จิ้งจอกเฒ่า…ปล่อยให้เอาเปรียบสุดๆแล้วยังจะทำเหมือนตัวเองมีน้ำใจมาก? เสี่ยวเชี่ยนก้มหน้าคิดหาทาง
“ท่านคะ ให้หนูไปช่วยงานได้ไม่มีปัญหา แต่ขอนิดนึงนะคะ หนูขอเลือกงานที่จะทำเอง”
“หืม?”
“ท่านก็บอกอยู่ว่าอยากให้เราสองคนสามีภรรยาได้มีเวลาอยู่ด้วยกันบ่อยๆ งั้นก็ต้องให้หนูไปทำงานร่วมกับสามี โปรเจ็คต์ของท่านใหญ่ขนาดนี้ย่อมต้องแบ่งเป็นหลายภาคส่วน หนูขอเลือกงานเอง จะต้องเป็นตำแหน่งที่ได้ใกล้ชิดสามีที่สุดแน่นอนค่ะ”
ขุดหลุมให้ประธานเชี่ยนโดดลงไปใช่ไหมล่ะ? งั้นประธานเชี่ยนก็ขอขุดหลุมเอาคืนบ้างแล้วกัน
หลุมนี้ทำผู้บัญชาการอึ้งไปเล็กน้อย งานที่จะได้ใกล้ชิดกับอวี๋หมิงหลางที่สุด งั้นก็ต้องเป็นทีมวิเคราะห์สภาพจิตใจของทหารหน่วยรบพิเศษสิ ช่วยวิเคราะห์คดีใหญ่ต่างๆ
ประเด็นคือทีมนั้นแทบไม่ต้องใช้ผู้ช่วยจากภายนอกเลยด้วยซ้ำ ทางหน่วยมีทีมที่รับผิดชอบโดยเฉพาะอยู่แล้ว อยู่ๆส่งผู้ช่วยไปเพิ่ม คนในทีมจะว่าอะไรหรือเปล่า?
เดิมเขาอยากจะเอาคืนเด็กสาวที่ฉลาดเป็นกรดคนนี้ ให้เธอไปบรรยายพิเศษด้านจิตวิทยาให้กับเหล่าทหารแบบฟรีๆสักสองสามคลาส และก็อยากให้ไปแลกเปลี่ยนความรู้กับทีมจิตวิทยาของกองทัพเพื่อให้ก้าวหน้าขึ้น แน่นอนว่าในใจของผู้บัญชาการยังมีแผนระยะยาวที่ลึกซึ้งกว่านั้น เพียงแต่ยังไม่พูดตอนนี้
แต่เด็กคนนี้ก็ฉลาดเหลือเกิน ขุดหลุมดักเขาได้อย่างเนียนๆ อีกทั้งยังใช้คำพูดของเขาหวนกลับมาเล่นงานจนเขาพูดไม่ออก
ไม่ว่าเมื่อไรเธอก็สามารถหาทางทำให้อีกฝ่ายจนมุมได้เสมอ
ถ้าผู้บัญชาการพูดว่าไม่สะดวก แบบนั้นเสี่ยวเชี่ยนก็จะบอกปัดได้ แถมยังถือเป็นการตบหน้าผู้บัญชาการแบบล่องหนด้วย
แต่ถ้าผู้บัญชาการตอบตกลง เธอก็ได้ไปทำงานที่สบายๆ แถมยังได้มีโอกาสอยู่กับสามีตัวเองด้วย
สำหรับเสี่ยวเชี่ยนแล้วไม่ว่าผู้บัญชาการจะตอบตกลงหรือไม่ เธอก็ไม่เสียเปรียบทั้งสองทาง ถ้าตอบตกลงจริงๆ การที่เธอจะได้ไปสัมผัสกับคดีต่างๆที่ยากจะได้เจอในยามปกติก็ถือว่าเป็นการเปิดประสบการณ์
ผู้บัญชาการถูกเสี่ยวเชี่ยนเล่นงานจนไปไม่ถูก ทำได้แค่กัดฟันกรอด
“แล้วฉันจะติดต่อให้ เธอกลับไปก็เข้าไปได้เลย”
เสี่ยวเชี่ยนมองผู้บัญชาการที่เห็นๆอยู่ว่าโดนเอาคืนอย่างแสนสาหัสแต่กลับทำหน้าเรียบเฉย เธอแอบชูสองนิ้วในใจ Oh Yes!
