมเขาไม่กลับมาพบฉีหยุนเซี่ยงเล่า?
แล้วทำไมเขาถึงไม่ส่งข่าวคราวมาเลย?
หรือว่าจะมีเหตุผลที่ทำให้เขาทำไม่ได้กัน?
ทั้งสองคนมาทำอะไรที่เขตวิหคเพลิงกัน?
หลังจากครุ่นคิด ซือหยูยิ้ม
“หยุนเซี่ยง อีกสามวันเจ้าจะตามข้าไปที่เขตวิหคเพลิง หลังจากี่ข้าจัดการธุระเสร็จ ข้าจะช่วยเจ้าตามหาท่านเจ้าตำหนักฉี”
ฉีหยุนเซี่ยงน้ำตาไหล แววตานั้นกำลังตื่นเต้น
หลังจากที่แยกจากท่านพ่อมาหลายเดือน ในที่สุดนางจะได้พบกับท่านอีกครั้ง
“หยินหยู ขอบคุณเจ้ามาก ข้าจะต้องตอบแทนน้ำใจเจ้าแน่!”
ฉีหยุนเซี่ยงขอบคุณอย่างจริงใจ
ซือหยูทำเพื่อนางมากเกินไปแล้ว!
ช่วยชีวิต ดูแล และช่วยนางหาท่านพ่อ นางไม่รู้จะตอบแทนได้อย่างไร
“ข้าเพียงแต่หวังว่าเจ้าจะสบายใจและไม่คิดมากก็เท่านั้น ตอนนี้เจ้าไปพักเถอะ เราจะเดินทางในอีกสามวัน”
ซือหยูแตะบ่าของนางและยิ้มอย่างสบายใจ
ฉีหยุนเซี่ยงยิ้ม
“เจ้าก็ด้วย”
หลังพูดจบนางก็มองซือหยูที่เดินจากไป
นางมองร่างกับผอมบาง ความหม่นหมองปกคลุมดวงตาอันสดใส
นางยิ้มเยาะให้ตนเอง
“ข้าพบถูกคนในเวลาที่ผิด มันก็คงจะเป็นเช่นนี้เอง”
สิ่งที่น่ารู้สึกกับซือหยูนั้นมิอาจอธิบายได้
แต่นางก็รู้ว่าซือหยูมีคู่หมั้น หากซือหยูมีใครอยู่แล้ว เขาก็มองนางได้แค่เป็นสหายคนหนึ่งเท่านั้น
ฉีหยุนเซี่ยงเองมิอาจครอบครองบุรุษคนเดียวร่วมกับสตรีอื่นได้ นี่คือเรื่องธรรมดาของสตรีทุกคน เป็นสิ่งที่ไม่เกี่ยวกับพลังความสามารถ
ด้วยประการนี้ นางจึงทำได้แค่เก็บความรู้สึกที่ไม่มีวันเป็นจริงเอาไว้ เป็นดั้งเรื่องเสียใจหนึ่งเรื่องราวของชีวิต
ระหว่างสามวัน
นอกจากการฝึกฝนแล้วซือหยูยังใช้เวลานี้ในการชำระธนูมังกรฟ้าดิน
เพราะเป็นหยดหมื่นพลที่ตู่หลงมอบให้กับเขา เขาต้องใช้มันอย่างรอบคอบ
ตลอดครึ่งเดือนที่เขารีบบ่มเพาะพลัง เขาได้เริ่มชำระธนูมังกรฟ้าดิน และในตอนนี้หยดหมื่นพลมากกว่าครึ่งที่มีผลเทียบเท่าเจ็ดในสิบส่วนของหยดตั้งต้นก็ได้ถูกใช้ไปแล้ว
ดังนั้นเขาจึงเหลือหยดหมื่นพลอีกเล็กน้อยเท่านั้น
เมื่อเวลาผ่านไป หยดหมื่นพลได้ซึมเข้าสู่ธนูเงินและขับโลหิตของเจ้าของเดิมออกมา ในเวลาเดียวกันซือหยูก็ใช้โลหิตของตัวเองใส่ลงไปในธนูเงิน
ขั้นตอนนั้นยากและเชื่องช้า
สุดท้าย ในเช้าวันที่สาม
ฟึ่บ–
เสียงร้องดังราวกับมังกรขับบทเพลงดังมาจากมังกรทะยานนภาที่สลักอยู่บนธนู
เสียงนั้นดังอยู่นาน มันมีพลังมหาศาลที่ไม่รู้ว่าคือสิ่งใด
และมันก็ยังมีจังหวะที่คล้ายคลึงกับอรหันต์แปดอักษรเล็กน้อย
ซือหยูชำระธนูได้หนึ่งในสิบส่วนแล้ว!
ก่อนหน้านี้ หยดหมื่นพลหนึ่งหยดที่เจือจางนั้นชำระธนูได้เพียงเล็กน้อย แต่ในตอนนี้เมื่อได้ใช้โลหิตของตู่หลง ซือหยูก็ชำระมันได้หนึ่งในสิบส่วน!
ก่อนหน้านี้เขาดึงสายธนูได้ระยะเพียงนิ้วเดียว แต่ในตอนนี้เขาทำได้ถึงสามนิ้ว!
ศรวิญญาณที่ยาวพอๆกับดัชนีก่อตัวขึ้น
แม้ศรวิญญาณจะโปร่งใสอย่างเคย มันก็ไม่ได้เหมือนกับศรเดิม พลังของมันเพิ่มขึ้นมาสามเท่า!
การชำระธนูเงินก่อนงานประชุมวิหคเพลิงนั้นคือสิ่งที่คุ้มค่าที่สุดที่จะทำ
ในงานชุมนุมครั้งใหญ่ที่มียอดฝีมือแข็งแกร่งมารวมตัวกันมากมายเช่นนี้ ซือหยูคิดว่าการมีพลังพิเศษนั่นหมายถึงความหวังที่มากขึ้นในการได้คว้าชัย!
