เขาคือชายหนุ่มอายุประมาณยี่สิบห้าปี ฐานพลังของเขาอยู่ที่อำมฤตระดับสี่!
ซือหยูเคยเห็นพลังของอำมฤตระดับสี่มาก่อนแล้ว
ในคลื่นสัตว์อสูรจากป่าทมิฬ ราชาวิหคน้ำแข็งได้สั่นคลอนธรณี เพียงแค่ลมหายใจก็ทำลายทุกสิ่งในระยะสามร้อยลี้
ซือหยูจดจำเหตุการณ์อันน่ากลัวนั้นได้ขึ้นใจ
บอกได้เลยว่าอำมฤตระดับสี่ขั้นคือระดับใหม่ของเหล่ายอดฝีมือ
นั่นคือระดับที่ใกล้เคียงกับเทพ
ทุกการเคลื่อนไหวมีพลังอันมหาศาล แข็งแกร่งกว่าอำมฤตระดับสามอย่างมาก
นี่คือรองเจ้าตำหนักลำดับสอง หลิวลี่งั้นรึ?
“เจ้าตำหนักหลิวลี่จริงๆด้วย!”
กลุ่มทหารอุทานอย่างตกใจ แววตาพวกเขานอบน้อมในทันที
พวกเขาบาดเจ็บเพราะสัตว์อสูรของหลิวลี่แต่ก็ไม่มีใครกล้าที่จะโอดครวญ พวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะรู้สึกชิงชังในจิตใจ
เมื่อเฟิงฉิง ซื่อเหยา กับเสี่ยวกวงโจมตีพวกเขา พวกเขาโกรธเกรี้ยวแต่ก็ไม่กล้าพูดอะไร
แต่ในตอนนี้พวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะโกรธ!
“เสี่ยวกวงอยู่นี่หรือไม่?”
หลิวลี่ใช้มือทั้งสองเท้าเอว
รูปลักษณ์ของเขาดูงดงามเมื่ออาบแสงตะวัน
แต่สีหน้าของเขาไร้ชีวิตชีวา ไร้ซึ่งความสุขและทุกข์
ซือหยูสัมผัสถึงความหยาบช้าได้จากในหน้าไร้อารมณ์นั้น
ทุกคนเงียบกริบ ไม่มีใครกล้าตอบ
“ข้ากำลังถามเจ้าอยู่ หยินหยู!”
หลิวลี่ก้มลงมองซือหยู
“โอ้ เจ้าพูดกับข้าหรอกรึ?”
หลิวลี่ไม่มองซือหยูด้วยซ้ำในตอนที่พูด
“ใช่! ข้าพูดกับเจ้า จอบมา!”
หลิวลี่พูดอย่างธรรมดาแต่ก็ดูเป็นคำสั่ง
“ทำไมข้าต้องตอบเจ้าล่ะ?”
ซือหยูหัวเราะ
แววตาของหลิวลี่ไร้อารมณ์
“ข้าไม่มีเวลามากแล้วก็ไม่อยากจะให้เจ้าเสียเวลา ถ้าจะถามเป็นครั้งสุดท้าย เขาเป็นหรือตาย?”
บางทีเขาอาจจะรู้สึกว่าการเสวนากับซือหยูนั้นเป็นเรื่องเสียเวลา
“ถ้าเจ้าไม่อยากให้ข้าเสียเวลา เจ้าจะถามข้าทำไมเจ้า? เจ้าคิดว่าข้าต้องตอบเจ้าด้วยรึ?”
ซือหยูหัวเราะ
หลิวลี่ส่ายหน้า เขาไม่มองซือหยู
“เจ้าไม่มีโอกาสอีกแล้ว”
“โอกาสที่ข้าจะชี้แนะเจ้า!”
จะมีรองเจ้าตำหนักอื่นใดกันที่ไม่แสดงความนับถือต่อหลิวลี่?
แต่หลิวลี่ก็ไม่เคยสนใจพวกเขา เขาแสดงเพียงท่าทางหยิ่งยโสเท่านั้น
ยากที่จะทำให้เขาได้เหลียวมอง การพูดคุยนั้นยากยิ่งกว่า
แล้วไหนจะเป็นโอกาสที่ได้ประลองกับเขาและได้คำชี้แนะ?