จิ้งจอกเฒ่าคิดจะเล่นงานเธอ ประธานเชี่ยนยึดหลักการต่อให้เธอเอาเปรียบคืนไม่ได้ก็ขอเล่นงานกลับแบบแสบๆคันๆหน่อยแล้วกัน ทำให้ผู้บัญชาการถึงกับไปไม่ถูก เธอพอใจกับผลลัพธ์มากทีเดียว
พอเสี่ยวเชี่ยนไปดื่มเหล้าฉลองกับโต๊ะอื่นแล้วผู้บัญชาการถึงได้พูดกับพ่ออวี๋ “นายไปหาลูกสะใภ้แบบนี้มาจากไหน?”
เขาขึ้นมาอยู่ถึงระดับนี้รอบตัวมีแต่คนฉลาดทั้งนั้น แต่คนที่ฉลาดระดับเสี่ยวเชี่ยน ถึงขนาดที่ว่าต่อให้รู้ว่าเธอหลอกก็เต็มใจให้หลอกแบบนี้มีไม่เยอะเลยจริงๆ และที่น่าทึ่งยิ่งกว่าก็คือเธอเพิ่งจะอายุเท่าไรเอง?
พ่ออวี๋สุดจะภูมิใจ “อิจฉาใช่ไหมล่ะ? ฮ่าๆ น่าเสียดายที่ลูกสะใภ้ฉันเป็นลูกสาวคนเดียวของบ้าน ไม่มีพี่น้องจะแนะนำให้ลูกชายของนาย คนเราแข่งบุญแข่งวาสนากันไม่ได้หรอกนะ ดื่มเถอะดื่ม!”
ผู้บัญชาการดื่มเหล้า แต่ในใจแอบบ่น เขาฉวยโอกาสตอนที่พ่ออวี๋ไปโต๊ะอื่นลุกไปตรงที่ที่ไม่มีคนแล้วกดโทรออก
“เรื่องที่นายให้ฉันทำไม่สำเร็จนะ เด็กคนนั้นเจ้าเล่ห์มาก ฉันทำตามที่นายบอกจะให้เขาไปบรรยาย แต่เขากลับเล่นงานฉันซะจุก เรื่องนี้…”
พอเล่าเรื่องราวตอนเขาถูกเสี่ยวเชี่ยนเล่นงาน อีกฝ่ายก็หัวเราะเสียงดัง
“เยี่ยม เยี่ยมจริงๆ อายุแค่นี้ก็เล่นงานนายได้แล้ว อนาคตไกลแน่นอนเด็กคนนี้ แต่แน่นอนว่าคนที่ร้ายกาจที่สุดก็คือศาสตราจารย์ชี เขากะไว้แล้วว่าเด็กคนนี้จะมีท่าทีแบบนี้ ฉันล่ะรอดูวันที่สองคนนี้ได้มาป๊ะกันเสียทีคงจะมันน่าดู!”
“ตกลงพวกนายเล่นอะไรกันแน่?” ผู้บัญชาการไม่เข้าใจ
“หน่วยงานของฉันอีกไม่กี่ปีคงได้มีสมาชิกที่อายุน้อยที่สุดแน่”
“อะไรนะ?” ผู้บัญชาการตกใจ
หน่วยงานของเพื่อนเขาคนนี้ถือว่าสุดยอดทีเดียว ถึงจะไม่ได้เป็นทหาร แต่เรื่องที่ทำใหญ่ๆทั้งนั้น!
“แต่ก็ต้องดูผลงานของเขาในอนาคตล่ะนะ หัวหน้าใหญ่ที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ของหน่วยรบพิเศษ บางทีเมียของเขาก็อาจกลายเป็นสมาชิกของทีมฉันที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์เหมือนกัน…ฮ่าๆๆ สองผัวเมียคู่นี้ช่างน่าติดตามจริงๆ”
งานเลี้ยงดำเนินมาถึงช่วงปลาย เสี่ยวเชี่ยนขอแวบออกจากงานโดยอ้างว่าไปเติมหน้า
เธอออกมาจากงานที่แสนครึกครื้นวุ่นวายไปอยู่ในห้องน้ำที่เงียบสงบ เธอมองตัวเองในกระจกที่วันนี้แต่งหน้าอย่างประณีตสวยงาม จากนั้นก็ถอนหายใจโดยไร้เสียง
ไม่ว่าภายนอกจะแสดงออกมาได้ดีเพียงใด แต่ก็ใช่ว่าภายในใจจะสงบไร้คลื่นป่วน
เป็นเพียงแค่การแสดงออกเพื่อลดความเสียหายในงานมงคลก็เท่านั้น ต้องอดทนเพื่อรักษาภาพรวมเอาไว้
“ฉันคิดว่าเธอจะไม่มางานเลี้ยงเสียอีก”
