ตอนที่ 349

The Divine Nine Dragon Cauldron

ตำหนักหลักนั้นเป็นดั่งลางร้ายตั้งแต่ครั้งโบราณของทวีปเฉินหลง พวกเขายึดทั้งทวีปและดูถูกทุกสิ่งมีชีวิต

 

เทียบกันแล้ว สี่ตำหนักรองเป็นแค่แขนขาเท่านั้น

 

เซี่ยจิงหยูในตอนนี้อยู่ที่ตำหนักหลัก!

 

แต่เมื่อซือหยูนึกถึงระดับปัญญาอันน่ามหัศจรรย์ของนางเขาก็ไม่แปลกใจที่น่าเป็นผู้ถูกเลือก

 

ในตอนนี้ แม้นางจะไม่ได้รับเลือกให้เป็นจ้าวแห่งความมืด นางก็ยังคงได้ตำแหน่งสำคัญในตำหนักหลักอยู่ดี

 

ถ้าซือหยูได้มีโอกาสไปที่นั่น เขาจะต้องตามหานางอย่างแน่นอน

 

“แล้วพ่อเจ้าล่ะ?”

 

ซือหยูถาม

 

ฉีหยุนเซี่ยงตอบด้วยความยินดี

 

“ท่านพ่อปรากฏตัวในเขตวิหคเพลิงเมื่อครึ่งเดือนก่อน! อาจารย์หลินหยุนฮีอยู่กับท่านพ่อด้วย!”

 

เขตวิหคเพลิงรึ? ซือหยูเลิกคิ้ว บังเอิญยิ่งนัก งานประชุมวิหคเพลิงกำลังจะเริ่มขึ้นและฮีตงไล่ก็ปรากฏตัวที่นั่น

 

และหลินหยุนฮีก็ยังอยู่กับเขาอีกด้วย!

 

วันนั้นที่ฉีตงไล่รอดด้วยมิติบิดเบือนของซือหยู เขาคงจะได้กลับมาที่เมืองพันธมิตรและไปหาหลินหยุนฮี

 

ถ้าเช่นนั้นเขาก็น่าจะรู้แล้วว่าซือหยูได้กลายเป็นรองเจ้าตำหนักหยินหยู เขาคงจะรู้อีกเช่นกันว่าฉีหยุนเซี่ยงผู้เป็นบุตรสาวอยู่ในเขตหยินหยู

 

แล้วทำไมเขาไม่กลับมาพบฉีหยุนเซี่ยงเล่า?

แล้วทำไมเขาถึงไม่ส่งข่าวคราวมาเลย?

 

หรือว่าจะมีเหตุผลที่ทำให้เขาทำไม่ได้กัน?

 

ทั้งสองคนมาทำอะไรที่เขตวิหคเพลิงกัน?

 

หลังจากครุ่นคิด ซือหยูยิ้ม

 

“หยุนเซี่ยง อีกสามวันเจ้าจะตามข้าไปที่เขตวิหคเพลิง หลังจากี่ข้าจัดการธุระเสร็จ ข้าจะช่วยเจ้าตามหาท่านเจ้าตำหนักฉี”

 

ฉีหยุนเซี่ยงน้ำตาไหล แววตานั้นกำลังตื่นเต้น

 

หลังจากที่แยกจากท่านพ่อมาหลายเดือน ในที่สุดนางจะได้พบกับท่านอีกครั้ง

 

“หยินหยู ขอบคุณเจ้ามาก ข้าจะต้องตอบแทนน้ำใจเจ้าแน่!”

 

ฉีหยุนเซี่ยงขอบคุณอย่างจริงใจ

 

ซือหยูทำเพื่อนางมากเกินไปแล้ว!

 

ช่วยชีวิต ดูแล และช่วยนางหาท่านพ่อ นางไม่รู้จะตอบแทนได้อย่างไร

 

“ข้าเพียงแต่หวังว่าเจ้าจะสบายใจและไม่คิดมากก็เท่านั้น ตอนนี้เจ้าไปพักเถอะ เราจะเดินทางในอีกสามวัน”

 

ซือหยูแตะบ่าของนางและยิ้มอย่างสบายใจ

 

ฉีหยุนเซี่ยงยิ้ม

 

“เจ้าก็ด้วย”

 

หลังพูดจบนางก็มองซือหยูที่เดินจากไป

 

นางมองร่างกับผอมบาง ความหม่นหมองปกคลุมดวงตาอันสดใส

 

นางยิ้มเยาะให้ตนเอง

 

“ข้าพบถูกคนในเวลาที่ผิด มันก็คงจะเป็นเช่นนี้เอง”

 

สิ่งที่น่ารู้สึกกับซือหยูนั้นมิอาจอธิบายได้

 