พูดได้เลยว่าเสี่ยวกวงที่เป็นลำดับสามก็ปรารถนาที่จะประลองกับเขาเพื่อได้รับคำชี้แนะ
ซือหยูอยากจะหัวร่อเมื่อได้ยิน…
แต่ทุกคนนั้นนับถือเขา เขาอาจจะคิดว่าตัวเองเป็นใหญ่จนเกินไปหน่อย
“เอาโอกาสนั่นให้คนอื่นไปเถอะ ข้าไม่ต้องการหรอก”
ซือหยูส่ายหน้า
หลิวลี่เหลือบตามอง
“เจ้าคิดเช่นนั้นก็เพราะว่าเจ้าอยู่ในแอ่งน้ำ เจ้าจะไม่มีวันได้เห็นเส้นทางของผู้บ่มเพาะพลังที่แท้จริง”
หลิวลี่พูดจบและสั่งวิหคครามให้ออกเดินทาง
“ไปเถอะ เสี่ยวกวงตายแล้ว เขาตายไปก็ไม่คู่ควรแก่การเวทนาด้วยซ้ำถ้าต้องตายเพราะการต่อสู้กับพวกอ่อนแอ”
ในสายตาเขา การต่อสู้ระหว่างซือหยูกับเสี่ยวกวงนั้นไร้ความหมายใดนอกจากการต่อสู้ของพวกอ่อนแอ!
ความหยาบคายของคนคนนี้นั้นน่าตกใจยิ่งนัก
สุดท้ายหลิวลี่ก็หันมามองซือหยู
“เดินทางได้ พวกเขาจะไปเจอกันที่เขตวิหคเพลิง อย่าสร้างปัญหาให้ข้า ข้าไม่มีเวลาจะมาสนใจเรื่องไร้สาระของเจ้า”
ซือหยูหัวเราะ หลิวลี่คิดว่าซือหยูจะขอให้เขาช่วยเมื่อเจอปัญหาในเขตวิหคเพลิง!
“ไปเถอะ!”
หลิวลี่กระซิบกับวิหคคราม เขาเตรียมจะเดินทาง
“เดี๋ยว!”
ซือหยูตะโกน
“เจ้าเสร็จธุระของเจ้าแล้ว แต่ข้าน่ะยัง!”
หลิวลี่ไม่แม้แต่หันมอง
“พูดมา เจ้ามีเวลาแค่นับสาม”
ซือหยูมองรอบๆและพูดอย่างเยือกเย็น
“เจ้าไม่คิดจะพูดอะไรกับคนที่เจ้าทำให้บาดเจ็บสักหน่อยรึ?”
เขาบังคับวิหคครามมาที่เมืองหยินหยูทำให้คนมากมายต้องบาดเจ็บ จะอย่างไรก็เป็นความผิดของเขา
“ไม่มีเรื่องอื่นแล้วใช่หรือไม่?”
หลิวลี่พูดอย่างใจหนักแน่น
“พูดมาซะ เจ้าจะจัดการเรื่องนี้ยังไง?”
หลิวลี่สั่งวิหคครามให้บินขึ้นและตอบกลับ
“ถ้าไม่มีเรื่องอื่นข้าก็จะไป ส่วนเรื่องที่เจ้าพูด…นั่นมันก็แค่สัญชาตญาณสัตว์ป่าของมัน มันแค่ทำร้ายมิได้สังหาร บ่งบอกอยู่แล้วว่ามันถูกควบคุมมาอย่างดี เจ้าควรจะขอบคุณที่มันไม่ได้ฆ่าคนของเจ้า”
“เอาล่ะ ข้าจะไปเจอเจ้าที่เขตวิหคเพลิง จงจำไว้ว่าอย่าสร้างปัญหาให้ข้า!”
เขาพูดจบพร้อมกับวิหคครามที่บินทะลวงนภาลับขอบฟ้าอย่างรวดเร็ว
ความเร็วของมันเหนือว่าอำมฤตระดับสี่
ซือหยูใช้พลังดวงตาแต่ก็เห็นแค่ภาพติดตาในระยะร้อยห้าสิบลี้ ซือหยูมองตามมันไม่ทัน
“หลิวลี่!”