เสียงอันไพเราะของผู้หญิงดังมาจากด้านหลัง
เสี่ยวเชี่ยนอยากอยู่เงียบๆคนเดียวจึงไม่ให้เพื่อนเจ้าสาวตามมา ฟังจากเสียงนี้น่าจะเป็น—
เสี่ยวเชี่ยนเงยหน้า แล้วก็เห็นอวี๋หมิงซียืนอยู่ข้างหลังตามคาด
อวี๋หมิงซีเป็นคนสวยมากจริงๆ ใบหน้าได้รูป หุ่นดีมีทรวดทรง เป็นนักร้องของกองทัพมีมาดในแบบฉบับของตัวเอง สู้ดาราข้างนอกได้สบาย
“วันนี้พี่สวยมากค่ะ” เสี่ยวเชี่ยนชมพลางเปิดก๊อกน้ำล้างมือ
เธอต้องการน้ำมาช่วยให้อารมณ์ที่ปั่นป่วนในตอนนี้สงบลง
“เธอสวยกว่านะ แต่สวยขนาดนี้น้องเล็กกลับไม่ได้เห็นน่าเสียดายแย่ เดิมฉันคิดว่าเธอจะโกรธ แต่เธออดทนเก่งมากกว่าที่ฉันคิด”
อวี๋หมิงซีไม่เคยกลัวใครทั้งนั้น กล้าพูดหมดทุกอย่าง และไม่สนกาลเทศะด้วย
แต่เสี่ยวเชี่ยนกลับฟังออกว่าอวี๋หมิงซีไม่ได้จะมาหาเรื่องเธอ คำพูดนี้ไม่ได้พูดประชด
“ความสัมพันธ์ของพวกเราก็ไม่ได้แย่ ในสายตาพี่ ฉันคงไม่ได้ดูงี่เง่าไร้เหตุผลใช่ไหมคะ?”
“ฉันก็แค่สงสัย ว่าชีวิตคู่จะเปลี่ยนผู้หญิงไปเป็นยังไง”
ปกติอวี๋หมิงซีมีติดต่อเสี่ยวเชี่ยนบ้าง หลักๆคือจะโทรหากันทุกเดือน จากแรกสุดที่ช่วยอวี๋หมิงซีรักษาอาการนอนไม่หลับ หลังๆกลายเป็นการคุยเรื่องปรัชญาการใช้ชีวิต ก่อเกิดเป็นความสัมพันธ์ที่แปลกดี
อวี๋หมิงซีเป็นผู้หญิงที่เด็ดเดี่ยวมาก ความอ่อนหวานแบบผู้หญิงไม่ปรากฏชัดเจนบนตัวเธอ เธอดูเหมือนเป็นคนไม่แคร์อะไร นอกจากคนในครอบครัวแล้วไม่มีใครหลงเหลืออยู่ในใจของเธอ แต่ในขณะเดียวกันเธอก็เป็นผู้หญิงที่แข็งแกร่ง จิตใจหนักแน่นไม่แพ้พี่น้องคนอื่นๆ
ความคิดของเธอเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย เวลาคุยกันจะไม่มีหัวข้อสนทนาที่แน่นอน นาทีก่อนคุยกันเรื่องหนึ่ง นาทีต่อมาอาจกระโดดไปอีกเรื่อง คนทั่วไปไม่มีใครตามเธอทัน ไห่เจาที่น่าสงสารไล่ตามเธอมาหลายปีก็ยังไล่ไม่ทัน
เสี่ยวเชี่ยนมักจะรู้สึกบ่อยๆว่าอวี๋หมิงซีมีเรื่องที่ปกปิดไว้ และก็รู้สึกว่าในใจของเธอมีปมบางอย่างอยู่ น่าเสียดายที่ตอนนี้เสี่ยวเชี่ยนยังไม่มีหนทางช่วยอวี๋หมิงซีคลายปมในใจนั้นได้ ทำได้แค่ช่วยให้เธอระบายความอัดอั้นตันใจออกมาบ้าง
เวลานี้ เมื่อเจอกับคำถามของอวี๋หมิงซี เสี่ยวเชี่ยนได้ให้คำตอบแบบนี้
“ชีวิตคือกระบวนการประนีประนอมและยอมถอยให้แก่กัน ไม่ต่างกับการเต้นลีลาศ บางจังหวะคุณเข้าฉันถอย บางจังหวะคุณถอยฉันเข้า มีเดินหน้าพร้อมกันบ้าง ถอยพร้อมกันบ้าง ถ้าเข้ากันได้ดีก็สนุกสนาน จับจังหวะไม่ดีก็จะเหยียบเท้าสร้างความเจ็บปวดให้อีกฝ่าย แต่การยอมถอยของฉันในวันนี้ไม่ได้ทำเพื่อชีวิตคู่”
“แล้วเพื่ออะไร?”