แต่นางก็รู้ว่าซือหยูมีคู่หมั้น หากซือหยูมีใครอยู่แล้ว เขาก็มองนางได้แค่เป็นสหายคนหนึ่งเท่านั้น

 

ฉีหยุนเซี่ยงเองมิอาจครอบครองบุรุษคนเดียวร่วมกับสตรีอื่นได้ นี่คือเรื่องธรรมดาของสตรีทุกคน เป็นสิ่งที่ไม่เกี่ยวกับพลังความสามารถ

 

ด้วยประการนี้ นางจึงทำได้แค่เก็บความรู้สึกที่ไม่มีวันเป็นจริงเอาไว้ เป็นดั้งเรื่องเสียใจหนึ่งเรื่องราวของชีวิต

 

ระหว่างสามวัน

 

นอกจากการฝึกฝนแล้วซือหยูยังใช้เวลานี้ในการชำระธนูมังกรฟ้าดิน

 

เพราะเป็นหยดหมื่นพลที่ตู่หลงมอบให้กับเขา เขาต้องใช้มันอย่างรอบคอบ

 

ตลอดครึ่งเดือนที่เขารีบบ่มเพาะพลัง เขาได้เริ่มชำระธนูมังกรฟ้าดิน และในตอนนี้หยดหมื่นพลมากกว่าครึ่งที่มีผลเทียบเท่าเจ็ดในสิบส่วนของหยดตั้งต้นก็ได้ถูกใช้ไปแล้ว

 

ดังนั้นเขาจึงเหลือหยดหมื่นพลอีกเล็กน้อยเท่านั้น

 

เมื่อเวลาผ่านไป หยดหมื่นพลได้ซึมเข้าสู่ธนูเงินและขับโลหิตของเจ้าของเดิมออกมา ในเวลาเดียวกันซือหยูก็ใช้โลหิตของตัวเองใส่ลงไปในธนูเงิน

 

ขั้นตอนนั้นยากและเชื่องช้า

 

สุดท้าย ในเช้าวันที่สาม

 

ฟึ่บ–

 

เสียงร้องดังราวกับมังกรขับบทเพลงดังมาจากมังกรทะยานนภาที่สลักอยู่บนธนู

 

เสียงนั้นดังอยู่นาน มันมีพลังมหาศาลที่ไม่รู้ว่าคือสิ่งใด

 

และมันก็ยังมีจังหวะที่คล้ายคลึงกับอรหันต์แปดอักษรเล็กน้อย

 

ซือหยูชำระธนูได้หนึ่งในสิบส่วนแล้ว!

 

ก่อนหน้านี้ หยดหมื่นพลหนึ่งหยดที่เจือจางนั้นชำระธนูได้เพียงเล็กน้อย แต่ในตอนนี้เมื่อได้ใช้โลหิตของตู่หลง ซือหยูก็ชำระมันได้หนึ่งในสิบส่วน!

 

ก่อนหน้านี้เขาดึงสายธนูได้ระยะเพียงนิ้วเดียว แต่ในตอนนี้เขาทำได้ถึงสามนิ้ว!

 

ศรวิญญาณที่ยาวพอๆกับดัชนีก่อตัวขึ้น

 

แม้ศรวิญญาณจะโปร่งใสอย่างเคย มันก็ไม่ได้เหมือนกับศรเดิม พลังของมันเพิ่มขึ้นมาสามเท่า!

 

การชำระธนูเงินก่อนงานประชุมวิหคเพลิงนั้นคือสิ่งที่คุ้มค่าที่สุดที่จะทำ

 

ในงานชุมนุมครั้งใหญ่ที่มียอดฝีมือแข็งแกร่งมารวมตัวกันมากมายเช่นนี้ ซือหยูคิดว่าการมีพลังพิเศษนั่นหมายถึงความหวังที่มากขึ้นในการได้คว้าชัย!

 

“หยินหยู เจ้าตื่นหรือยัง?”

 

ฉีหยุนเซี่ยงยืนรออยู่ที่หน้าประตูอย่างร้อนใจ

 

ซือหยูเปิดประตู

 

“ข้าตื่นแล้ว ไปกันเถอะ!”