ซือหยูโกรธแค้น
ที่หลิวลี่บอก เขาบอกว่าการที่สัตว์ขี่ของเขาไม่ได้ฆ่าใครก็เป็นการแสดงความเมตตาแล้ว ซือหยูควรจะขอบคุณที่มันทำร้ายแค่คนหลายคนเท่านั้น!
ฉีหยุนเซี่ยงโกรธเกรี้ยว
“หยาบคายนัก! ทำไมเขาไม่พูดให้พวกเราขอบคุณซะล่ะ?”
ซือหยูมองไปในทิศทางของวิหคคราม
“เราจะไปตอบแทนมันที่งานชุมนุมวิหคเพลิง คนเช่นนี้ต้องสั่งสอนด้วยหมัดเท่านั้น เหตุผลใดก็ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระกับมัน”
“เวลาเริ่มน้อยลงแล้ว ไปกันเถอะ”
ซือหยูคว้าตัวฉีหยุนเซี่ยงและบินขึ้น
ครึ่งเดือนถัดไป
พวกเขาเดินทางมาสามล้านลี้จนถึงเขตวิหคเพลิง
ที่นี่เป็นเขตที่อยู่กึ่งกลางของทวีป ที่นี่จะเป็นฤดูคิมหันต์ตลอดทั้งปีเพราะถูกรายล้อมด้วยเทือกเขา
หมอกปกคลุมเหล่าภูเขาโดยรอบอย่างงดงาม
ที่นี่เต็มไปด้วยทรัพยากรและสิ่งมีชีวิตนานาชนิด
“เขตวิหคเพลิงนั้นเป็นดินแดนของทวีปที่ได้รับพรจากธรรมชาติ พันธมิตรร้อยดินแดนเทียบไม่ได้เลย”
ฉีหยุนเซี่ยงประหม่า
ซือหยูพยักหน้า
“ใช่แล้ว! แต่ที่นี่ชื้นจนเกินไป นั่นจะทำให้เกิดพิษโดยรอบเขตเทือกเขา พวกสัตว์มีพิษน่าจะปล่อยไอพิษออกมา พิษนั่นอาจจะซึมมากับไอวารีทำให้เป็นพิษที่อันตราย”
ซือหยูพูดจบและชี้ไปที่ป่าเบื้องล่าง เขาชี้ไปยังแมลงทมิฬบนต้นไม้
“แมลงพิษสวรรค์!”
ฉีหยุนเซี่ยงตกใจ
“แมลงนี่มีพิษร้ายฆ่าได้แม้อำมฤตระดับหนึ่ง มูลค่าของมันสูงมากในร้อยดินแดน เทียบเท่ากับวิชาระดับสมบัติทั้งตำรา!”
ซือหยูส่ายหน้า
“มันไม่ได้มีแค่ตัวเดียวนะ เจ้าดูดีๆสิ!”
ฉีหยุนเซี่ยงมองอีกครั้งและพบว่ามีดินสีดำใต้ต้นไม้ที่กำลังขยับอยู่
หากมองดีๆจะพบว่านั่นไม่ใช่ดินแต่เป็นฝูงแมลงพิษสวรรค์!
มันปกคลุมพื้นที่หนึ่งร้อยเมตร จำนวนนั้นมากกว่าพันตัว!
“นะ….ถ้ามีแมลงพิษสวรรค์มากมายขนาดนี้ที่ร้อยดินแดนก็คงจะเกิดภัยพิบัติแน่ ไม่มีที่ใดนอกจากเมืองพันธมิตรที่จะรับมือมันได้เลย!”
แต่ฝูงแมลงพิษเหล่านี้ก็พบได้มากมายในเขตวิหคเพลิง
ซือหยูเลิกคิ้ว แม้ถ้าเขตวิหคเพลิงจะมีเอกลักษณ์ มันก็ผิดปกติที่จะมีสัตว์มีพิษมากมายรวมตัวกันในที่เดียว
เขาใช้พลังดวงตามองทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในระยะร้อยห้าสิบลี้
หลังจากที่สังเกตรอบๆ ใบหน้าเขาก็เคร่งเครียดขึ้นเล็กน้อย