“หยินหยู เจ้าตื่นหรือยัง?”
ฉีหยุนเซี่ยงยืนรออยู่ที่หน้าประตูอย่างร้อนใจ
ซือหยูเปิดประตู
“ข้าตื่นแล้ว ไปกันเถอะ!”
เมื่อทั้งสองกำลังจะออกเดินทาง เสียงแหลมราวกับเสียงวิหคก็ดังมาจากท้องฟ้า
เสียงนั้นดังก้องแสบแก้วหู
พลังวิญญาณของนักรบทุกคนในเมืองร่างสั่นไหว โลหิตของพวกเขาเดือดพล่าน
บางคนที่ฐานพลังต่ำตัวสั่นจนหมดสติทันที
ทวารบนใบหน้าของคนที่แข็งแกร่งกว่าเริ่มมีโลหิตไหล พวกเขาตกตะลึงและยากที่จะควบคุมร่างกาย
มีเพียงคนในขอบเขตอำมฤตเท่านั้นที่อดทนเสียงนี้ได้
คลื่นเสียงแพร่กระจายไปทั่วเขตและมาถึงตำหนักหยินหยูอย่างรวดเร็ว
ซือหยูสีหน้าเย็นชา เขารีบพุ่งออกจากประตูเพื่อปกป้องฉีหยุนเซี่ยง
พรึ่บ–
คลื่นเสียงกระทบชายเสื้อที่เอามาบังฉีหยุนเซี่ยงจนเกิดเสียงดัง คลื่นเสียงนั้นยังทำให้เศษซากในตำหนักถูกยกขึ้นมาร้อยศอก
ไม่นานท้องนภาก็เต็ทมไปด้วยก้อนศิลาและฝุ่นควันบดบังดวงตะวัน
เงาทมิฬปรากฏตัวขึ้นหลังฝุ่นหนาเหนือตำหนักหยินหยู เสียงแหลมยังคงดังต่อไป
คนในตำหนักปวดหัวอย่างรุนแรงจนกะโหลกแทบจะร้าว พลังชีวิตของพวกเขาเริ่มแห้งเหือด
“ออกมา!”
ซือหยูอ้าปากพูด
พลังมหาศาลของอรหันต์แปดอักษรก่อตัวเป็นคลื่นเสียงอันทรงพลังพุ่งตรงไปยังท้องนภา พลังนั้นทำให้คลื่นเสียงที่พุ่งเข้ามาอย่างไม่ลดละนั้นหยุดลง
ทุกคนรู้สึกดีขึ้นบ้าง วพกเขารีบหาจุดหลบภัย
ทุกคนเงยหน้าขึ้นมอง หลังจากฝุ่นควันสงบลงแล้วก็พบผู้ร้ายที่ทำเช่นนี้
เป็นวิหคครามขนาดร้อยศอก
ขนน้ำหนักเบาของมันกรีดกรายบนนภาอย่างงดงาม แววตาคมกริบของมันมองทุกคนเบื้องล่าง
รังสีพลังของอำมฤตระดับสามขั้นต้นทำให้เหล่ายอดฝีมือตัวสั่น
“วิหคครามลวง! นั่นคือวิหคครามลวงของเจ้าตำหนักลำดับสอง!”
“อะไรกัน นั่นคือวิหคครามที่ร่ำลือรึ? ได้ยินว่ามันยังมีสายเลือดอมตะอยู่ด้วย ทุกวันมันจะเดินทางได้หลายล้านลี้ พลังของมันเหนือกว่าอำมฤตระดับสามและก็เหนือว่ายอดฝีมืออำมฤตระดับสี่ทั่วไป!”
“ถ้ามันอยู่ที่นี่ รองเจ้าตำหนักหลิวลี่ก็ต้องอยู่ด้วยสินะ?”
รองเจ้าตำหนักลำดับสอง เจ้าตำหนักหลิวลี่!
เขามีพลังเป็นรองแค่เฉินคง!
นอกจากเฉินคงแล้วเขาไม่ได้ต่อสู้กับรองเจ้าตำหนักคนอื่นมาหลายปี
ส่วนเหตุผลก็เพราะ…เขารู้สึกว่าคนที่ต่ำต้อยกว่านั้นไม่คู่ควรจะสู้กับเขา
เสี่ยวกวงที่เป็นลำดับสามก็รวมอยู่ในนั้นเช่นกัน แม้ว่าลำดับจะต่างเพียงหนึ่งเดียว พลังของพวกเขาก็ต่างกันราวฟ้ากับเหว เป็นพลังคนละขอบเขตโดยสมบูรณ์
เสี่ยวกวงอดทนแค่การมองของหลิวลี่ไม่ได้ด้วยซ้ำ ไม่ต้องพูดถึงการต่อสู้เผชิญหน้ากันเลย!
ตั้งแต่ต้นจนจบ หลิวลี่มีศัตรูอยู่เพียงคนเดียว นั่นคือเฉินคง!
เขาได้พูดเช่นนี้ในงานที่มีคนมากมาย
ในตำหนักรองของทวีปนี้ คนคนเดียวที่จะสู้กับเขาได้ก็คือเฉินคงแต่เพียงผู้เดียว
ว่ากันว่าเขาสู้กับเฉินคงมาแล้วหลายครั้ง มีโอกาสสูงมากที่เขาจะได้แทนที่เฉินคงและเป็นหัวหน้าของรองเจ้าตำหนักคนใหม่
ซือหยูเคร่งเครียดแต่ก็ไม่สนใจวิหคคราม เขามองไปยังร่างสูงใหญ่บนหลังวิหค