 

เมื่อทั้งสองกำลังจะออกเดินทาง เสียงแหลมราวกับเสียงวิหคก็ดังมาจากท้องฟ้า

 

เสียงนั้นดังก้องแสบแก้วหู

 

พลังวิญญาณของนักรบทุกคนในเมืองร่างสั่นไหว โลหิตของพวกเขาเดือดพล่าน

 

บางคนที่ฐานพลังต่ำตัวสั่นจนหมดสติทันที

 

ทวารบนใบหน้าของคนที่แข็งแกร่งกว่าเริ่มมีโลหิตไหล พวกเขาตกตะลึงและยากที่จะควบคุมร่างกาย

 

มีเพียงคนในขอบเขตอำมฤตเท่านั้นที่อดทนเสียงนี้ได้

 

คลื่นเสียงแพร่กระจายไปทั่วเขตและมาถึงตำหนักหยินหยูอย่างรวดเร็ว

 

ซือหยูสีหน้าเย็นชา เขารีบพุ่งออกจากประตูเพื่อปกป้องฉีหยุนเซี่ยง

 

พรึ่บ–

 

คลื่นเสียงกระทบชายเสื้อที่เอามาบังฉีหยุนเซี่ยงจนเกิดเสียงดัง คลื่นเสียงนั้นยังทำให้เศษซากในตำหนักถูกยกขึ้นมาร้อยศอก

 

ไม่นานท้องนภาก็เต็ทมไปด้วยก้อนศิลาและฝุ่นควันบดบังดวงตะวัน

 

เงาทมิฬปรากฏตัวขึ้นหลังฝุ่นหนาเหนือตำหนักหยินหยู เสียงแหลมยังคงดังต่อไป

 

คนในตำหนักปวดหัวอย่างรุนแรงจนกะโหลกแทบจะร้าว พลังชีวิตของพวกเขาเริ่มแห้งเหือด

 

“ออกมา!”

 

ซือหยูอ้าปากพูด

 

พลังมหาศาลของอรหันต์แปดอักษรก่อตัวเป็นคลื่นเสียงอันทรงพลังพุ่งตรงไปยังท้องนภา พลังนั้นทำให้คลื่นเสียงที่พุ่งเข้ามาอย่างไม่ลดละนั้นหยุดลง

 

ทุกคนรู้สึกดีขึ้นบ้าง วพกเขารีบหาจุดหลบภัย

 

ทุกคนเงยหน้าขึ้นมอง หลังจากฝุ่นควันสงบลงแล้วก็พบผู้ร้ายที่ทำเช่นนี้

 

เป็นวิหคครามขนาดร้อยศอก

 

ขนน้ำหนักเบาของมันกรีดกรายบนนภาอย่างงดงาม แววตาคมกริบของมันมองทุกคนเบื้องล่าง

 

รังสีพลังของอำมฤตระดับสามขั้นต้นทำให้เหล่ายอดฝีมือตัวสั่น

 

“วิหคครามลวง! นั่นคือวิหคครามลวงของเจ้าตำหนักลำดับสอง!”

 

“อะไรกัน นั่นคือวิหคครามที่ร่ำลือรึ? ได้ยินว่ามันยังมีสายเลือดอมตะอยู่ด้วย ทุกวันมันจะเดินทางได้หลายล้านลี้ พลังของมันเหนือกว่าอำมฤตระดับสามและก็เหนือว่ายอดฝีมืออำมฤตระดับสี่ทั่วไป!”

 

“ถ้ามันอยู่ที่นี่ รองเจ้าตำหนักหลิวลี่ก็ต้องอยู่ด้วยสินะ?”

 

รองเจ้าตำหนักลำดับสอง เจ้าตำหนักหลิวลี่!

 

เขามีพลังเป็นรองแค่เฉินคง!

 

นอกจากเฉินคงแล้วเขาไม่ได้ต่อสู้กับรองเจ้าตำหนักคนอื่นมาหลายปี

 

ส่วนเหตุผลก็เพราะ…เขารู้สึกว่าคนที่ต่ำต้อยกว่านั้นไม่คู่ควรจะสู้กับเขา

 

เสี่ยวกวงที่เป็นลำดับสามก็รวมอยู่ในนั้นเช่นกัน แม้ว่าลำดับจะต่างเพียงหนึ่งเดียว พลังของพวกเขาก็ต่างกันราวฟ้ากับเหว เป็นพลังคนละขอบเขตโดยสมบูรณ์

 

เสี่ยวกวงอดทนแค่การมองของหลิวลี่ไม่ได้ด้วยซ้ำ ไม่ต้องพูดถึงการต่อสู้เผชิญหน้ากันเลย!

 

ตั้งแต่ต้นจนจบ หลิวลี่มีศัตรูอยู่เพียงคนเดียว นั่นคือเฉินคง!

 

เขาได้พูดเช่นนี้ในงานที่มีคนมากมาย

 

ในตำหนักรองของทวีปนี้ คนคนเดียวที่จะสู้กับเขาได้ก็คือเฉินคงแต่เพียงผู้เดียว

 

ว่ากันว่าเขาสู้กับเฉินคงมาแล้วหลายครั้ง มีโอกาสสูงมากที่เขาจะได้แทนที่เฉินคงและเป็นหัวหน้าของรองเจ้าตำหนักคนใหม่

 

ซือหยูเคร่งเครียดแต่ก็ไม่สนใจวิหคคราม เขามองไปยังร่างสูงใหญ่บนหลังวิหค